หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551 ลำดับที่ 044
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551 ลำดับที่ 044
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
เจริญธรรมญาติโยมทุกคนทุกท่าน ขอให้ญาติโยมจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจเข้าออกของตัวเรา นั่งตามสบาย ไม่ต้องพนมมือ วางกายวางใจให้สบาย ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ตั้งแต่เช้า เราสำรวจจิตสำรวจกายของเราแล้วหรือยัง เรารู้จักวิเคราะห์ วิเคราะห์กายวิเคราะห์ใจ วิเคราะห์ความเป็นอยู่ของเราให้ต่อเนื่องกันแล้วหรือยัง ถ้ายังก็สร้างความรู้ตัวเสียขณะที่กำลังนั่งฟังอยู่นี่แหละ
ดับความคิด ดับความกังวล ดับความฟุ้งซ่านต่างๆ ออกให้หมด ด้วยการกระตุ้นความรู้สึกสัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเรา สูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ ให้ทั่วท้อง แล้วก็ผ่อนลมหายใจมายาวๆ สัก 2-3 เที่ยว การสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ สัมผัสของลมหายใจก็จะเด่นชัด นั่นแหละความรู้สึกรับรู้เวลาลมกระทบปลายจมูก ความรู้สึกรับรู้เวลาลมกระทบปลายจมูกออกเข้าๆ
ถ้ามีความพลั้งเผลอแล้วก็เริ่มใหม่ เริ่มสร้างความรู้สึกตัวใหม่ สติก็จะตั้งมั่นขึ้น ถ้าเรารู้จักขยันหมั่นเพียรในการสร้างความรู้ตัวตรงนี้ เราก็จะรู้เห็นอะไรอีกเยอะ รู้การเกิดของจิต รู้ลักษณะของจิต รู้ลักษณะอาการของความคิด รู้จักละกิเลส รู้จักควบคุมตัวเอง รู้จักหน้าที่ รู้จักรับผิดชอบ
ตามความเป็นจริง ทุกคนก็ฝักใฝ่สนใจในการปฏิบัติอยู่ตลอด แต่การเจริญสติไม่ค่อยจะต่อเนื่องกันเท่าไร การได้ยินการได้อ่านการได้ฟัง ทุกคนก็แสวงหากัน แต่การลงมือสร้างความรู้ตัวไม่ค่อยจะทำให้ต่อเนื่อง ก็เลยไม่เข้าใจ ไปปฏิบัติธรรมที่นั่นบ้างไปปฎิบัติธรรมที่นี่บ้าง ไปฝึกตรงนั้นบ้างตรงนี้บ้าง กับครูบาอาจารย์องค์โน้นบ้างองค์นี้บ้าง
ถ้าเรารู้จักจุดยืนของตัวเราเอง ถ้าเรารู้จักแก้ไขตัวเราเอง การสร้างความรู้ตัวเป็นลักษณะอย่างนี้ การควบคุมจิตเป็นลักษณะอย่างนี้ การควบคุมจิตควบคุมอยู่ในระดับไหน การข่มการบังคับการฝืน หรือสังเกตการแยกจิต แยกความคิด แยกอารมณ์ออกให้ชัดเจน เราก็จะมองเห็นทาง สติก็จะเป็นอาจารย์คอยตรวจสอบจิต คอยหมั่นพร่ำสอนจิตของตัวเราเองตลอดเวลา ไม่จำเป็นเลยที่จะไปวิ่งให้คนนั้นเขาสอนคนนี้เขาสอน
ถ้าคนจะเอาแล้วฟังนิดเดียว รู้จักแก้ไขตัวเองปรับปรุงตัวเอง กายวิเวกเป็นอย่างนี้ จิตวิเวกเป็นอย่างนี้ จิตเกิดกิเลสเราก็รีบดับเสีย โลกธรรมแปดก็เป็นอย่างนี้ โลกภายในโลกภายนอก โลกภายในคือกายของเราคือจิตของเรา รอบรู้ในกองสังขาร รอบรู้ในความคิดของเรา เราไม่เข้าใจเราก็เพิ่มความเพียรให้เป็นทวีคูณๆ จะมีตั้งแต่ความสุข รู้จักสำรวจตัวเอง รู้จักสร้างอานิสงส์สร้างบารมีให้ตัวเองอยู่ตลอดเวลา
เรามีความขยันหมั่นเพียรหรือไม่ เรามีความรับผิดชอบหรือไม่ เรามีความเสียสละ มีสัจจะกับตัวเองหรือไม่ ความอ่อนน้อมถ่อมตน ทุกคนคงได้ยินทุกคนคงได้ทราบกันหมดแล้วแหละ แต่การรู้เห็นการก่อตัว การเกิดการดับ การแยกการคลาย ต้องพยายามหัดวิเคราะห์หัดสังเกตเอา ไม่ใช่ว่าจะไปให้คนนั้นเขาชี้คนนี้เขาชี้ เราติดขัดตรงไหนก็เพียงแค่ไปถาม รู้แนวทางแล้วก็ไปทำความเพียร
สมัยก่อนพระพุทธกาล สมัยก่อนพุทธกาล ญาติโยมหรือว่าคนไปฝึกหัดปฏิบัติ เมื่อเจอพระพุทธองค์ก็กราบก็ไหว้ แล้วก็พระพุทธองค์ก็ชี้แนะแนวทางแค่คำสองคำ ครั้งสองครั้ง เขาก็ไปปฏิบัติเข้าป่าทำความเพียรให้ต่อเนื่อง บางทีเป็นเดือนสองเดือน ติดขัดตรงไหนค่อยไปถาม หรือว่าบางครั้งก็อาจจะเป็นปี บางครั้งก็สำเร็จไปเลยก็มี ไม่จำเป็นต้องไปถาม นั่นแหละคือความเพียร พวกเราทุกวันนี้แต่ละวันก็ไปนั่นบ้างไปนี่บ้าง ไปแสวงหาไปถามที่นั่นถามที่นี่ แต่การลงมือจริงๆ ไม่ค่อยจะมี ทั้งที่อานิสงส์บุญบารมีนั้นก็มีกันเต็มเปี่ยม
ทำไมถึงว่ามีกันเต็มเปี่ยม เพราะว่าได้เกิดมาเป็นมนุษย์ก็มีบุญ มีโอกาสมีวาสนามีอาการครบ 32 อย่าง แล้วก็เกิดในสถานที่มีพุทธศาสนาเป็นหลักชัย มีองค์พระเจ้าอยู่หัวเป็นองค์อุปถัมภ์ แล้วก็เกิดมาในตระกูลที่เป็นสัมมาทิฏฐิ ได้ผ่านกาลผ่านเวลา ผ่านร้อนผ่านหนาว ได้รับการศึกษาได้รับการเล่าเรียน รู้จักผิดถูกชั่วดี อันนี้ก็นับว่าเป็นอานิสงส์เป็นบารมีของเรา
ทีนี้การเจริญสติที่ต่อเนื่อง พวกเราต้องสร้างเอาต้องทำเอา รู้จักแนวทางแล้วก็ไปเร่งทำความเพียรให้ต่อเนื่องกัน ถ้าความรู้ตัวไม่ต่อเนื่อง เราก็พยายามเพิ่มเอา ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาจนกระทั่งนอนหลับนั่นแหละ ตื่นขึ้นมาจิตของเราสงบหรือไม่ จิตของเราส่งออกไปภายนอกกี่ครั้งสักกี่เรื่อง เป็นกุศลหรือว่าอกุศล ความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิตของเราสักกี่ครั้ง จะลุกจะก้าวจะเดิน จิตของเรายังนิ่งอยู่ไหม ตากระทบรูปหูกระทบเสียง จิตของเรายังนิ่งอยู่ไหม สติของเราต้องเร็วต้องไวอยู่ตลอดเวลาจนเป็นมหาสติ ความคิดเขาก่อตัวอย่างไร ทำไมจิตของเราเคลื่อนเข้าไปรวมกับความคิด จนเกิดอัตตาตัวตน จนกายก็หนักจิตก็หนัก
ถ้าเรารู้เท่าทันสังเกตทัน เขาก็จะแยกออกจากกันโดยปริยาย ถ้าแยกจากกันได้ ก็ตามทำความเข้าใจ เราก็จะเข้าใจในเรื่องอัตตา ในเรื่องอนัตตา เข้าใจในเรื่องอนิจจังทุกขังอนัตตา ในขันธ์ห้าของตัวเราเอง มองเห็นทางทะลุปรุโปร่ง เราจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิด ความเพียรของเรามียิ่งยวดหรือไม่ เราก็ต้องพยายามเอา
ไม่ใช่ว่าไปอยู่ที่โน้นไปอยู่ที่นี่เราจะเข้าใจในธรรม ถ้าเราทำไม่ถูกทาง แม้แต่จับชายจีวรพระพุทธเจ้าอยู่ก็ไม่รู้ธรรม ถ้าคนไม่รู้จักแนวทางจริงๆ ก็ต้องพยายามเอา
ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี เราอยู่ด้วยกัน อยู่คนละทิศละทางก็มาอยู่ร่วมกัน ก็ให้มีตั้งแต่ความรักความสมัครสมานสามัคคีซึ่งกันและกัน มีอะไรก็คอยช่วยเหลือกัน อย่าไปเห็นแก่ตัว อย่าไปเห็นแก่กิน แก่ความเกียจคร้าน จงเป็นคนมีความรับผิดชอบ รับผิดชอบต่อตัวเรา ใช้ตัวเราให้ได้ แล้วก็รับผิดชอบต่อส่วนรวม เราก็จะอยู่ดีมีความสุข
อยู่ที่ไหนก็จะมีตั้งแต่ความสุข ถ้าคนเรารู้จักมีความเสียสละ มีความรับผิดชอบ สร้างทรัพย์ภายในให้มีให้เกิดขึ้น ความรู้ตัวไม่มีเราก็สร้างให้มี การเดินปัญญา การสังเกตแยกแยะ ไม่ทันเราก็พยายามสังเกตใหม่ การฝึกหัดปฏิบัติจิตเป็นของละเอียดอ่อน เราต้องน้อมสังเกตดูภายในตลอดเวลา ทำในใจตลอดเวลา
ตากระทบรูปรู้ใจ หูกระทบเสียงรู้ใจของเรา หูตาจมูกลิ้นซึ่งเป็นทางผ่านรูปรสกลิ่นเสียง ภาษาธรรมภาษาโลกเป็นอย่างไร สักแต่ว่าดู สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าฟัง เป็นอย่างไร การได้ยินได้ฟังทุกคนมีกันเต็มเปี่ยมแหละ ทุกคนได้ยินได้ฟัง
หลวงพ่อก็พูดเรื่องเก่าของเก่านี่มาเป็น 20 ปีแล้ว ตั้งแต่เริ่มออกบวชยังไม่ถึงเดือนสองเดือนเลย หลวงพ่อพูดเรื่องนี้แหละ เพราะว่าจิตมันว่างตั้งแต่เป็นเด็ก มาแยกรูปแยกนาม จิตดีดออกจากขันธ์ห้าได้ก็เพียงแค่ 10 กว่าวัน ก็เข้าป่าช้าละความกลัว เร่งทำความเพียร แล้วก็พูดเรื่องนี้แหละ อยากจะเปิดเผยให้ทุกคนได้เข้าใจ สมัยก่อนเห็นแล้วมีความสุข อยู่คนเดียวก็มีความสุข เกิดปีติเกิดสุข อยากให้ญาติโยมให้พี่ให้น้องได้รับความสุขเหมือนกับตัวของเราได้รับ
แต่คนเราก็สร้างอานิสงส์มาไม่เหมือนกัน บางคนก็สร้างมามากบางคนก็สร้างมาน้อย บางคนก็เข้าใจง่ายบางคนก็เข้าใจยาก ก็ขึ้นอยู่กับอานิสงส์บุญบารมีของแต่ละบุคคล แต่เราก็อย่าไปลืมในการสร้างบารมีให้กับตัวเราตลอดเวลา ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาเราก็หมั่นสำรวจ เรามีโอกาสทำบุญให้กับตัวเรา ทำบุญให้กับพ่อกับแม่ กับพี่กับน้อง กับเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน รู้จักให้อภัยทานอโหสิกรรม มองโลกในทางที่ดี ไม่ต้องไปกลัวว่าจะเสียเปรียบกิเลสคนโน้นเสียเปรียบกิเลสคนนี้ เราชนะตัวเราแล้วเราก็จะชนะหมด
จิตนี้ก็แปลก ถ้าไม่ฝึกฝนจริงๆ เขาก็ปิดกั้นตัวเองเหมือนกัน เขาก็หลงตัวเอง เขาเรียกว่า ‘อัตตาตัวตน’ หลงขันธ์ห้ายังไม่พอ ไปยึดเอาเอาอันนั้นยึดเอาอันนี้หมด ถ้าเราแยกจิตออกจากความคิดได้ มันก็วางได้ระดับหนึ่ง ทีนี้เราตามทำความเข้าใจ ให้หมั่นพร่ำสอนจิต หาเหตุหาผลให้จิตรับรู้ตามความเป็นจริง เขาก็จะไม่ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งต่างๆ เขารู้ความจริงแล้วเขาก็จะไม่เกิด การเกิดเป็นทุกข์เขาก็ไม่เอา การเข้าไปยึดนั่นยึดนี่ เป็นทาสของอารมณ์ ทาสกิเลสเขาก็ไม่เอา แต่เวลานี้เข้าทั้งเกิดด้วย ทั้งยึดด้วย ทั้งหลงด้วย สารพัดอย่าง
กำลังสติของเราต้องหาเหตุหาผล กำลังสติของเราหาเหตุหาผลยังไม่ได้ เพราะว่าแม้ตั้งแต่การสร้างความรู้ตัว พวกเรายังสร้างไม่ต่อเนื่องกันเลย มันจะไปเห็นเหตุเห็นผลได้อย่างไร มันก็มีเหตุมีผลตั้งแต่อยู่ระดับของสมมติเท่านั้นแหละ เหตุผลในหลักธรรมจริงๆ แล้วมันไม่มีเลย เพราะว่าการสร้างความรู้ตัวไม่ได้ต่อเนื่อง แล้วการแยกจิตออกจากขันธ์ห้าก็ยังไม่มี ถึงแยกได้ก็ยังตามทำความเข้าใจไม่ได้ทุกเรื่อง การเกิดของจิตก็ยังมีอยู่ กว่าจะสะสางได้กว่าจะดับความเกิดได้ เราต้องใช้ความเพียรอย่างยิ่งยวดเลยทีเดียว ไอ้ที่เราทำก็ทำกันเหยาะๆ แหยะๆ มันจะไปได้อะไร ก็ต้องไปพยายามกันเอานะ
ดับความคิด ดับความกังวล ดับความฟุ้งซ่านต่างๆ ออกให้หมด ด้วยการกระตุ้นความรู้สึกสัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเรา สูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ ให้ทั่วท้อง แล้วก็ผ่อนลมหายใจมายาวๆ สัก 2-3 เที่ยว การสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ สัมผัสของลมหายใจก็จะเด่นชัด นั่นแหละความรู้สึกรับรู้เวลาลมกระทบปลายจมูก ความรู้สึกรับรู้เวลาลมกระทบปลายจมูกออกเข้าๆ
ถ้ามีความพลั้งเผลอแล้วก็เริ่มใหม่ เริ่มสร้างความรู้สึกตัวใหม่ สติก็จะตั้งมั่นขึ้น ถ้าเรารู้จักขยันหมั่นเพียรในการสร้างความรู้ตัวตรงนี้ เราก็จะรู้เห็นอะไรอีกเยอะ รู้การเกิดของจิต รู้ลักษณะของจิต รู้ลักษณะอาการของความคิด รู้จักละกิเลส รู้จักควบคุมตัวเอง รู้จักหน้าที่ รู้จักรับผิดชอบ
ตามความเป็นจริง ทุกคนก็ฝักใฝ่สนใจในการปฏิบัติอยู่ตลอด แต่การเจริญสติไม่ค่อยจะต่อเนื่องกันเท่าไร การได้ยินการได้อ่านการได้ฟัง ทุกคนก็แสวงหากัน แต่การลงมือสร้างความรู้ตัวไม่ค่อยจะทำให้ต่อเนื่อง ก็เลยไม่เข้าใจ ไปปฏิบัติธรรมที่นั่นบ้างไปปฎิบัติธรรมที่นี่บ้าง ไปฝึกตรงนั้นบ้างตรงนี้บ้าง กับครูบาอาจารย์องค์โน้นบ้างองค์นี้บ้าง
ถ้าเรารู้จักจุดยืนของตัวเราเอง ถ้าเรารู้จักแก้ไขตัวเราเอง การสร้างความรู้ตัวเป็นลักษณะอย่างนี้ การควบคุมจิตเป็นลักษณะอย่างนี้ การควบคุมจิตควบคุมอยู่ในระดับไหน การข่มการบังคับการฝืน หรือสังเกตการแยกจิต แยกความคิด แยกอารมณ์ออกให้ชัดเจน เราก็จะมองเห็นทาง สติก็จะเป็นอาจารย์คอยตรวจสอบจิต คอยหมั่นพร่ำสอนจิตของตัวเราเองตลอดเวลา ไม่จำเป็นเลยที่จะไปวิ่งให้คนนั้นเขาสอนคนนี้เขาสอน
ถ้าคนจะเอาแล้วฟังนิดเดียว รู้จักแก้ไขตัวเองปรับปรุงตัวเอง กายวิเวกเป็นอย่างนี้ จิตวิเวกเป็นอย่างนี้ จิตเกิดกิเลสเราก็รีบดับเสีย โลกธรรมแปดก็เป็นอย่างนี้ โลกภายในโลกภายนอก โลกภายในคือกายของเราคือจิตของเรา รอบรู้ในกองสังขาร รอบรู้ในความคิดของเรา เราไม่เข้าใจเราก็เพิ่มความเพียรให้เป็นทวีคูณๆ จะมีตั้งแต่ความสุข รู้จักสำรวจตัวเอง รู้จักสร้างอานิสงส์สร้างบารมีให้ตัวเองอยู่ตลอดเวลา
เรามีความขยันหมั่นเพียรหรือไม่ เรามีความรับผิดชอบหรือไม่ เรามีความเสียสละ มีสัจจะกับตัวเองหรือไม่ ความอ่อนน้อมถ่อมตน ทุกคนคงได้ยินทุกคนคงได้ทราบกันหมดแล้วแหละ แต่การรู้เห็นการก่อตัว การเกิดการดับ การแยกการคลาย ต้องพยายามหัดวิเคราะห์หัดสังเกตเอา ไม่ใช่ว่าจะไปให้คนนั้นเขาชี้คนนี้เขาชี้ เราติดขัดตรงไหนก็เพียงแค่ไปถาม รู้แนวทางแล้วก็ไปทำความเพียร
สมัยก่อนพระพุทธกาล สมัยก่อนพุทธกาล ญาติโยมหรือว่าคนไปฝึกหัดปฏิบัติ เมื่อเจอพระพุทธองค์ก็กราบก็ไหว้ แล้วก็พระพุทธองค์ก็ชี้แนะแนวทางแค่คำสองคำ ครั้งสองครั้ง เขาก็ไปปฏิบัติเข้าป่าทำความเพียรให้ต่อเนื่อง บางทีเป็นเดือนสองเดือน ติดขัดตรงไหนค่อยไปถาม หรือว่าบางครั้งก็อาจจะเป็นปี บางครั้งก็สำเร็จไปเลยก็มี ไม่จำเป็นต้องไปถาม นั่นแหละคือความเพียร พวกเราทุกวันนี้แต่ละวันก็ไปนั่นบ้างไปนี่บ้าง ไปแสวงหาไปถามที่นั่นถามที่นี่ แต่การลงมือจริงๆ ไม่ค่อยจะมี ทั้งที่อานิสงส์บุญบารมีนั้นก็มีกันเต็มเปี่ยม
ทำไมถึงว่ามีกันเต็มเปี่ยม เพราะว่าได้เกิดมาเป็นมนุษย์ก็มีบุญ มีโอกาสมีวาสนามีอาการครบ 32 อย่าง แล้วก็เกิดในสถานที่มีพุทธศาสนาเป็นหลักชัย มีองค์พระเจ้าอยู่หัวเป็นองค์อุปถัมภ์ แล้วก็เกิดมาในตระกูลที่เป็นสัมมาทิฏฐิ ได้ผ่านกาลผ่านเวลา ผ่านร้อนผ่านหนาว ได้รับการศึกษาได้รับการเล่าเรียน รู้จักผิดถูกชั่วดี อันนี้ก็นับว่าเป็นอานิสงส์เป็นบารมีของเรา
ทีนี้การเจริญสติที่ต่อเนื่อง พวกเราต้องสร้างเอาต้องทำเอา รู้จักแนวทางแล้วก็ไปเร่งทำความเพียรให้ต่อเนื่องกัน ถ้าความรู้ตัวไม่ต่อเนื่อง เราก็พยายามเพิ่มเอา ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาจนกระทั่งนอนหลับนั่นแหละ ตื่นขึ้นมาจิตของเราสงบหรือไม่ จิตของเราส่งออกไปภายนอกกี่ครั้งสักกี่เรื่อง เป็นกุศลหรือว่าอกุศล ความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิตของเราสักกี่ครั้ง จะลุกจะก้าวจะเดิน จิตของเรายังนิ่งอยู่ไหม ตากระทบรูปหูกระทบเสียง จิตของเรายังนิ่งอยู่ไหม สติของเราต้องเร็วต้องไวอยู่ตลอดเวลาจนเป็นมหาสติ ความคิดเขาก่อตัวอย่างไร ทำไมจิตของเราเคลื่อนเข้าไปรวมกับความคิด จนเกิดอัตตาตัวตน จนกายก็หนักจิตก็หนัก
ถ้าเรารู้เท่าทันสังเกตทัน เขาก็จะแยกออกจากกันโดยปริยาย ถ้าแยกจากกันได้ ก็ตามทำความเข้าใจ เราก็จะเข้าใจในเรื่องอัตตา ในเรื่องอนัตตา เข้าใจในเรื่องอนิจจังทุกขังอนัตตา ในขันธ์ห้าของตัวเราเอง มองเห็นทางทะลุปรุโปร่ง เราจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิด ความเพียรของเรามียิ่งยวดหรือไม่ เราก็ต้องพยายามเอา
ไม่ใช่ว่าไปอยู่ที่โน้นไปอยู่ที่นี่เราจะเข้าใจในธรรม ถ้าเราทำไม่ถูกทาง แม้แต่จับชายจีวรพระพุทธเจ้าอยู่ก็ไม่รู้ธรรม ถ้าคนไม่รู้จักแนวทางจริงๆ ก็ต้องพยายามเอา
ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี เราอยู่ด้วยกัน อยู่คนละทิศละทางก็มาอยู่ร่วมกัน ก็ให้มีตั้งแต่ความรักความสมัครสมานสามัคคีซึ่งกันและกัน มีอะไรก็คอยช่วยเหลือกัน อย่าไปเห็นแก่ตัว อย่าไปเห็นแก่กิน แก่ความเกียจคร้าน จงเป็นคนมีความรับผิดชอบ รับผิดชอบต่อตัวเรา ใช้ตัวเราให้ได้ แล้วก็รับผิดชอบต่อส่วนรวม เราก็จะอยู่ดีมีความสุข
อยู่ที่ไหนก็จะมีตั้งแต่ความสุข ถ้าคนเรารู้จักมีความเสียสละ มีความรับผิดชอบ สร้างทรัพย์ภายในให้มีให้เกิดขึ้น ความรู้ตัวไม่มีเราก็สร้างให้มี การเดินปัญญา การสังเกตแยกแยะ ไม่ทันเราก็พยายามสังเกตใหม่ การฝึกหัดปฏิบัติจิตเป็นของละเอียดอ่อน เราต้องน้อมสังเกตดูภายในตลอดเวลา ทำในใจตลอดเวลา
ตากระทบรูปรู้ใจ หูกระทบเสียงรู้ใจของเรา หูตาจมูกลิ้นซึ่งเป็นทางผ่านรูปรสกลิ่นเสียง ภาษาธรรมภาษาโลกเป็นอย่างไร สักแต่ว่าดู สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าฟัง เป็นอย่างไร การได้ยินได้ฟังทุกคนมีกันเต็มเปี่ยมแหละ ทุกคนได้ยินได้ฟัง
หลวงพ่อก็พูดเรื่องเก่าของเก่านี่มาเป็น 20 ปีแล้ว ตั้งแต่เริ่มออกบวชยังไม่ถึงเดือนสองเดือนเลย หลวงพ่อพูดเรื่องนี้แหละ เพราะว่าจิตมันว่างตั้งแต่เป็นเด็ก มาแยกรูปแยกนาม จิตดีดออกจากขันธ์ห้าได้ก็เพียงแค่ 10 กว่าวัน ก็เข้าป่าช้าละความกลัว เร่งทำความเพียร แล้วก็พูดเรื่องนี้แหละ อยากจะเปิดเผยให้ทุกคนได้เข้าใจ สมัยก่อนเห็นแล้วมีความสุข อยู่คนเดียวก็มีความสุข เกิดปีติเกิดสุข อยากให้ญาติโยมให้พี่ให้น้องได้รับความสุขเหมือนกับตัวของเราได้รับ
แต่คนเราก็สร้างอานิสงส์มาไม่เหมือนกัน บางคนก็สร้างมามากบางคนก็สร้างมาน้อย บางคนก็เข้าใจง่ายบางคนก็เข้าใจยาก ก็ขึ้นอยู่กับอานิสงส์บุญบารมีของแต่ละบุคคล แต่เราก็อย่าไปลืมในการสร้างบารมีให้กับตัวเราตลอดเวลา ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาเราก็หมั่นสำรวจ เรามีโอกาสทำบุญให้กับตัวเรา ทำบุญให้กับพ่อกับแม่ กับพี่กับน้อง กับเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน รู้จักให้อภัยทานอโหสิกรรม มองโลกในทางที่ดี ไม่ต้องไปกลัวว่าจะเสียเปรียบกิเลสคนโน้นเสียเปรียบกิเลสคนนี้ เราชนะตัวเราแล้วเราก็จะชนะหมด
จิตนี้ก็แปลก ถ้าไม่ฝึกฝนจริงๆ เขาก็ปิดกั้นตัวเองเหมือนกัน เขาก็หลงตัวเอง เขาเรียกว่า ‘อัตตาตัวตน’ หลงขันธ์ห้ายังไม่พอ ไปยึดเอาเอาอันนั้นยึดเอาอันนี้หมด ถ้าเราแยกจิตออกจากความคิดได้ มันก็วางได้ระดับหนึ่ง ทีนี้เราตามทำความเข้าใจ ให้หมั่นพร่ำสอนจิต หาเหตุหาผลให้จิตรับรู้ตามความเป็นจริง เขาก็จะไม่ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งต่างๆ เขารู้ความจริงแล้วเขาก็จะไม่เกิด การเกิดเป็นทุกข์เขาก็ไม่เอา การเข้าไปยึดนั่นยึดนี่ เป็นทาสของอารมณ์ ทาสกิเลสเขาก็ไม่เอา แต่เวลานี้เข้าทั้งเกิดด้วย ทั้งยึดด้วย ทั้งหลงด้วย สารพัดอย่าง
กำลังสติของเราต้องหาเหตุหาผล กำลังสติของเราหาเหตุหาผลยังไม่ได้ เพราะว่าแม้ตั้งแต่การสร้างความรู้ตัว พวกเรายังสร้างไม่ต่อเนื่องกันเลย มันจะไปเห็นเหตุเห็นผลได้อย่างไร มันก็มีเหตุมีผลตั้งแต่อยู่ระดับของสมมติเท่านั้นแหละ เหตุผลในหลักธรรมจริงๆ แล้วมันไม่มีเลย เพราะว่าการสร้างความรู้ตัวไม่ได้ต่อเนื่อง แล้วการแยกจิตออกจากขันธ์ห้าก็ยังไม่มี ถึงแยกได้ก็ยังตามทำความเข้าใจไม่ได้ทุกเรื่อง การเกิดของจิตก็ยังมีอยู่ กว่าจะสะสางได้กว่าจะดับความเกิดได้ เราต้องใช้ความเพียรอย่างยิ่งยวดเลยทีเดียว ไอ้ที่เราทำก็ทำกันเหยาะๆ แหยะๆ มันจะไปได้อะไร ก็ต้องไปพยายามกันเอานะ