หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551 ลำดับที่ 057

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551 ลำดับที่ 057
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
พระธรรมเทศนาโดย (Dhamma Talk by)
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551 ลำดับที่ 057
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
เจริญธรรมญาติโยมทุกคนทุกท่าน ขอให้ญาติโยมจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกของตัวเราให้ได้ให้ต่อเนื่องกัน ตามความเป็นจริง เราต้องพยายามสร้างขึ้นมาแล้วรู้จักเอาไปใช้ เอาไปวิเคราะห์ เอาไปรู้ให้เท่าทันจิต รู้เท่าทันความปกติ สำรวจกายสำรวจจิตของเรา สำรวจความเป็นอยู่ของเรา อะไรขาดตกบกพร่องเราก็รีบแก้ไข

แต่ละวันตื่นขึ้นมาเราก็ต้องพยายามสำรวจ ตั้งแต่ตื่นขึ้นนั่นแหละ แล้วก็การกระทำของเราก็ต้องถึงพร้อม จิตทุกดวงปรารถนาที่จะหลุดพ้น ปรารถนาที่จะสร้างอานิสงส์ให้มีให้เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา เราก็พยายามช่วยตัวเองให้ได้ทุกอย่าง ตนเป็นที่พึ่งของตน ทั้งภายนอกทั้งภายใน สมมติโลกต่างๆ สมมติโลกธรรม เราก็ทำความเข้าใจ แล้วก็แสวงหาด้วยสติด้วยปัญญา

ส่วนจิตเราก็น้อมเข้าไปสำรวจ รู้ฐานของจิต รู้ความปกติ แล้วก็รู้จักหมั่นชำระสะสางกิเลสออกจากใจของตัวเราเองอยู่ตลอดเวลา ก็ต้องพยายามกัน ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี ทำได้มากได้น้อยก็อย่าไปทิ้ง อย่าไปมองข้าม สะสมกำลังสติสะสมกำลังบุญ นึกดีคิดดี การกระทำของเราก็ถึงพร้อม ก็จะอยู่กับบุญตลอดเวลา

การได้ยินการได้ฟัง การไปทำบุญทำทานกับพ่อแม่ครูบาอาจารย์ที่โน่นบ้างที่นี่บ้าง เป็นการสร้างอานิสงส์ให้มีให้เกิดขึ้นกับตัวเอง แต่การเจริญสติเราต้องหมั่นสร้างหมั่นขวนขวาย แล้วก็รู้จักเอาไปใช้ เอาไปชำระสะสางกิเลส จนกว่าเราจะสังเกตรู้ทันการเกิดของจิตของขันธ์ห้าเขาเข้าไปรวมกัน ถ้าเรารู้ทันเมื่อไหร่ เขาจะแยกออกจากกันโดยปริยาย

แยกออกจากกันแล้วก็ยังไม่พอ เราก็ต้องตามทำความเข้าใจให้จิตรับรู้ เห็นตามสภาพความเป็นจริงทุกเรื่อง ที่เขาเกิดมาปรุงแต่งจิตของเรา จิตจะส่งออกไปภายนอกเราก็ดับ ต้องเป็นคนขยันหมั่นเพียร เป็นคนมีระเบียบ เป็นคนมีอานิสงส์ สร้างตบะบารมี

แต่ละวันศรัทธาของเราเต็มเปี่ยม ความเสียสละของเราเต็มเปี่ยม มีความอดทนอดกลั้น อดทนต่อเหตุการณ์จากภายนอกเข้ามากระทบ อดทนอดกลั้นจากกิเลสภายใน ก็รู้จักชำระสะสางกิเลส มีความอ่อนน้อมถ่อมตน มีความกตัญญู มีความเสียสละ ฝักใฝ่สนใจในการทำจิตให้สะอาดให้บริสุทธิ์อยู่ตลอดเวลา

พยายามกันไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี เราอยู่ด้วยกันเยอะๆ มีตั้งแต่ความเมตตา ความเมตตาอนุเคราะห์ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ยิ่งฝึกไปเท่าไรยิ่งเห็นเยอะนะกิเลส ฝึกไปเท่าไรยิ่งเห็นเยอะ อันนี้ความรู้ตัวที่น้อมเข้าไปรู้จิต ฝึกไปเท่าไรยิ่งเห็นกิเลสตัวละเอียดเยอะๆ ตัวมลทิน ตัวนิวรณธรรม นิวรณธรรมมลทิน อคติเพ่งโทษคนโน้นเพ่งโทษคนนี้ เราก็พยายามดับ พยายามให้อภัยทานอโหสิกรรม

ถ้าเราไม่ฝึก สติไม่ต่อเนื่อง เหมือนกับไม่มี เพราะว่าปัญญาเก่าปัญญาของกิเลสมันครอบเอาไว้ ถ้าเราแยกแยะได้ รู้จิตของเราได้ เราก็จะเห็นว่ากิเลสตัวไหนมาหลอกจิตเรา จิตเราพลั้งเผลอให้กิเลสตัวไหน พลั้งเผลอเราก็เริ่มใหม่ๆ สำเหนียกน้อมรู้ฐานของจิตอยู่ตลอดเวลา ทำงานไปด้วยละนิวรณธรรมไปด้วย ขณะที่ทำการทำงานก็ให้จิตรับรู้ไปด้วย สติคอยสำรวจจิตไปด้วย

เวลาตากระทบรูป หูกระทบเสียง เราก็หมั่นฝึกฝนสติของเรา สักแต่ว่าดูสักแต่ว่ารู้สักแต่ว่าฟังเป็นลักษณะอย่างไร จะลุกจะก้าวจะเดินจิตนิ่งไหม ตัวไหนเป็นตัวสั่งพากายเดินพากายไป จิตปรุงแต่งส่งออกไปภายนอกได้อย่างไร ความคิดมาปรุงแต่งจิตของเราได้อย่างไร สติที่เราสร้างขึ้นมาเราเอาไปวิเคราะห์ทำหน้าที่แทนจิตได้ไหม เราต้องให้รู้เห็นเป็นคนละส่วนกัน แล้วก็รู้จักละ อะไรควรทรงไว้ ความสงบความปกติความว่าง เราต้องทรงรู้จักรักษาเอาไว้ให้ได้ตลอด เวลาสัมผัสเวลากระทบ การได้ยินได้ฟังมีการเต็มเปี่ยมกันละนะ ก็ต้องพยายามกันเอา

เราต้องเป็นคนมีความรับผิดชอบที่สูง มีความเสียสละ อย่าไปมองข้ามในสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ไม่ใช่ว่าไม่ใช่หน้าที่ของตัวเราเอง ความเป็นระเบียบเรียบร้อยทั้งภายนอกทั้งภายใน นั่นแหละคือการปฏิบัติ การชำระจิตของเราให้สะอาด ข้างนอกสะอาดมันก็ส่งผลถึงข้างใน ข้างในเต็มก็ส่งผลถึงข้างนอก เกี่ยวเนื่องกัน สมมติกับวิมุตติก็อยู่ด้วยกันอาศัยกันอยู่ ธรรมกับโลกก็อาศัยกันอยู่

จะเอาตั้งแต่ธรรมแต่ไม่รู้จักทำ จะฝึกฝนตั้งใจปฏิบัติตั้งแต่ธรรมแต่สติไม่รู้จัก ไม่รู้จักการละกิเลส ไม่รู้จักความเสียสละ ไม่รู้จักให้อภัยทาน มันจะไปถึงจุดหมายปลายทางได้อย่างไร เราก็ต้องพยายามเอา ขยันหมั่นเพียรเอา แก้ไขตัวเองปรับปรุงตัวเราเอง ถ้าเราไม่สอนตัวเราได้ ใครเขาจะสอนให้ เราต้องหมั่นพร่ำสอนตัวเรา

อะไรคือเรา อะไรคือสิ่งที่เข้าไปพร่ำสอน สติปัญญาที่เราสร้างขึ้นมานี่แหละเข้าไปพร่ำสอนจิต จิตก็มาอาศัยกายอยู่ เราก็ต้องทำความเข้าใจกับกาย กับสมมติ กับความเป็นอยู่ของเราให้เรียบร้อย เราก็จะอยู่กับบุญ กายก็เป็นบุญ วาจาก็เป็นบุญ ใจก็เป็นบุญ ถ้าใจเราเป็นบุญแล้ว เราก็มองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างเป็นบุญหมด ถ้าเราใจเราเป็นโลก ใจเรามีอคติมีมลทิน เราก็มองเห็นคนอื่นมีตั้งแต่กิเลสเหมือนกันกับเรา ถ้าใจของเราว่างเราก็มองโลกนี้เป็นของว่าง

ยิ่งฝึกไปเท่าไรยิ่งเห็นเยอะ ยิ่งฝึกไปเท่าไรตัวมลทินก็ยิ่งผุดขึ้นมาให้เห็นเยอะ ยิ่งเห็นเยอะเท่าไรเราก็พยายามรีบดับ มันดับไม่ได้เราก็พยายามดับ พยายามฝืน เราดับไม่ได้ตั้งแต่ฐานของจิตก็อย่าให้มันโผล่ออกมาทางกายทางวาจา ถ้าเราดับทางวาจาไม่ได้ เราก็ใช้ปัญญาหลบหลีก

ยิ่งพวกนักฝึกหัดปฏิบัตินี่แหละมันเห็นเยอะ ถ้าคนทั่วไปมันไม่ค่อยเกิดเท่าไร เพราะว่ากำลังสติมีน้อย มันก็ไปแบบโลกๆ ถึงเกิดมันก็ไม่ค่อยจะเห็น พวกที่ฝึกใหม่ๆ ยิ่งฝึกเจริญสติเข้าไปแล้วก็ยิ่งขุดคุ้ย ยิ่งเห็นเยอะ ยิ่งเห็นเยอะยิ่งทำความเข้าใจ ไม่ใช่ว่าเห็นเยอะแล้วยิ่งเกียจคร้าน ยิ่งเห็นเยอะเท่าไรยิ่งขยันหมั่นเพียร ยิ่งทำความเข้าใจ แล้วค่อยละออกให้มันหมด ละทีละเล็กทีละน้อย มันเกิดเมื่อไหร่มันก็พยายามละพยายามดับ ทำในสิ่งตรงกันข้าม

มันอิจฉาริษยาใคร เราก็พยายามน้อมกายของเราเข้าไป น้อมกายของเราเข้าไปอโหสิกรรมให้อภัยทาน เข้าไปช่วยเหลือเข้าไปอนุเคราะห์ ไม่ใช่ว่าจะไปเพ่งโทษคนโน้น คนโน้นว่าเราอย่างนี้ คนนี้คิดกับเราอย่างนั้นคิดกับเราอย่างนี้ เราห้ามคนอื่นเขาคิดไม่ได้ เราห้ามคนอื่นเขาว่าไม่ได้ เราได้แต่บอกแต่กล่าว บอกไม่เชื่อฟังก็เรื่องของเขา เราก็มาดับภายในของเราแก้ไขภายในของเรา อาศัยกาลอาศัยเวลา อาศัยความเพียรที่ต่อเนื่อง มันก็จะสงบระงับลงไปเอง จิตของเราไม่อยากจะได้รับความสงบมันก็จะสงบ

เราพยายามเก็บรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ส่วนมากอยากจะไปเอาตั้งแต่ตัวใหญ่ๆ มันไม่เห็นหรอก เราก็ต้องเก็บสะสมตั้งแต่ตัวเล็กๆ น้อยๆ ความสงบของจิตสงบได้ยาวนานไหม สงบจากการเกิด สงบจากกิเลส เวลาตากระทบรูปหูกระทบเสียง เวลาคนมาด่ามาว่า จิตของเราเป็นอย่างไร จะไปวิ่งเอาตั้งแต่ธรรมที่โน้นที่นี่ไม่เจอหรอก ถ้าไม่เน้นลงไปอยู่ที่ฐานของกายฐานของใจของตัวเรา กายวิเวกจิตวิเวก

เราแสวงหาสถานที่แสวงหาครูบาอาจารย์ บุคคลที่มีสติมีปัญญาฟังนิดเดียว รู้แนวทางรู้การเจริญสติแล้ว จะไปเร่งทำความเพียร หมั่นชำระสะสางกิเลสอยู่ตลอดเวลา มีความสุขกับการสร้างความเพียร ยืนเดินนั่งนอน กินอยู่ขับถ่าย เราได้ฟังธรรมะตลอดเวลา รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสก็จะเป็นอาจารย์สอนธรรมะให้เรา

ถ้าเรารู้จักสอนตัวเราเอง อยู่คนเดียวก็ถึงจุดหมายปลายทางได้ ไม่จำเป็นต้องให้คนอื่นเขาพร่ำสอนอยู่ตลอดเวลา เราเพียงแค่รู้จักแนวทาง แล้วก็พร่ำสอนตัวเองแก้ไขตัวเอง รู้ไม่ทันเราก็รู้จักดับ รู้จักควบคุมเอาไว้ การปฏิบัติธรรมคร่ำเคร่งมากมายถึงขนาดไหน วิธีไหนก็ช่าง ก็เพื่อที่จะคลายความหลง ละกิเลสออกให้มันหมด เราอยู่กับสมมติเราก็ต้องเคารพสมมติ ทำหน้าที่ของสมมติเท่านั้นเอง ก็ต้องพยายามกันนะ

เอาล่ะ วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอา

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง