หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551 ลำดับที่ 052

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551 ลำดับที่ 052
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
พระธรรมเทศนาโดย (Dhamma Talk by)
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551 ลำดับที่ 052
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
ขอให้ญาติโยมเราทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจเข้าออกของตัวเราเอง หรือเรียกว่า ‘อานาปานสติ’ มีความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเรา นั่งตามสบาย ไม่ต้องพนมมือ วางกายให้สบายวางใจให้สบาย แล้วก็สูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ สัก 2-3 เที่ยว

การสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ กายของเราก็รู้สึกว่าสบายขึ้น เป็นการผ่อนคลายกล้ามเนื้อ จิตของเราก็สงบตั้งมั่นขึ้น ความรู้สึกสัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้ากระทบปลายจมูกของเรา นั่นแหละให้เราพยายามสร้างความรู้สึกตรงนี้ให้ต่อเนื่อง เวลาลมหายใจออกก็มีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเรา

ถ้าความรู้สึกไม่เด่นชัด เราก็พยายามสูดลมหายใจยาวๆ เราก็จะมีความรู้สึกที่เด่นชัด ถ้าความรู้สึกพลั้งเผลอไปเราก็เริ่มขึ้นมาใหม่ เอาตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ถ้าเราทำได้ชำนาญ ความรู้ตัวก็จะต่อเนื่อง เขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ ส่วนจิตก็ปกติอยู่ ถ้าจิตจะส่งไปภายนอกเราก็มีความรู้สึกรับรู้อยู่ปัจจุบัน เราก็จะรู้เท่าทัน

ถ้าอาการของความคิดจะผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิต เราก็มีความรู้สึกรับรู้อยู่ปัจจุบัน เราก็รู้เท่าทัน เราก็จะเห็นการเกิดการดับของจิต การเกิดการดับของขันธ์ห้า หรือบางทีเราก็อาจจะเห็นจิตกับขันธ์ห้าเขาเข้าไปรวมกัน แล้วเขาก็จะแยกออกจากกัน นี่แหละถึงจะเรียกว่า ‘วิปัสสนา’

เพียงแค่ขั้นเริ่มต้นในการสร้างความรับรู้การหายใจเข้าออก พวกเราก็ยังสร้างไม่ต่อเนื่อง แต่บางครั้งเราก็รู้อยู่แต่รู้ไม่ต่อเนื่อง ทำอย่างไรถึงจะทำให้ต่อเนื่อง เราต้องมีความขยัน ขยันหมั่นเพียรตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ การหายใจเข้าออกเป็นธรรมชาติที่สุด แล้วก็รู้ให้ต่อเนื่องให้ได้ ถ้าพลั้งเผลอเราก็เริ่มใหม่ๆ นี่แหละอย่าไปเกียจคร้าน

ถ้าเราทำได้ชำนาญ เราก็จะรู้จิต รู้ความคิด รู้การเกิดการดับของขันธ์ห้า เขาเรียกว่า ‘รอบรู้ในกองสังขาร’ ถ้าเราสังเกตได้ จิตก็จะแยกออกจากขันธ์ห้าปุ๊บ เราก็จะเห็นเป็น 3 ส่วน ความรู้ตัวเขาเรียกว่าสติส่วนหนึ่ง ความว่างความโล่งความโปร่ง บางทีก็อาจจะเกิดปีติสุขนั่นแหละคือตัวจิตนั้นส่วนหนึ่ง ส่วนการเกิดๆ ดับๆ ของความคิดที่ผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิตนั่นแหละอาการของขันธ์ห้า

บางทีก็เป็นอดีตเขาเรียกว่า ‘กองของสังขาร’ บางทีก็เป็นกลางๆ บางทีก็เป็นกุศลบ้างอกุศลบ้าง จิตของเราเคลื่อนเข้าไปรวม เขาเรียกว่า ‘เสวยอารมณ์’ นั่นแหละเข้าไปรวมทำให้เกิดอัตตาตัวตน กายก็เลยหนัก จิตก็เลยหนัก

ถ้าเราแยกตัวนี้ได้เราก็จะเข้าใจคำว่า ‘อัตตากับอนัตตา’ เราก็จะเห็นอนิจจังทุกขังอนัตตาในขันธ์ห้า แล้วก็ตามดู จนจิตของเรายอมรับรู้เห็นตามสภาพความเป็นจริง เขาก็จะเกิดความเบื่อหน่าย เกิดความเบื่อหน่ายอยากจะหลบหลีกหนีจากความคิดตรงนี้ เขาหลบหลีกไม่ได้เขาถึงจะอยู่อุเบกขา ไม่ใช่ว่าเขาจะอยู่อุเบกขาเลยง่ายๆ ทีเดียว ไม่ใช่ว่าเขาจะแยกง่ายๆ ทีเดียว

การพูดนี่มันพูดง่าย เราต้องพยายามหัดสังเกตหัดวิเคราะห์ แล้วก็รู้จักสร้างบารมี ให้มีให้เกิดขึ้นในกายในใจของตัวเราเอง ศรัทธาของเรามีเต็มเปี่ยมต่อพระรัตนตรัย เชื่อมั่นในคำสั่งสอนพระพุทธองค์หรือไม่ เรามีความอ่อนน้อมถ่อมตน มีความกตัญญูกตเวที มีความเสียสละ ละกิเลส ละความโลภ ละความโกรธ

มีการสำรวจสำรวมอินทรีย์ทั้งหกของเรา หูตาจมูกลิ้นกายเขาทำหน้าที่อย่างไร ซึ่งเข้าไปยุ่งเกี่ยว หรือว่าเป็นทางผ่านของรูปรสกลิ่นเสียง ถ้าเรามีความรู้ตัวทั่วพร้อมอยู่ปัจจุบัน เราก็จะเห็น เราก็จะทำความเข้าใจ แล้วก็หมั่นพร่ำสอนจิตของตัวเราเองตลอดเวลา จิตจะเกิดกิเลสเราก็รู้จักดับกิเลสหยาบกิเลสละเอียด กิเลสละเอียด ลึกๆ ลงไปพวกมลทินต่างๆ พวกเห็นแก่ตัวต่างๆ พวกนิวรณธรรมต่างๆ

จิตของเรามีความกำหนัดยินดีในรูปรสกลิ่นเสียง เราก็รู้จักละรู้จักดับ จิตของเรามีความอาฆาตพยาบาทเราก็พยายามให้อภัยทานอโหสิกรรม หัดมองโลกในทางที่ดี มองในส่วนที่ดี สติความระลึกรู้ตัวของเราพลั้งเผลอเราก็เริ่มขึ้นมาใหม่ หมั่นทำความเข้าใจบ่อยๆ จิตของเราฟุ้งซ่านไม่ว่าเรื่องอะไรเราก็ต้องรีบดับ

เราดับภายในไม่ได้ เราก็มองดูข้างนอกว่าเหตุเกิดจากภายนอกมาทำให้จิตของเราเกิด เราก็ต้องแก้ไขทั้งภายนอกด้วยทั้งภายในด้วย จิตของเรามีความลังเลสงสัยในสิ่งต่างๆ เราก็ต้องหยุดต้องยับยั้งต้องดับโดยใช้สมถภาวนา สร้างความรู้สึกรับรู้อยู่ที่การหายใจเข้าออก หรือว่าอยู่ที่การเดิน แล้วแต่อุบายของแต่ละบุคคล วิธีไหนก็ดีหมด ที่จะทำให้จิตของเราสงบระงับลงไป

ถ้าเราเข้าใจ การเจริญสติการสร้างความรู้ตัวเป็นลักษณะอย่างนี้ การสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่องเป็นลักษณะอย่างนี้ ไม่ใช่ว่าเราอยากจะได้ตั้งแต่ธรรม อยากจะฝึกตั้งแต่ธรรม แต่ไม่เข้าใจความหมาย เราจะเอาอะไรไปฝึก เราก็ต้องมาสร้างความรู้ตัวเน้นลงอยู่ที่กายของเรา กายของเรานี้เป็นก้อนรูป ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งอยู่ในอาการของขันธ์ห้า

กายของเรานี่แหละเป็นก้อนทุกข์ นั่งนานเขาก็เกิดความทุกขเวทนา เราก็เปลี่ยนอิริยาบถบ่อยๆ ท่านถึงบอกว่าอิริยาบถปิดบังทุกข์ทางด้านรูปธรรมเสีย ส่วนความคิดก็มาปรุงแต่งจิตบ่อยๆ อยู่ตลอดเวลา บางทีจิตก็ปรุงแต่งส่งออกไป

ถ้าเราไม่มีความรู้ตัวที่แยบคลาย ที่สังเกตจนแยกแยะได้ ความคิดต่างๆ ก็มาปิดบังดวงจิตเสีย เขาก็เลยไปด้วยกัน นั่นแหละหลงอยู่ในความคิดนั้น บางทีก็เป็นกุศลบางทีก็เป็นอกุศล ถ้าเราไม่ขยันหมั่นเพียรสร้างบารมีจริงๆ ก็ยากที่จะเข้าใจ

แต่เราก็อย่าไปทิ้งในการทำบุญในการให้ทาน ในการชำระสะสางกิเลส ทำได้บ้างไม่ได้บ้างก็พยายาม ล้มลุกคลุกคลานแล้วเอาใหม่ๆ เราพลั้งเผลอแล้วก็เอาใหม่ รู้จักให้อภัยทานตลอดเวลา ทำความเข้าใจกับลักษณะภาษาธรรมภาษาโลก สักแต่ว่าดู สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าฟัง สักแต่ว่า ความหมายของคำว่า ‘สักแต่ว่า’ ช่างเขาช่างเรา เราก็ต้องวิเคราะห์พิจารณาใคร่ครวญให้ดี

ลักษณะของจิตที่ปราศจากกิเลส ลักษณะของจิตที่สงบ ลักษณะของจิตที่ไม่มีความยึดมั่นถือมั่น ทุกคนก็มีบุญกันอยู่แล้วแหละ อย่าไปปิดกั้นตัวเอง ถ้าไม่มีบุญไม่มีโอกาสไม่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์หรอก ทุกคนก็ได้ประพฤติปฏิบัติธรรมกันมาแต่ก่อนๆ ถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ผ่านกาลผ่านเวลา ผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านทุกข์ผ่านสุข อันนั้นเป็นการปฏิบัติธรรมโดยธรรมชาติโดยตรง

แต่การเจริญสติเข้าไปทำความเข้าใจกับจิตตรงนี้มีน้อย เราต้องพยายามทำให้บ่อยๆ สถานที่ต่างๆ ครูบาอาจารย์ก็เยอะ แต่การลงมือปฏิบัติจริงๆ ไม่ค่อยจะทำให้ต่อเนื่อง มีตั้งแต่จะไปแสวงหาธรรมที่นั่นที่นี่ ไม่ใช่ความไม่ดี ดีหมดนั่นแหละ เป็นการไปสร้างประสบการณ์ ไปหาประสบการณ์

สักวันหนึ่งเราก็คงจะเดินถึงจุดหมายปลายทาง เหมือนกับเราปลูกผลหมากรากไม้ เราจะเร่งให้เขาออกผลวันนี้ สุกวันนี้ สุกเดี๋ยวนี้ ไม่ได้ เราก็ต้องหมั่นดูแล หมั่นให้น้ำให้ปุ๋ยเขา เขาเติบโตขึ้นมาเขาก็จะออกดอกออกผลให้เรา เราไม่อยากจะได้เราก็ต้องได้เพราะว่าการกระทำของเรามี

การปฏิบัติต่อกายต่อจิตของเรา ถ้าปฏิบัติได้ถูกทาง เราไม่อยากจะได้รับความสงบเราก็ต้องได้ เราไม่อยากจะถึงความบริสุทธิ์เราก็ต้องถึง ถ้าเราทำให้ต่อเนื่องกัน ก็ต้องพยายามกันนะ

โอกาสเปิดให้ทุกคนอยู่แล้ว อย่าพากันปล่อยโอกาสทิ้งปล่อยเวลาทิ้ง ถ้าเราเข้าใจก็ปฏิบัติได้ตลอดเวลาตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ยืนเดินนั่งนอน กินอยู่ขับถ่าย ก็เป็นแค่เพียงอิริยาบถ ถ้าเรามีสติคอยตรวจสอบจิตของเรา เราก็จะได้ฟังธรรมะของพระพุทธองค์ตลอดเวลา รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสก็จะเป็นอาจารย์สอนธรรมะให้เรา ถ้าเรารู้จักหมั่นวิเคราะห์หมั่นพิจารณา

เอาล่ะ วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอานะ นี่เพียงแค่เล่าให้ฟัง

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง