หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551 ลำดับที่ 043
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551 ลำดับที่ 043
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
ขอให้ญาติโยมเราทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกของตัวเราเองให้ต่อเนื่องกันสักพักสักระยะหนึ่งเสียก่อนนะ นั่งตามสบายๆ วางความคิด วางอารมณ์ ดับความคิด ดับความกังวล ดับความฟุ้งซ่านต่างๆ เอาไว้ ด้วยการสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจเข้าออกของตัวเราเอง ซึ่งเรียกว่า ‘อานาปานสติ’
ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียกสร้างความรู้สึกรับรู้ เราอย่าไปเพ่ง ถ้าเราเพ่งสมองก็จะตึง ถ้าเราเอาจิตไปจดจ่อกับลมหายใจ หน้าอกก็จะแน่น ให้เราสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ กายของเราก็รู้สึกว่าสบายขึ้น จิตของเราก็สงบตั้งมั่นขึ้น ความรู้สึกสัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกก็จะเด่นชัด
นั่นแหละ ให้เราพยายามสร้างความรู้สึกให้ต่อเนื่อง ถ้าพลั้งเผลอเราก็เริ่มขึ้นมาใหม่ๆ ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถไหน ยืนเดินนั่งนอน กินอยู่ขับถ่าย ถ้าเราสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่อง จิตของเราจะปรุงแต่งส่งไปภายนอก เราก็จะรู้ทัน เราก็รู้จักควบคุมจิต ความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิต จิตจะเคลื่อนเข้าไปรวมกับความคิด เราก็จะรู้เท่าทัน จิตกับความคิดก็จะคลายออกจากกัน ซึ่งเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ ซึ่งเรียกว่า ‘วิปัสสนา’
อันนี้เพียงแค่ชี้แค่แนะแค่เล่าให้ฟัง เพียงแค่สร้างความรู้สึกตัวให้ต่อเนื่องตั้งแต่ตื่นขึ้นมา พวกเรายังไม่ได้สร้างกันเลย หรือบางคนอาจจะสร้างอยู่แต่ไม่ต่อเนื่อง ระลึกได้นานๆ ทีถึงระลึกได้ที บางทีเกิดความทุกข์ถึงจะเข้าไปดับเข้าไปแก้ ไม่ทันหรอก
การเกิดของจิต การเกิดของขันธ์ห้า การเกิดของกายเนื้อ นี่แหละคือความทุกข์ อนิจจังทุกขังอนัตตา ความไม่เที่ยง เราไม่เข้าใจแนวทางเราถึงแสวงหาแนวทาง ไปแสวงหาที่นั่นบ้างที่นี่บ้าง ตามความเป็นจริงเราก็แสวงหาอยู่ในกายของเรา
พระพุทธองค์ท่านเป็นองค์ค้นพบ แล้วก็เอามาเปิดเผยให้สัตว์โลกได้เดินตาม การเจริญสติที่ต่อเนื่องเป็นอย่างนี้ การสร้างบารมีเป็นอย่างนี้ ศรัทธาของพวกเรามีเต็มเปี่ยมหรือไม่ในพระรัตนตรัย ความเสียสละ ละกิเลสของเรามีหรือไม่ ความละความเห็นแก่ตัว ละความโลภ ละความโกรธ ละความทะเยอทะยานอยาก ออกจากใจของเรา มองโลกในทางที่ดีแล้วก็คิดดี
ทุกคนมีอานิสงส์ทุกคนมีบุญถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ทุกคนปฏิบัติธรรมกันมาก่อนถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ปฏิบัติธรรมกันมาตั้งแต่ก่อน แล้วก็ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ หลังจากเกิดมาก็เริ่มปฏิบัติธรรมกันมาตั้งแต่เกิด แต่เราไม่ได้เจริญสติเข้าไปดูเท่านั้นเอง
ทำไมถึงว่าได้ปฏิบัติธรรมกันมาตั้งแต่เกิด เพราะว่าสภาพสภาวะทางด้านสมมติ ทางด้านร่างกายของเราก็มีการเปลี่ยนแปลง จากเด็กเป็นเด็กเล็ก เด็กโต ขึ้นมาเรื่อยๆ ได้รับการพัฒนา ได้รับการศึกษา ได้รับการเล่าเรียน ผ่านกาลผ่านเวลา ผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านทุกข์ผ่านสุข อันนั้นก็ปฏิบัติโดยธรรมชาติของเขา จนได้รับการศึกษาเล่าเรียน มีความรับผิดชอบผิดถูกชั่วดี จนได้ทำการทำงาน จบออกมาได้ทำการทำงาน
บางคนบางท่านก็มีครอบครัว บางคนบางท่านก็ได้รับภาระหน้าที่อันใหญ่หลวงในการทำการทำงาน มีความรับผิดชอบอยู่ในระดับของสมมติ อันนี้ก็เรียกว่าการปฏิบัตอยู่ในระดับของสมมติที่ถูกต้อง ไม่เบียดเบียนตนไม่เบียดเบียนคนอื่น เราสร้างฐานะครอบครัวของตัวเองอยู่ในทางสมมติไม่ให้ลำบาก
สูงขึ้นไป พวกเราไม่ได้เจริญสติให้ต่อเนื่อง เข้าไปดูรู้จิต ว่าความว่าง จิตที่ปกติ จิตที่ปราศจากกิเลสเป็นอย่างไร จิตที่ปราศจากการเกิด ปราศจากความยึดมั่นถือมั่นเป็นอย่างไร คำว่าอัตตาหรือว่าอนัตตาเป็นลักษณะอย่างไร คำว่าสมาธิความสงบ จิตที่สงบ สงบด้วยการบังคับเอาไว้ หรือว่าสงบด้วยการรู้เห็นตามความเป็นจริง สงบด้วยการชำระสะสางกิเลสออกจากใจของเราให้หมด
อันนี้เราต้องศึกษาค้นคว้า เราไม่เข้าใจแนวทางเราถึงได้ไปแสวงหาแนวทาง ถ้าเราเข้าใจแนวทางแล้ว เราก็ดูรู้เราแก้ไขเราตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ความเป็นระเบียบเรียบร้อย ความเสียสละ วิริยะความเพียรต่างๆ หมั่นพร่ำสอนตัวเองอยู่ตลอดเวลา
ไม่นานหรอก ถ้าเรารู้จักแก้ไขตัวเอง เราจะเดินได้ถึงฝั่งคือความสะอาด ความบริสุทธิ์ ความหลุดพ้น ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่ๆ แก้ไขตัวเองอยู่ตลอดเวลา อย่าไปปิดกั้นตัวเองว่าไม่มีโอกาส ทุกคนมีโอกาสเท่าเทียมกันหมดนั่นแหละ จะมีวาสนาสร้างบารมีให้กับตัวเองได้เต็มที่หรือไม่เท่านั้นเอง
ทุกคนเกิดมาด้วยแรงบุญ ทุกคนเกิดมาด้วยแรงกรรม เราต้องศึกษาเรื่องกรรม กรรมคือการกระทำ กรรมปัจจุบันกรรมอดีต อะไรคือตัววิบากกรรม ตัวขันธ์ห้าตัววิบากกรรม จิตของเราไปหลงความคิดหลงอารมณ์ ทำให้เกิดความยึดมั่นถือมั่น ทำให้เกิดอัตตาตัวตน กายก็เลยหนัก จิตก็เลยหนัก
เราต้องมาศึกษาแยกรูปแยกนาม วางจิต ถ้าเราไม่รู้จักจุดปลงจุดปล่อยจุดวาง ก็ยากที่จะวางได้เหมือนกัน แต่เราก็น้อมใจเข้ามาในกองบุญกองกุศลเอาไว้ หมั่นสร้างบุญสร้างกุศล สร้างอานิสงส์ให้มีให้เกิดขึ้น ทำกายให้เป็นบุญ ทำวาจาให้เป็นบุญ ทำใจให้เป็นบุญ
ตื่นขึ้นมา อะไรที่จะเป็นประโยชน์เป็นกุศลเราก็รีบสร้างรีบทำ ประโยชน์ตนประโยชน์ท่าน ประโยชน์สูงสุด ประโยชน์ในโลกนี้ ถ้าเราทำปัจจุบันดีก็จะส่งผลถึงอนาคตดี ถ้าเราอยู่กับปัจจุบัน ทำดีอยู่ปัจจุบัน อนาคตก็จะออกมาดี อะไรที่เป็นอกุศล สิ่งที่ไม่ดีเราก็พยายามละเสีย ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน อยู่สภาวะอย่างไร ทุกอิริยาบถ ยืนเดินนั่งนอน กินอยู่ขับถ่าย เราต้องศึกษาให้หมด
บุคคลที่มีสติมีปัญญาไม่จำเป็นต้องไปแสวงหาที่ไหน หาที่กายของเรา การสร้างสติการสร้างความรู้ตัวเป็นอย่างนี้ การควบคุมจิตควบคุมอารมณ์อยู่ในระดับนี้เป็นอย่างนี้ การแยกรูปแยกนาม การชำระสะสางกิเลส เราต้องวางทิฏฐิ วางความคิดเห็นของเราต่างๆ ออกให้หมด
อย่าไปนึกด้นเดาเอาตามอำนาจของกิเลสของเรา ว่าจะต้องเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ อันนี้เป็นปัญญาของโลกีย์ ถึงจะพิจารณาในธรรมก็ยังเป็นธรรมโลกีย์อยู่ แม้แต่ความอยากเล็กๆ น้อยๆ เราก็ไม่ให้เกิด ไม่จำเป็นต้องไปเอาความทะเยอทะยานอยากตัวใหญ่หรอก อยากในรูปในรสในกลิ่นในเสียงต่างๆ อยากมีอยากเป็น อยากไปอยากมา ไม่อยากมีไม่อยากเป็นไม่อยากมา เราต้องดับต้องละออกให้มันหมด
ถ้าเราต้องการสิ่งต่างๆ ในโลกนี้ เราก็เอามาด้วยสติเอามาด้วยปัญญา แต่สติปัญญาของเรายังไม่ได้เต็มเปี่ยม สติปัญญาของเรายังไม่ได้สร้าง ยังไม่ได้ไปคลายจิตออกจากความหลง ยังไม่ได้ไปชำระสะสางกิเลสออกจากใจของเรา มันก็ยากที่จะเข้าถึงความบริสุทธิ์หลุดพ้นได้ เราก็ต้องพยายามสร้างบารมี
แต่ละวันตื่นขึ้นมา จิตของทุกดวงก็ปรารถนาที่จะหาทางดับทุกข์ หาทางหลุดพ้น อย่างมาวัดก็ปรารถนาที่จะรู้เห็นตัวเราเอง มาแก้ไขเราเอง เราก็ต้องพยายามกัน
ไม่ว่าอยู่ใกล้อยู่ไกล ก็เป็นพี่เป็นน้อง เป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน เคยทำบุญร่วมกันถึงได้มาเห็นหน้าเห็นตากัน ได้มาอยู่ร่วมกันเพียงเล็กๆ น้อยๆ ก็เป็นบุญเป็นกุศล มาเถิด มีโอกาสมีเวลา อยากจะมาประพฤติมาปฏิบัติที่วัดธรรมอุทยานแห่งนี้ ก็ขอเชิญได้ตลอดเวลา น้อมกายเข้ามาศึกษา น้อมกายเข้ามาค้นคว้า ไม่รู้มากก็ต้องรู้น้อย ไม่เข้าใจแนวทางเราก็ต้องจะเข้าใจแนวทาง ตราบใดที่เรายังฝักใฝ่ยังสนใจอยู่ ล้มแล้วก็ลุกขึ้นมาใหม่ ก็ต้องพยายามกัน
หลวงพ่อก็มีความภูมิใจที่ญาติโยมฝักใฝ่สนใจ ในเรื่องการศึกษาค้นคว้าตัวเราเอง ในเรื่องการปฏิบัติ เพียงแค่เรารู้จักว่าการสร้างความรู้ตัวที่ต่อเนื่องเป็นอย่างนี้ ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา จิตของเราส่งออกไปข้างนอกสักกี่เรื่องสักกี่ครั้ง เป็นกุศลหรือว่าอกุศล ความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิตของเราสักกี่ครั้ง นิวรณธรรมต่างๆ มาปกปิดดวงจิตของเราได้อย่างไร จิตของเรามีความกำหนัดยินดีในรูปรสกลิ่นเสียงหรือไม่ เราก็ต้องสำรวจดูทุกอิริยาบถ ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาจนกระทั่งเรานอนหลับ จนเป็นธรรมชาติในการดูในการรู้
ก็ต้องพยายามกัน ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี ก็ต้องพยายามกัน หมั่นพร่ำสอนตัวเองอยู่ตลอดเวลา คนมีสติมีปัญญารู้ฟังนิดเดียว ไปประพฤติไปปฏิบัติไปขัดเกลาตัวเอง ไปรออยู่ที่ฝั่งโน้นเลยทีเดียว ฝั่งโน้นหมายถึงฝั่งนิพพาน ฝั่งความว่าง ในความว่างนั้นมีดวงจิตอยู่ เราต้องพยายามทำจิตของเราให้สะอาดให้บริสุทธิ์ ขณะที่เรายังมีลมหายใจอยู่
อย่าไปเลือกกาลเลือกเวลา ทุกอย่าง แม้ตั้งแต่เวลาจะรับประทานอาหาร เราก็ต้องพิจารณาดู กายหิวหรือว่าจิตเกิดความอยาก กายหิวเราก็รู้ว่ากายหิว จิตเกิดความอยากเราก็รีบดับเสีย ดับให้นิ่งเสียก่อนแล้วก็เอาสติไปพิจารณาเอาอาหารมาให้กาย
ตาหูจมูกลิ้นกายทำหน้าที่อย่างไร เราก็ต้องสำรวจดูหมดนั่นแหละ ก็ต้องพยายามกันนะ วันนี้หลวงพ่อก็ได้เพียงแค่เล่าแค่ชี้แค่แนะให้ฟัง พวกท่านก็ต้องพยายามพากันไปพิจารณากัน สักวันหนึ่งก็คงจะเข้าใจ
เอาล่ะ วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอานะ
ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียกสร้างความรู้สึกรับรู้ เราอย่าไปเพ่ง ถ้าเราเพ่งสมองก็จะตึง ถ้าเราเอาจิตไปจดจ่อกับลมหายใจ หน้าอกก็จะแน่น ให้เราสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ กายของเราก็รู้สึกว่าสบายขึ้น จิตของเราก็สงบตั้งมั่นขึ้น ความรู้สึกสัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกก็จะเด่นชัด
นั่นแหละ ให้เราพยายามสร้างความรู้สึกให้ต่อเนื่อง ถ้าพลั้งเผลอเราก็เริ่มขึ้นมาใหม่ๆ ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถไหน ยืนเดินนั่งนอน กินอยู่ขับถ่าย ถ้าเราสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่อง จิตของเราจะปรุงแต่งส่งไปภายนอก เราก็จะรู้ทัน เราก็รู้จักควบคุมจิต ความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิต จิตจะเคลื่อนเข้าไปรวมกับความคิด เราก็จะรู้เท่าทัน จิตกับความคิดก็จะคลายออกจากกัน ซึ่งเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ ซึ่งเรียกว่า ‘วิปัสสนา’
อันนี้เพียงแค่ชี้แค่แนะแค่เล่าให้ฟัง เพียงแค่สร้างความรู้สึกตัวให้ต่อเนื่องตั้งแต่ตื่นขึ้นมา พวกเรายังไม่ได้สร้างกันเลย หรือบางคนอาจจะสร้างอยู่แต่ไม่ต่อเนื่อง ระลึกได้นานๆ ทีถึงระลึกได้ที บางทีเกิดความทุกข์ถึงจะเข้าไปดับเข้าไปแก้ ไม่ทันหรอก
การเกิดของจิต การเกิดของขันธ์ห้า การเกิดของกายเนื้อ นี่แหละคือความทุกข์ อนิจจังทุกขังอนัตตา ความไม่เที่ยง เราไม่เข้าใจแนวทางเราถึงแสวงหาแนวทาง ไปแสวงหาที่นั่นบ้างที่นี่บ้าง ตามความเป็นจริงเราก็แสวงหาอยู่ในกายของเรา
พระพุทธองค์ท่านเป็นองค์ค้นพบ แล้วก็เอามาเปิดเผยให้สัตว์โลกได้เดินตาม การเจริญสติที่ต่อเนื่องเป็นอย่างนี้ การสร้างบารมีเป็นอย่างนี้ ศรัทธาของพวกเรามีเต็มเปี่ยมหรือไม่ในพระรัตนตรัย ความเสียสละ ละกิเลสของเรามีหรือไม่ ความละความเห็นแก่ตัว ละความโลภ ละความโกรธ ละความทะเยอทะยานอยาก ออกจากใจของเรา มองโลกในทางที่ดีแล้วก็คิดดี
ทุกคนมีอานิสงส์ทุกคนมีบุญถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ทุกคนปฏิบัติธรรมกันมาก่อนถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ปฏิบัติธรรมกันมาตั้งแต่ก่อน แล้วก็ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ หลังจากเกิดมาก็เริ่มปฏิบัติธรรมกันมาตั้งแต่เกิด แต่เราไม่ได้เจริญสติเข้าไปดูเท่านั้นเอง
ทำไมถึงว่าได้ปฏิบัติธรรมกันมาตั้งแต่เกิด เพราะว่าสภาพสภาวะทางด้านสมมติ ทางด้านร่างกายของเราก็มีการเปลี่ยนแปลง จากเด็กเป็นเด็กเล็ก เด็กโต ขึ้นมาเรื่อยๆ ได้รับการพัฒนา ได้รับการศึกษา ได้รับการเล่าเรียน ผ่านกาลผ่านเวลา ผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านทุกข์ผ่านสุข อันนั้นก็ปฏิบัติโดยธรรมชาติของเขา จนได้รับการศึกษาเล่าเรียน มีความรับผิดชอบผิดถูกชั่วดี จนได้ทำการทำงาน จบออกมาได้ทำการทำงาน
บางคนบางท่านก็มีครอบครัว บางคนบางท่านก็ได้รับภาระหน้าที่อันใหญ่หลวงในการทำการทำงาน มีความรับผิดชอบอยู่ในระดับของสมมติ อันนี้ก็เรียกว่าการปฏิบัตอยู่ในระดับของสมมติที่ถูกต้อง ไม่เบียดเบียนตนไม่เบียดเบียนคนอื่น เราสร้างฐานะครอบครัวของตัวเองอยู่ในทางสมมติไม่ให้ลำบาก
สูงขึ้นไป พวกเราไม่ได้เจริญสติให้ต่อเนื่อง เข้าไปดูรู้จิต ว่าความว่าง จิตที่ปกติ จิตที่ปราศจากกิเลสเป็นอย่างไร จิตที่ปราศจากการเกิด ปราศจากความยึดมั่นถือมั่นเป็นอย่างไร คำว่าอัตตาหรือว่าอนัตตาเป็นลักษณะอย่างไร คำว่าสมาธิความสงบ จิตที่สงบ สงบด้วยการบังคับเอาไว้ หรือว่าสงบด้วยการรู้เห็นตามความเป็นจริง สงบด้วยการชำระสะสางกิเลสออกจากใจของเราให้หมด
อันนี้เราต้องศึกษาค้นคว้า เราไม่เข้าใจแนวทางเราถึงได้ไปแสวงหาแนวทาง ถ้าเราเข้าใจแนวทางแล้ว เราก็ดูรู้เราแก้ไขเราตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ความเป็นระเบียบเรียบร้อย ความเสียสละ วิริยะความเพียรต่างๆ หมั่นพร่ำสอนตัวเองอยู่ตลอดเวลา
ไม่นานหรอก ถ้าเรารู้จักแก้ไขตัวเอง เราจะเดินได้ถึงฝั่งคือความสะอาด ความบริสุทธิ์ ความหลุดพ้น ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่ๆ แก้ไขตัวเองอยู่ตลอดเวลา อย่าไปปิดกั้นตัวเองว่าไม่มีโอกาส ทุกคนมีโอกาสเท่าเทียมกันหมดนั่นแหละ จะมีวาสนาสร้างบารมีให้กับตัวเองได้เต็มที่หรือไม่เท่านั้นเอง
ทุกคนเกิดมาด้วยแรงบุญ ทุกคนเกิดมาด้วยแรงกรรม เราต้องศึกษาเรื่องกรรม กรรมคือการกระทำ กรรมปัจจุบันกรรมอดีต อะไรคือตัววิบากกรรม ตัวขันธ์ห้าตัววิบากกรรม จิตของเราไปหลงความคิดหลงอารมณ์ ทำให้เกิดความยึดมั่นถือมั่น ทำให้เกิดอัตตาตัวตน กายก็เลยหนัก จิตก็เลยหนัก
เราต้องมาศึกษาแยกรูปแยกนาม วางจิต ถ้าเราไม่รู้จักจุดปลงจุดปล่อยจุดวาง ก็ยากที่จะวางได้เหมือนกัน แต่เราก็น้อมใจเข้ามาในกองบุญกองกุศลเอาไว้ หมั่นสร้างบุญสร้างกุศล สร้างอานิสงส์ให้มีให้เกิดขึ้น ทำกายให้เป็นบุญ ทำวาจาให้เป็นบุญ ทำใจให้เป็นบุญ
ตื่นขึ้นมา อะไรที่จะเป็นประโยชน์เป็นกุศลเราก็รีบสร้างรีบทำ ประโยชน์ตนประโยชน์ท่าน ประโยชน์สูงสุด ประโยชน์ในโลกนี้ ถ้าเราทำปัจจุบันดีก็จะส่งผลถึงอนาคตดี ถ้าเราอยู่กับปัจจุบัน ทำดีอยู่ปัจจุบัน อนาคตก็จะออกมาดี อะไรที่เป็นอกุศล สิ่งที่ไม่ดีเราก็พยายามละเสีย ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน อยู่สภาวะอย่างไร ทุกอิริยาบถ ยืนเดินนั่งนอน กินอยู่ขับถ่าย เราต้องศึกษาให้หมด
บุคคลที่มีสติมีปัญญาไม่จำเป็นต้องไปแสวงหาที่ไหน หาที่กายของเรา การสร้างสติการสร้างความรู้ตัวเป็นอย่างนี้ การควบคุมจิตควบคุมอารมณ์อยู่ในระดับนี้เป็นอย่างนี้ การแยกรูปแยกนาม การชำระสะสางกิเลส เราต้องวางทิฏฐิ วางความคิดเห็นของเราต่างๆ ออกให้หมด
อย่าไปนึกด้นเดาเอาตามอำนาจของกิเลสของเรา ว่าจะต้องเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ อันนี้เป็นปัญญาของโลกีย์ ถึงจะพิจารณาในธรรมก็ยังเป็นธรรมโลกีย์อยู่ แม้แต่ความอยากเล็กๆ น้อยๆ เราก็ไม่ให้เกิด ไม่จำเป็นต้องไปเอาความทะเยอทะยานอยากตัวใหญ่หรอก อยากในรูปในรสในกลิ่นในเสียงต่างๆ อยากมีอยากเป็น อยากไปอยากมา ไม่อยากมีไม่อยากเป็นไม่อยากมา เราต้องดับต้องละออกให้มันหมด
ถ้าเราต้องการสิ่งต่างๆ ในโลกนี้ เราก็เอามาด้วยสติเอามาด้วยปัญญา แต่สติปัญญาของเรายังไม่ได้เต็มเปี่ยม สติปัญญาของเรายังไม่ได้สร้าง ยังไม่ได้ไปคลายจิตออกจากความหลง ยังไม่ได้ไปชำระสะสางกิเลสออกจากใจของเรา มันก็ยากที่จะเข้าถึงความบริสุทธิ์หลุดพ้นได้ เราก็ต้องพยายามสร้างบารมี
แต่ละวันตื่นขึ้นมา จิตของทุกดวงก็ปรารถนาที่จะหาทางดับทุกข์ หาทางหลุดพ้น อย่างมาวัดก็ปรารถนาที่จะรู้เห็นตัวเราเอง มาแก้ไขเราเอง เราก็ต้องพยายามกัน
ไม่ว่าอยู่ใกล้อยู่ไกล ก็เป็นพี่เป็นน้อง เป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน เคยทำบุญร่วมกันถึงได้มาเห็นหน้าเห็นตากัน ได้มาอยู่ร่วมกันเพียงเล็กๆ น้อยๆ ก็เป็นบุญเป็นกุศล มาเถิด มีโอกาสมีเวลา อยากจะมาประพฤติมาปฏิบัติที่วัดธรรมอุทยานแห่งนี้ ก็ขอเชิญได้ตลอดเวลา น้อมกายเข้ามาศึกษา น้อมกายเข้ามาค้นคว้า ไม่รู้มากก็ต้องรู้น้อย ไม่เข้าใจแนวทางเราก็ต้องจะเข้าใจแนวทาง ตราบใดที่เรายังฝักใฝ่ยังสนใจอยู่ ล้มแล้วก็ลุกขึ้นมาใหม่ ก็ต้องพยายามกัน
หลวงพ่อก็มีความภูมิใจที่ญาติโยมฝักใฝ่สนใจ ในเรื่องการศึกษาค้นคว้าตัวเราเอง ในเรื่องการปฏิบัติ เพียงแค่เรารู้จักว่าการสร้างความรู้ตัวที่ต่อเนื่องเป็นอย่างนี้ ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา จิตของเราส่งออกไปข้างนอกสักกี่เรื่องสักกี่ครั้ง เป็นกุศลหรือว่าอกุศล ความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิตของเราสักกี่ครั้ง นิวรณธรรมต่างๆ มาปกปิดดวงจิตของเราได้อย่างไร จิตของเรามีความกำหนัดยินดีในรูปรสกลิ่นเสียงหรือไม่ เราก็ต้องสำรวจดูทุกอิริยาบถ ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาจนกระทั่งเรานอนหลับ จนเป็นธรรมชาติในการดูในการรู้
ก็ต้องพยายามกัน ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี ก็ต้องพยายามกัน หมั่นพร่ำสอนตัวเองอยู่ตลอดเวลา คนมีสติมีปัญญารู้ฟังนิดเดียว ไปประพฤติไปปฏิบัติไปขัดเกลาตัวเอง ไปรออยู่ที่ฝั่งโน้นเลยทีเดียว ฝั่งโน้นหมายถึงฝั่งนิพพาน ฝั่งความว่าง ในความว่างนั้นมีดวงจิตอยู่ เราต้องพยายามทำจิตของเราให้สะอาดให้บริสุทธิ์ ขณะที่เรายังมีลมหายใจอยู่
อย่าไปเลือกกาลเลือกเวลา ทุกอย่าง แม้ตั้งแต่เวลาจะรับประทานอาหาร เราก็ต้องพิจารณาดู กายหิวหรือว่าจิตเกิดความอยาก กายหิวเราก็รู้ว่ากายหิว จิตเกิดความอยากเราก็รีบดับเสีย ดับให้นิ่งเสียก่อนแล้วก็เอาสติไปพิจารณาเอาอาหารมาให้กาย
ตาหูจมูกลิ้นกายทำหน้าที่อย่างไร เราก็ต้องสำรวจดูหมดนั่นแหละ ก็ต้องพยายามกันนะ วันนี้หลวงพ่อก็ได้เพียงแค่เล่าแค่ชี้แค่แนะให้ฟัง พวกท่านก็ต้องพยายามพากันไปพิจารณากัน สักวันหนึ่งก็คงจะเข้าใจ
เอาล่ะ วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอานะ