หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551 ลำดับที่ 067
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551 ลำดับที่ 067
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
ขอให้ญาติโยมทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกตัวเราเอง อันนี้เป็นการสร้างความรู้ตัว แล้วก็พยายามรู้ให้ต่อเนื่อง รู้จิต รู้เท่าทันความคิด รู้เท่าทันอารมณ์ รู้จักวิธีที่จะคลายความยึดมั่นถือมั่น หรือว่าคลายความหลง
จิตของทุกดวง จิตของทุกคนก็ปรารถนาที่จะหลุดพ้น ต้องการที่จะสร้างอานิสงส์ให้มีให้เกิดขึ้นในกายในจิตของเรา ถึงได้เสียสละเวลาเข้ามาถึงวัด ถ้าเราทำความเข้าใจให้ต่อเนื่อง เราก็จะอยู่กับบุญ การกระทำก็เป็นบุญ กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ก็ล้วนแต่เป็นบุญ ถ้าเราเข้าใจ ถ้าเราไม่เข้าใจ เราก็ทำด้วยความหลง แต่ก็ยังหลงอยู่ในบุญ ก็ต้องพยายามสร้างผู้รู้เข้าไปสำรวจตรวจตราดูอยู่ตลอดเวลา ความพลั้งเผลอของสติเราก็เริ่มใหม่
ทุกคนนั่นแหละ ทั้งพระทั้งโยมทั้งชี พากันขยันหมั่นเพียรกัน เราเกิดมาเป็นมนุษย์ทั้งทีก็ต้องพยายามทำความเข้าใจให้ได้ ให้ถึงจุดหมายปลายทาง สร้างประโยชน์ทั้งภายนอกภายในให้เต็มเปี่ยมเท่าที่กำลังของเรามี โอกาสเปิดให้ สถานที่เปิดให้ กาลเวลาก็เปิดให้ เกิดมาในประเทศที่มีพระพุทธศาสนาเป็นหลักชัย มีพระราชาเป็นองค์อุปถัมภ์ ไม่เหมือนกับประเทศอื่น ประเทศอื่นนี่ลำบาก ศาสนาพุทธก็ไม่มี มีตั้งแต่ฆ่าฟันกันยิงกัน ก็มีอยู่ ศาสนาก็มีอยู่ทุกที่นั่นแหละ
ถ้าเราทำความเข้าใจ ศาสนาก็คือธรรมชาติ ธรรมชาติของภายใน ธรรมชาติของจิตที่สะอาดบริสุทธิ์ ธรรมชาติของโลกธรรมแปด เขาก็เป็นอยู่อย่างนั้น ที่พระพุทธองค์ท่านบอกว่า ใครเห็นจิตคนนั้นเห็นเรา ใครเห็นเราคนนั้นเห็นธรรม ธรรมคืออะไร ธรรมก็คือจิตที่ใสสะอาดบริสุทธิ์ นั่นแหละคือดวงธรรม นั่นแหละคือองค์ธรรม
แต่เวลานี้จิตของเราเกิดส่งออกไปข้างนอก ทั้งเกิดด้วย ทั้งเป็นทาสของกิเลสด้วย เป็นทาสของกิเลสจากหยาบไปหาละเอียด ความโลภบางทีก็มี ความโกรธบางครั้งก็เกิดรุนแรง ความโลภ ความโกรธ ความทะเยอทะยานอยาก ความอิจฉาริษยา นิวรณธรรมต่างๆ ความฟุ้งซ่าน ความกังวล ขาดการพิจารณา เราก็เลยเป็นทาสของกิเลส นั่นแหละ จิตทั้งยังหลงด้วย หลงในอัตตาตัวตน หลงในขันธ์ห้า หลงในความยึดมั่นถือมั่นอย่างงมงาย ไม่ทำความเข้าใจให้ละเอียด ก็เลยเกิดทิฏฐิ เกิดมานะ เกิดอัตตาตัวตน กิเลสหยาบกิเลสละเอียดก็เลยปกปิดดวงจิตเอาไว้ แต่ละชั้นๆ
ถ้าไม่มีสติปัญญาเพียงพอ ก็ยากที่จะคลายออก ก็ยากที่จะแยกออก ยากที่จะทำความเข้าใจ เราต้องทำความเข้าใจให้เห็นชัดเจน หมั่นพร่ำสอนจิตของเราตลอดเวลา การฝึกหัดปฏิบัติธรรม การฝึกหัดปฏิบัติจิต ก็คือการทำความเข้าใจให้ถูกต้อง แล้วก็คลายออกให้หมดจากดวงจิตของเรา หมั่นพร่ำสอนจิตของเราตลอดเวลา เราก็จะถึงจุดหมายปลายทาง
สิ่งพวกนี้ช่วยกันไม่ได้ ทำให้กันก็ไม่ได้ ได้ตั้งแต่ชี้แนะ ได้ตั้งแต่บอกได้ตั้งแต่กล่าว พระพุทธองค์ก็เคยบอกเอาไว้ว่า คนไหนจะรู้ธรรม คนไหนจะไม่รู้ธรรม แม้แต่จับชายจีวรของเราอยู่ ถ้าไม่เห็นเราก็ไม่รู้ธรรม นั่นแหละ ท่านก็บอกชี้แนะแนวทางเอาไว้ให้
การเจริญสติการเจริญปัญญาการสร้างบารมี พวกเราก็สืบทอดกันมาอยู่ตลอดเวลา รุ่นปู่รุ่นย่า รุ่นตารุ่นยาย การสร้างบุญสร้างบารมี ชาวบ้านก็พากันจัดกันทำอยู่ตลอดเวลา บุญผะเหวดนั่นแหละ การสร้างบารมีผะเหวด บุญผะเหวด หรือว่ากัณฑ์โน้นบ้างกัณฑ์นี้บ้าง สิบกัณฑ์
ใครฟังเทศน์ฟังธรรม ตบะบารมีก่อนที่พระพุทธเจ้าท่านจะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าได้ ท่านเกิดอยู่ในภพนั้นบ้างชาตินี้บ้าง ชาตินี้บ้างชาตินั้นบ้าง เป็นการสร้างบารมี ขันติวิริยะ ความเพียร ความอดทนอดกลั้น ความเสียสละต่างๆ ศรัทธา จนมาถึงชาติสุดท้าย คือพระเวสสันดร ท่านเสียสละเอาออกหมดทุกสิ่งทุกอย่าง ทานหมด ถึงได้เกิดมาอยู่ในภพของพระพุทธเจ้า แล้วก็มาตรัสรู้อริยสัจ
คำว่า ‘อริยสัจ’ คือความจริงอันประเสริฐสี่ อันเป็นลักษณะอย่างไร ตัวจิตนั่นแหละ การเกิดของจิตนั่นแหละคือทุกข์ การเกิดของจิตเป็นทุกข์ เป็นทาสของกิเลสก็เป็นทุกข์ การดับการควบคุมด้วยสติด้วยปัญญาก็เป็นมรรค ส่งออกมาก็เป็นผล อันนี้เป็นการควบคุมจิต เราต้องคลายความหลงให้ได้เสียก่อน ดำเนินทาง คลายความหลง คือแยกรูปแยกนามให้ได้เสียก่อน แยกรูปแยกนามแล้วตามทำความเข้าใจ แล้วก็ละกิเลส ละสังโยชน์ ทิฏฐิ ความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งต่างๆ ยึดมั่นถือมั่นในสีลัพพตปรามาส ถือศีลงมงาย เหมือนกับเราจะไปตัดต้นไม้ เราไปเลือกเอาตั้งแต่กระพี้ ไปยึดติดตั้งแต่กระพี้ มันก็มีทั้งกระพี้เปลือกทั้งแก่นนั่นแหละ
ทุกสิ่งทุกอย่างก็เหมือนกัน ถ้าคนเรารู้จักเลือก แต่เขาก็อยู่ด้วยกัน ธรรมกับโลกก็อยู่ด้วยกัน สมมติกับวิมุตติก็อยู่ด้วยกัน เราต้องทำความหมายให้ถึงจุดหมายปลายทาง ลักษณะอาการของจิตที่ปราศจากกิเลสเป็นอย่างไร ที่ปราศจากความหลง ปราศจากความยึดมั่นถือมั่น ที่ปราศจากการเกิดเป็นอย่างไร
แม้ตั้งแต่ความระลึกรู้ตัวอยู่ปัจจุบันให้ต่อเนื่อง พวกเราก็ยังทำกันไม่ต่อเนื่อง ก็เลยไม่รู้ความจริง ความคิดก็เลยปิดบังดวงจิตเอาไว้เสีย เรานั่งนานๆ ก็เกิดทุกขเวทนา บางทีเราเปลี่ยนอิริยาบถ อิริยาบถก็เลยปิดบังทุกข์ทางด้านรูปกายเสีย
ทุกสิ่งทุกอย่างก็มีเหตุมีผลหมดนั่นแหละ เว้นแต่ว่าเราจะขยันหมั่นเพียรให้ถูกทางหรือไม่ ขยันหมั่นเพียรทำให้ต่อเนื่อง เราก็จะเข้าใจในชีวิตของเรา มองเห็นหนทางเดิน ว่าเราอาจจะได้กลับมาเกิดหรือไม่ได้กลับมาเกิด เดินในที่นี้ เดินด้วยสติเดินด้วยปัญญา เดินให้รู้ถึงจุดหมายปลายทาง สักวันหนึ่งเราก็คงจะเดินถึงจุดหมายปลายทางกัน ก็ต้องพยายามกัน
เอาล่ะ วันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอา นี่เพียงแค่เล่าให้ฟัง
จิตของทุกดวง จิตของทุกคนก็ปรารถนาที่จะหลุดพ้น ต้องการที่จะสร้างอานิสงส์ให้มีให้เกิดขึ้นในกายในจิตของเรา ถึงได้เสียสละเวลาเข้ามาถึงวัด ถ้าเราทำความเข้าใจให้ต่อเนื่อง เราก็จะอยู่กับบุญ การกระทำก็เป็นบุญ กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ก็ล้วนแต่เป็นบุญ ถ้าเราเข้าใจ ถ้าเราไม่เข้าใจ เราก็ทำด้วยความหลง แต่ก็ยังหลงอยู่ในบุญ ก็ต้องพยายามสร้างผู้รู้เข้าไปสำรวจตรวจตราดูอยู่ตลอดเวลา ความพลั้งเผลอของสติเราก็เริ่มใหม่
ทุกคนนั่นแหละ ทั้งพระทั้งโยมทั้งชี พากันขยันหมั่นเพียรกัน เราเกิดมาเป็นมนุษย์ทั้งทีก็ต้องพยายามทำความเข้าใจให้ได้ ให้ถึงจุดหมายปลายทาง สร้างประโยชน์ทั้งภายนอกภายในให้เต็มเปี่ยมเท่าที่กำลังของเรามี โอกาสเปิดให้ สถานที่เปิดให้ กาลเวลาก็เปิดให้ เกิดมาในประเทศที่มีพระพุทธศาสนาเป็นหลักชัย มีพระราชาเป็นองค์อุปถัมภ์ ไม่เหมือนกับประเทศอื่น ประเทศอื่นนี่ลำบาก ศาสนาพุทธก็ไม่มี มีตั้งแต่ฆ่าฟันกันยิงกัน ก็มีอยู่ ศาสนาก็มีอยู่ทุกที่นั่นแหละ
ถ้าเราทำความเข้าใจ ศาสนาก็คือธรรมชาติ ธรรมชาติของภายใน ธรรมชาติของจิตที่สะอาดบริสุทธิ์ ธรรมชาติของโลกธรรมแปด เขาก็เป็นอยู่อย่างนั้น ที่พระพุทธองค์ท่านบอกว่า ใครเห็นจิตคนนั้นเห็นเรา ใครเห็นเราคนนั้นเห็นธรรม ธรรมคืออะไร ธรรมก็คือจิตที่ใสสะอาดบริสุทธิ์ นั่นแหละคือดวงธรรม นั่นแหละคือองค์ธรรม
แต่เวลานี้จิตของเราเกิดส่งออกไปข้างนอก ทั้งเกิดด้วย ทั้งเป็นทาสของกิเลสด้วย เป็นทาสของกิเลสจากหยาบไปหาละเอียด ความโลภบางทีก็มี ความโกรธบางครั้งก็เกิดรุนแรง ความโลภ ความโกรธ ความทะเยอทะยานอยาก ความอิจฉาริษยา นิวรณธรรมต่างๆ ความฟุ้งซ่าน ความกังวล ขาดการพิจารณา เราก็เลยเป็นทาสของกิเลส นั่นแหละ จิตทั้งยังหลงด้วย หลงในอัตตาตัวตน หลงในขันธ์ห้า หลงในความยึดมั่นถือมั่นอย่างงมงาย ไม่ทำความเข้าใจให้ละเอียด ก็เลยเกิดทิฏฐิ เกิดมานะ เกิดอัตตาตัวตน กิเลสหยาบกิเลสละเอียดก็เลยปกปิดดวงจิตเอาไว้ แต่ละชั้นๆ
ถ้าไม่มีสติปัญญาเพียงพอ ก็ยากที่จะคลายออก ก็ยากที่จะแยกออก ยากที่จะทำความเข้าใจ เราต้องทำความเข้าใจให้เห็นชัดเจน หมั่นพร่ำสอนจิตของเราตลอดเวลา การฝึกหัดปฏิบัติธรรม การฝึกหัดปฏิบัติจิต ก็คือการทำความเข้าใจให้ถูกต้อง แล้วก็คลายออกให้หมดจากดวงจิตของเรา หมั่นพร่ำสอนจิตของเราตลอดเวลา เราก็จะถึงจุดหมายปลายทาง
สิ่งพวกนี้ช่วยกันไม่ได้ ทำให้กันก็ไม่ได้ ได้ตั้งแต่ชี้แนะ ได้ตั้งแต่บอกได้ตั้งแต่กล่าว พระพุทธองค์ก็เคยบอกเอาไว้ว่า คนไหนจะรู้ธรรม คนไหนจะไม่รู้ธรรม แม้แต่จับชายจีวรของเราอยู่ ถ้าไม่เห็นเราก็ไม่รู้ธรรม นั่นแหละ ท่านก็บอกชี้แนะแนวทางเอาไว้ให้
การเจริญสติการเจริญปัญญาการสร้างบารมี พวกเราก็สืบทอดกันมาอยู่ตลอดเวลา รุ่นปู่รุ่นย่า รุ่นตารุ่นยาย การสร้างบุญสร้างบารมี ชาวบ้านก็พากันจัดกันทำอยู่ตลอดเวลา บุญผะเหวดนั่นแหละ การสร้างบารมีผะเหวด บุญผะเหวด หรือว่ากัณฑ์โน้นบ้างกัณฑ์นี้บ้าง สิบกัณฑ์
ใครฟังเทศน์ฟังธรรม ตบะบารมีก่อนที่พระพุทธเจ้าท่านจะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าได้ ท่านเกิดอยู่ในภพนั้นบ้างชาตินี้บ้าง ชาตินี้บ้างชาตินั้นบ้าง เป็นการสร้างบารมี ขันติวิริยะ ความเพียร ความอดทนอดกลั้น ความเสียสละต่างๆ ศรัทธา จนมาถึงชาติสุดท้าย คือพระเวสสันดร ท่านเสียสละเอาออกหมดทุกสิ่งทุกอย่าง ทานหมด ถึงได้เกิดมาอยู่ในภพของพระพุทธเจ้า แล้วก็มาตรัสรู้อริยสัจ
คำว่า ‘อริยสัจ’ คือความจริงอันประเสริฐสี่ อันเป็นลักษณะอย่างไร ตัวจิตนั่นแหละ การเกิดของจิตนั่นแหละคือทุกข์ การเกิดของจิตเป็นทุกข์ เป็นทาสของกิเลสก็เป็นทุกข์ การดับการควบคุมด้วยสติด้วยปัญญาก็เป็นมรรค ส่งออกมาก็เป็นผล อันนี้เป็นการควบคุมจิต เราต้องคลายความหลงให้ได้เสียก่อน ดำเนินทาง คลายความหลง คือแยกรูปแยกนามให้ได้เสียก่อน แยกรูปแยกนามแล้วตามทำความเข้าใจ แล้วก็ละกิเลส ละสังโยชน์ ทิฏฐิ ความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งต่างๆ ยึดมั่นถือมั่นในสีลัพพตปรามาส ถือศีลงมงาย เหมือนกับเราจะไปตัดต้นไม้ เราไปเลือกเอาตั้งแต่กระพี้ ไปยึดติดตั้งแต่กระพี้ มันก็มีทั้งกระพี้เปลือกทั้งแก่นนั่นแหละ
ทุกสิ่งทุกอย่างก็เหมือนกัน ถ้าคนเรารู้จักเลือก แต่เขาก็อยู่ด้วยกัน ธรรมกับโลกก็อยู่ด้วยกัน สมมติกับวิมุตติก็อยู่ด้วยกัน เราต้องทำความหมายให้ถึงจุดหมายปลายทาง ลักษณะอาการของจิตที่ปราศจากกิเลสเป็นอย่างไร ที่ปราศจากความหลง ปราศจากความยึดมั่นถือมั่น ที่ปราศจากการเกิดเป็นอย่างไร
แม้ตั้งแต่ความระลึกรู้ตัวอยู่ปัจจุบันให้ต่อเนื่อง พวกเราก็ยังทำกันไม่ต่อเนื่อง ก็เลยไม่รู้ความจริง ความคิดก็เลยปิดบังดวงจิตเอาไว้เสีย เรานั่งนานๆ ก็เกิดทุกขเวทนา บางทีเราเปลี่ยนอิริยาบถ อิริยาบถก็เลยปิดบังทุกข์ทางด้านรูปกายเสีย
ทุกสิ่งทุกอย่างก็มีเหตุมีผลหมดนั่นแหละ เว้นแต่ว่าเราจะขยันหมั่นเพียรให้ถูกทางหรือไม่ ขยันหมั่นเพียรทำให้ต่อเนื่อง เราก็จะเข้าใจในชีวิตของเรา มองเห็นหนทางเดิน ว่าเราอาจจะได้กลับมาเกิดหรือไม่ได้กลับมาเกิด เดินในที่นี้ เดินด้วยสติเดินด้วยปัญญา เดินให้รู้ถึงจุดหมายปลายทาง สักวันหนึ่งเราก็คงจะเดินถึงจุดหมายปลายทางกัน ก็ต้องพยายามกัน
เอาล่ะ วันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอา นี่เพียงแค่เล่าให้ฟัง