หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551 ลำดับที่ 036

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551 ลำดับที่ 036
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
พระธรรมเทศนาโดย (Dhamma Talk by)
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551 ลำดับที่ 036
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
ขอให้ญาติโยมเราทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจเข้าออกของตัวเราเองให้ต่อเนื่องกัน ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา เราได้สร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่องกันแล้วหรือยัง เราทำความเข้าใจ หรือว่าเจริญสติ

เราอาจจะมีปัญญารู้อยู่ แต่เราไม่ได้สร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่อง รู้กายรู้จิต รู้ความปกติของจิต รู้ฐานของจิต ทำความเข้าใจว่าจิตของเราสงบดีอยู่หรือไม่ ปกติดีอยู่หรือไม่ หรือว่าจิตของเรามีทิฏฐิไปในรูปแบบใด มีความเห็นไปในลักษณะอย่างไร เราต้องสร้างความรู้ตัวตัวใหม่เข้าไปควบคุม หลังจากควบคุมแล้วเราก็สังเกตรู้ฐานการก่อตัวการเกิด จนกว่าจิตของเราจะคลาย หรือว่าแยกออกจากขันธ์ห้า ถึงจะมองเห็นทาง ทิฏฐิมานะต่างๆ ก็จะคลาย

ถ้ารู้เห็นตามความเป็นจริง สติก็จะตามทำความเข้าใจ หรือว่าความรู้ตัวก็จะตามรู้ตามทำความเข้าใจ เห็นความเกิดความดับของขันธ์ห้า หรือว่าอาการของความคิด นั่นแหละเรียกว่า ‘อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา’ ในขันธ์ห้า ตามดูรู้เห็นรู้ลักษณะของอัตตา รู้ลักษณะของอนัตตาของความว่าง จิตก็จะว่างกายก็จะเบา สติก็จะหมั่นพร่ำสอนจิตว่า อะไรควรเอาหรืออะไรควรละ สิ่งไหนเป็นประโยชน์สิ่งไหนไม่เป็นประโยชน์ เขาก็จะมองเห็นตามความเป็นจริง

จะให้เขาปล่อยเขาวางหมดเลยทีเดียวเขาก็ยาก สติต้องหมั่นพร่ำสอน หมั่นตามทำความเข้าใจ หาเหตุหาผลให้จิตยอมรับความเป็นจริงได้ เขาถึงจะวางได้ การเกิดเป็นทุกข์เขาถึงจะไม่เกิด ถึงแม้จิตเกิดเราก็ต้องใช้สติเข้าไปดับอยู่ดีๆ ดับจนไม่เกิด หมั่นพร่ำสอนจิตอยู่ตลอดเวลา

การได้ยินได้ฟังได้อ่านการศึกษาค้นคว้านั้นมีกันเต็มเปี่ยมกันทุกคน แต่การรู้การเกิดการดับ การแยกการตามดูการละ อาจจะมีได้เป็นบางครั้งแต่ไม่ได้ตลอด ความคิดเล็กๆ น้อยๆ เป็นอย่างไร นิวรณธรรมความกังวลความฟุ้งซ่านต่างๆ

บุคคลมีบุญมีสติมีปัญญาจะไม่ปล่อยโอกาสทิ้งไม่ปล่อยเวลาทิ้ง จะหมั่นพร่ำสอนตัวเรา อยู่คนเดียวก็พร่ำสอนตัวเรา มีเหตุมีผลให้ตัวเอง รู้เหตุรู้ผลไม่ทันเราก็ดับเอาไว้ ดับแล้วก็วางๆ จนกว่าจะคลาย จนกว่าจะแยก จิตก็จะหมดความสงสัย

ถ้าจิตมีความทะเยอทะยานอยาก แม้ตั้งแต่อยากรู้ธรรมอยากได้ธรรม ก็ปิดกั้นความสงบเอาไว้เสีย เราต้องจำแนกให้ชัดเจน มีความรู้ตัวที่เราสร้างขึ้นมา เราสร้างขึ้นมาเพื่อที่จะรู้ทันจิตรู้ทันความคิด แล้วก็รู้จักสร้างอานิสงส์สร้างบารมีให้มีให้เกิดขึ้น หมั่นสำรวจตรวจตราดูตัวเรา ความเสียสละ ศรัทธาของเราเต็มเปี่ยมหรือไม่ เรามีความอ่อนน้อมถ่อมตน เรามีพรหมวิหารความเมตตา ชำระสะสางกิเลส มองโลกในทางที่ดีคิดดี การกระทำของเราก็ต้องถึงพร้อม

ถ้าคนรู้จักบุญก็จะอยู่กับบุญตลอดเวลา ตั้งจะตื่นขึ้นมา ทำกายวาจาให้เป็นบุญทำใจให้เป็นบุญ ใจของเราก็มีความสุข อยู่กับสมมติใช้สมมติให้เกิดประโยชน์ สมมติว่าเป็นนั่นเป็นนี่ เราหนีสมมติไม่ได้เพราะว่ากายของเรานี้ก้อนสมมติ เราต้องทำความเข้าใจกับเขา ทำความเข้าใจกับโลก โลกภายในคือความคิดคืออารมณ์คือกายก้อนนี้ โลกภายนอกคือโลกธรรมแปดในสิ่งที่พวกเราเข้าไปยุ่งเกี่ยว ลาภยศสรรเสริญสุขทุกข์นินทา กายของเราก็ยังอาศัยปัจจัยสี่เรา ต้องแสวงหาด้วยสติด้วยปัญญามาดูแลรักษากาย

สัมมาทิฏฐิความเห็นถูกต้องเป็นอย่างไร สัมมาอาชีวะการงานที่ถูกต้องเป็นอย่างไร สัมมาวาจาการพูดจาที่ถูกต้องที่ดี สัมมาสติ สติที่ต่อเนื่อง รู้เหตุรู้ผล ทุกสิ่งทุกอย่างจะเป็นมรรคเป็นหนทางเดิน ถ้าเราแยกรูปแยกนาม สัมมาทิฏฐิเปิดทางให้ แยกรูปแยกนามตามทำความเข้าใจ ตามดู ความรู้แจ้งเห็นจริง อวิชชาก็หายวิชชาก็เปิดทางให้ เราก็ตามดู รู้ไม่ทันต้นเหตุเราก็รู้จักดับ

ก็ต้องพยายามขยันหมั่นเพียรกัน เราไม่เข้าใจเท่าไร เราก็ยิ่งเพิ่ม ทำความเพียรให้เป็นทวีคูณ ยืนเดินนั่งนอนให้เป็นเพียงแค่อิริยาบถ เราต้องมีสติตั้งแต่ตื่นขึ้นมา พอรู้ตัวปุ๊บเราก็รู้ลมหายใจ รู้ความปกติของจิต จิตจะก่อตัวเราก็รู้จักดับ ยอมโง่เสียก่อนค่อยฉลาด ตอนนี้มันฉลาดตั้งแต่ปัญญาโลก ปัญญาโลกีย์ ปัญญาของกิเลส เราต้องฉลาดด้วยสติด้วยปัญญา แม้แต่สติปัญญาของเราถ้าเป็นอกุศลก็ยังให้ละอีก

เรื่องจิตนี่เป็นงานที่ละเอียดอ่อน เป็นงานละเอียด เป็นฝ่ายนามธรรม ทุกสิ่งทุกอย่างมีเหตุมีผล ฝึกฝนให้ถึงจุดหมายปลายทางได้ ถ้าเดินตามทางที่พระพุทธองค์ท่านได้ชี้แนวทางให้ การละกิเลส คลายออกให้มันหมด เพราะว่าจิตเดิมแท้นั้นสะอาดบริสุทธิ์ เพราะว่ากิเลสที่มีมาทีหลัง อวิชชาความหลงเท่านั้นครอบงำเอาไว้ ก็ต้องพยายามเอา

การได้ยินได้ฟังจากครูบาอาจารย์ องค์นั้นบ้าง ท่านนั้นบ้าง ท่านนี้บ้าง ไปปฏิบัติธรรมที่นั่นบ้างที่นี่บ้าง อันนั้นก็เป็นสิ่งที่ดี เป็นการสร้างบารมี ถึงเราเดินไม่ถึงจุดหมายปลายทางก็เป็นการสร้างบารมี เก็บเกี่ยวสะสมไปเรื่อยๆ ถ้าถึงเวลามันก็ค่อยถึงจุดหมายปลายทางได้เอง ไม่ใช่ว่าไม่ดี

ไปวัดโน้นเป็นอย่างนั้น ไปวัดนั้นเป็นอย่างนี้ เราก็ไปเก็บเกี่ยวเอาประสบการณ์ เราอย่าไปโทษคนนั้นโทษคนนี้ ไปวัดนั้นวัดนั้นไม่ดีวัดนี้ไม่ดี ก็ใจของเราไม่ดี เราถึงไปเพ่งโทษ ถ้าไม่ดีเราก็ทำให้ดีเสีย แก้ไขให้ดีเสีย มันสกปรกเราก็ทำให้สะอาดเสีย มันก็ดี อยู่ที่บ้านก็เป็นวัด อยู่ที่กายก็เป็นวัดถึงภายนอกไม่ดี ถ้าใจของเราดี ใจของเราก็ดีอยู่เหมือนเดิม

ก็ต้องพยายามกันนะ ทั้งพระทั้งชีทั้งโยม หลวงพ่อก็ขอบใจทุกคนนั่นแหละ ทุกคนก็มีความรับผิดชอบ ทุกคนก็มีความเสียสละ เรามาอยู่ด้วยกันร่วมกัน ไม่ว่าอยู่ใกล้อยู่ไกล เป็นพี่เป็นพ่อเป็นแม่เป็นน้อง เคารพกันในธรรม เคารพกันในบุญ ต่างคนก็ต่างสร้างอานิสงส์ให้ตัวเอง อานิสงส์ก็แผ่ไพศาลออกไปสู่ข้างนอก คนภายนอกมาก็ได้รับ พลอยได้รับอานิสงส์ ได้รับความสะดวกสบาย สบายกายสบายใจ ได้รับความสุข นั่นแหละบุญก็เกิดขึ้น

ถ้าเข้ามาแล้วเข้ามาวัดแล้ว มีตั้งแต่อคติ มีตั้งแต่มลทิน ก็มีตั้งแต่ใจเป็นบาปเป็นอกุศล เข้ามาแล้วจิตใจแช่มชื่นเบิกบาน ทันทีที่เหยียบย่างเข้ามาประตู เห็นความสงบ ความสะอาด ความเป็นระเบียบเรียบร้อย นั่นแหละคือการปฏิบัติ ภายนอกก็สะอาดก็ส่งผลถึงภายใน

ถ้าป่าวประกาศปาวๆ ว่าเราเป็นนักปฏิบัติ เดินไปจุดไหนมีแต่ความสกปรก ห้องน้ำก็สกปรก ที่พักที่อาศัยก็สกปรก นั่นมันประกาศอยู่ในตัว ไม่จำเป็นต้องไปประกาศว่าเราปฏิบัติอะไร เราฝึกฝนตนเองเพื่อที่จะละทุกข์ ดับทุกข์ ละกิเลส อยู่ในใจของเราตลอดเวลา

ยืนเดินนั่งนอน กินอยู่ขับถ่าย ก็เป็นการปฏิบัติ ไม่จำเป็นต้องให้คนอื่นเขารู้ เรารู้เราแก้ไขเราปรับปรุงตัวเรา นั่นแหละคือการปฏิบัติ เราอยู่ร่วมกันเป็นหมู่เป็นคณะ เรามีความรับผิดชอบต่อตัวเรา ต่อสถานที่ต่อส่วนรวม รับผิดชอบได้แค่ไหน นั่นแหละคือการปฏิบัติ

ไม่ใช่ว่าแข่งดีชิงดีชิงเด่น กูทำมึงไม่ทำ ให้ทำด้วยกันหมดทุกคนนั่นแหละ มีหน้าที่ร่วมกัน ใครเห็นก่อนใครรู้ก่อนก็ทำก่อน ไม่ใช่ว่าไปคอยคนโน้นทำคอยคนนี้ทำ พอทำอะไรได้ทำ ในสิ่งที่เป็นประโยชน์ สิ่งไหนไม่เป็นประโยชน์ก็ไม่ทำ จากหลายคนก็งานหนักก็เป็นงานเบา งานเบาก็เหมือนกับไม่มี ถ้าต่างคนต่างไม่มีความรับผิดชอบ ไปอยู่ที่ไหนก็ไม่เจริญ อยู่คนเดียวก็ไม่เจริญเพราะว่าความรับผิดชอบก็ไม่มี ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ แก้ไขตัวเองไม่ได้ ก็ต้องพยายามฝึกฝนให้ได้รอบด้านทุกทาง ทุกเวลาทุกนาที แม้แต่กายจะแตกจะดับ ก็รู้จักจิตตัวเอง ก็ต้องพยายามกัน

เอาล่ะ วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันสร้างสานต่อ อันนี้ก็เพียงแค่เล่าให้ฟังเท่านั้นเอง

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง