หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551 ลำดับที่ 033
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551 ลำดับที่ 033
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
ขอให้ญาติโยมเราทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกของตัวเราเองให้ต่อเนื่องกันสักพักสักระยะหนึ่งเสียก่อน นั่งตามอิริยาบถให้สบาย วางกายให้สบาย วางใจให้สบาย ไม่ต้องพนมมือ
ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาเราได้สร้างความรู้ตัวที่ต่อเนื่องกันแล้วหรือยัง เราได้ทำความเข้าใจกับคำว่า ‘สติรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน’ แล้วหรือยัง ถ้ายังไม่ทำก็รีบทำเสีย การสร้างความรู้สึกตัว เราก็ต้องพยายามสร้างขึ้นมา หรือเรียกว่า ‘สติ’ ถ้ารู้ตัวที่ต่อเนื่องเขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ ส่วนมากเราก็มีปัญญาทางโลกีย์กันเต็มเปี่ยม อาจจะถูกต้องอยู่ในระดับของสมมติ อาจจะอยู่ในกองบุญกองกุศล
แต่ถ้าพูดตามหลักธรรมก็ยังหลงอยู่ เพราะว่าเรายังแยกรูปแยกนาม คลายความหลงไม่ได้ แต่ก็ยังหลงอยู่ในระดับของสมมติ จิตใจยังอยู่ในกองบุญอยู่ เป็นสัมมาทิฏฐิแต่เป็นสัมมาทิฏฐิยังไม่ตลอดสาย สัมมาทิฏฐิหมายถึงความรู้แจ้งเห็นจริง แต่เรายังไม่รู้แจ้งเห็นจริงในการแยกจิตออกจากความคิด ซึ่งเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ นี่แหละตัวอวิชชา หลงตรงนี้ ทำให้เกิดอัตตาตัวตน
แล้วจิตก็มีตั้งแต่ความทะเยอทะยานอยาก แม้ตั้งแต่อยากจะรู้ธรรม อันนี้ก็ปิดกั้นตัวเอง ในหลักธรรมเราต้องละความอยาก เจริญสติเข้าไปดับความอยาก จนกว่าจะสังเกตทัน รู้ทัน เห็นการเกิดการก่อตัวของจิตของความคิด จิตถึงจะแยกรูปแยกนามได้ ซึ่งเรียกว่า ‘คลายความหลง’ ‘หงายของที่คว่ำ’ ตามดูรู้เห็นตามความเป็นจริง
น้อยคนที่จะเข้าถึงตรงนี้ น้อยคนที่จะแยกได้ตรงนี้ เพราะว่าความเพียรมีไม่เพียงพอ แต่ตบะบารมีส่วนอื่นนั้นทุกคนมีกันเกือบจะเต็มก็มี บางคนบางท่านก็สร้างมาดี ความเสียสละ ละความตระหนี่เหนียวแน่น มีจิตใจฝักใฝ่ในบุญ มีความอ่อนน้อมถ่อมตน มีพรหมวิหาร มีความเมตตา มีความเสียสละอยู่ตลอดเวลา อันนี้เป็นบารมีของทุกคน
อย่าไปคิดว่าเราไม่ได้ปฎิบัติธรรม ทุกคนปฎิบัติธรรมกันมาหมด มาตั้งแต่หลายภพหลายชาติด้วย ถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ การที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ แล้วก็มีการพัฒนาจากเด็กเป็นผู้ใหญ่ มีการเปลี่ยนแปลงทางด้านรูปธรรม มีการศึกษามีการเล่าเรียน ผ่านกาลผ่านเวลา ผ่านร้อนผ่านหนาว มีความรับผิดชอบ รู้จักใช้ชีวิตในทางสมมติที่ถูกต้อง นั่นก็คือการปฎิบัติ
แต่ในส่วนที่สูงๆ ขึ้นไป การสร้างความรู้ตัวที่ต่อเนื่องเป็นอย่างไร เราอาจจะรู้อยู่ได้เป็นบางครั้ง ควบคุมจิตได้เป็นบางเรื่อง แต่การเกิดการดับของจิตมีอยู่ตลอด ถ้าเราหมั่นสังเกต หมั่นสร้างสติเข้าไปดูรู้อยู่บ่อยๆ เราก็จะเห็น เอาตั้งแต่เช้าขึ้นมา ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ แม้แต่เรื่องการหายใจเข้าออก ซึ่งเรียกว่าอานาปานสติ พวกเรายังรู้กันไม่ชำนาญ บางทีถ้าเจริญสติอานาปานสติ บางทีก็หายใจอึดอัด บางทีก็ติดขัดในสิ่งต่างๆ เราก็ต้องพยายาม ยิ่งไม่เข้าใจเท่าไรยิ่งทำความเข้าใจ แม้ตั้งแต่การหายใจเข้าเป็นอย่างไร หายใจออกเป็นอย่างไร หายใจเป็นธรรมชาติไหม แล้วก็ต่อเนื่องกันไหม ความต่อเนื่องนั่นแหละเขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’
ถ้าเรามีความรู้สึกตัวทั่วพร้อม รู้กายแล้วก็รู้จิต รู้ความปกติของจิต รู้การก่อตัวของจิต รู้การก่อตัวของความคิด เราก็จะเห็นหลายส่วน ความรู้ตัวที่เราสร้างขึ้นมานี้เรียกว่า ‘สติ’ จิตไม่สงบเราก็ควบคุมให้สงบ จิตของเราเข้าไปหลงความคิด เราสังเกตทันเขาก็จะคลาย พอคลายได้เราก็ตามทำความเข้าใจ หมั่นพร่ำสอนจิตของตนเองตลอดเวลา ไม่ใช่ว่าปล่อยปละละเลย ทุกเรื่องไม่ให้จิตของเราเกิดความอยากแม้แต่นิดเดียว อยากมีอยากเป็น อยากไปอยากมา อยากเกิดอยากคิด
แต่จิตของทุกคนชอบเที่ยว ชอบปรุงชอบแต่ง สารพัดเรื่อง ทั้งปรุงแต่งด้วยทั้งหลงด้วย เราก็ต้องพยายามวิเคราะห์หาเหตุหาผล คนที่มีความขยันหมั่นเพียร คนที่มีสติปัญญา คนที่น้อมกายน้อมใจมาในกองบุญ ถึงจะรู้ตรงนี้ได้เร็วได้ไว แล้วก็ทำให้ต่อเนื่องกัน
ถ้าเรามองเห็นทางทะลุปรุโปร่ง เราก็พยายามเพิ่มความเพียร จนละกิเลส ดับความเกิดของจิตของเราออกให้มันหมด จนมองเห็นทางว่าเราจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิดกัน
ถึงจิตของเรายังเกิดอยู่ก็ขอให้เกิดในกองกุศล เจริญกุศลเอาไว้ ละอกุศลเจริญกุศล สูงขึ้นไปก็ละหมดนั่นแหละ เจริญเฉพาะกุศลแต่ไม่ยึด ให้อยู่เหนือกุศล อยู่เหนือบุญเหนือบาป ก็เลยเป็นจิตที่ไม่ต้องกลับมาเกิดกัน เข้าสู่ความบริสุทธิ์ เข้าสู่ความหลุดพ้น อันนั้นเราก็ต้องพยายามเดินให้ถึงกัน
ตราบใดที่เรายังเดินไม่ถึงเราก็พยายามเดิน เดินด้วยสติ เดินด้วยปัญญา เดินด้วยการสร้างบารมี แต่ละวันเราก็จะได้ฟังธรรมถ้าเรามีสติคอยตรวจสอบจิตของเรา ตากระทบรูปจิตของเรานิ่งหรือไม่ หูกระทบเสียงจิตของเราสงบดีอยู่หรือไม่ จิตของเราเกิดความยินดียินร้าย จิตของเรามีความอิจฉาริษยาหรือไม่
แต่ละวันเราก็ดู รู้กายรู้จิต กายของเรามีความอ่อนน้อมถ่อมตน จิตของเรามีความแข็งกระด้าง จิตของเรามีความเชื่อมั่น ต้องเชื่อมั่นด้วยสติด้วยปัญญา ด้วยเหตุด้วยผล สติต้องหมั่นพร่ำสอนจิต ให้จิตรู้เห็นตามความเป็นจริง
การเกิดเป็นทุกข์ เขารู้แล้วเขาก็ไม่เกิด เป็นทาสของกิเลส เขารู้ความจริงแล้วเขาก็ไม่เป็นทาสของกิเลส มีตั้งแต่จะสร้างคุณงามความดีสร้างประโยชน์ ประโยชน์ตนประโยชน์ท่าน ประโยชน์สูงสุด ประโยชน์ในโลกนี้ประโยชน์ในโลกหน้า ทำประโยชน์อยู่ปัจจุบันให้ดีก็จะส่งถึงอนาคต
อย่าไปปล่อยโอกาสทิ้ง อย่าไปปล่อยเวลาทิ้ง เสียดายเวลา อายุขัยของมนุษย์นี้มีไม่มาก อย่างมากก็ 100 ทุกวันนี้ 60 70 ก็นับว่าเก่ง ต่อไปข้างหน้าก็จะลดลงเรื่อยๆ ลดลงเรื่อยๆ พวกเรามีโอกาสก็รีบตักตวงเอา มองเราให้ดีแก้ไขเราให้ดี
รับผิดชอบตัวเองให้ดีก็จะล้นออกไปภายนอก ถ้าเราไม่มีความรับผิดชอบต่อตัวเราเองแล้ว จะเป็นรับผิดชอบต่อส่วนรวมได้อย่างไร ไม่มีความเสียสละแล้วจะไปละกิเลสได้อย่างไร การฝึกหัดปฏิบัติจะคร่ำเคร่งมากมายถึงขนาดไหน ก็เพื่อที่จะละขัดเกลากิเลสออกจากจิตจากใจของเรา
อยู่คนเดียวเราก็รับผิดชอบตัวเรา อยู่หลายคนเราก็รับผิดชอบตัวเรา ถ้าเราไม่รู้จักรับผิดชอบตัวเรา อยู่คนเดียวก็เหนื่อยก็หนัก อยู่หลายคนก็ยิ่งหนัก เป็นภาระให้กับคนอื่น เราต้องแก้ไขปรับปรุงตัวเองให้ดี แต่ละวันๆ ถ้าเราเข้าใจแล้ว อยู่น้อยคนก็มีความสุข อยู่หลายคนก็มีความสุข
หลวงพ่อก็เล่าให้ฟังเฉยๆ ถ้าพวกท่านไม่ไปทำตาม พวกท่านก็ไม่เข้าใจ แม้แต่เรื่องการหายใจเข้าออกก็ไปทำให้เกิดความเคยชินเถิด จะหายใจเข้าอย่างไรถึงจะมีความรู้สึกรู้ตัวที่ต่อเนื่อง หายใจออกอย่างไร ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมาจิตของเราส่งออกไปภายนอกสักกี่เรื่อง เป็นกุศลหรือว่าอกุศล ความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิตของเราสักกี่ครั้ง เหตุการณ์จากภายนอกมาทำให้จิตเกิดหรือว่าเกิดขึ้นจากภายใน นิวรณธรรมเข้าครอบงำจิตของเราสักกี่ครั้ง เรามีความเกียจคร้านหรือไม่ จิตของเราฟุ้งซ่านหรือไม่ มีความลังเลสงสัยหรือไม่ ความรู้ตัวของเราพลั้งเผลอไปสักกี่เที่ยว เราต้องสร้างขึ้นมา
ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา พอรู้ตัวปั๊บ รู้กายปุ๊บ รู้จิตปั๊บ จะก้าวจะเดินมีความรู้สึกอยู่ที่การเดิน จะเข้าห้องส้วมห้องน้ำก็รู้ความปกติ จิตก็ให้รับรู้ จะทำกับข้าวกับปลา จิตของเราก็รับรู้ ต้องการสิ่งไหนก็เอาด้วยสติเอาด้วยปัญญา ต้องทำถึงขนาดนั้น
ไม่ใช่ว่าจะไปนั่งสมาธิหลับตาอย่างเดียว ไปเดินจงกรมอันนั้นเป็นแค่เพียงอิริยาบถ ยืนเดินนั่งนอนให้เป็นแค่เพียงอิริยาบถ เราต้องดูรู้จิตของเราให้ได้ตลอดเวลา แล้วก็แก้ไขด้วยสติด้วยปัญญา ด้วยจิตที่ไม่เกิดความกังวลเกิดความฟุ้งซ่าน
ผิดพลาดแก้ไขใหม่ๆ ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่ ให้กำลังใจตัวเอง อาศัยความอดทนอดกลั้น อาศัยการอาศัยเวลา อาศัยความเพียรที่ต่อเนื่อง ไม่ใช่ว่าทำแบบไฟไหม้ฟาง พึ่บพั่บๆ แล้วก็ทิ้งไป ต้องทำให้ต่อเนื่อง
บางทีจิตก็เป็นบุญอยู่ แต่เราขาดกำลังสติเข้าไปฝึกฝนเขาเท่านั้นเอง จิตของเรานี่ก็แปลก ถ้าไม่ได้ฝึกหัดปฏิบัติ เขาก็ทั้งเกิดด้วยทั้งหลงด้วย บางทีก็หลอกตัวเอง เพราะว่าความเคยชินของเขา กิเลสมารต่างๆ เขาก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ ยิ่งเราฝึกเท่าไรเขาก็เริ่มเล่นงานเราทันที กิเลสมารก็ขันธมาร ก็ขันธ์ห้านั่นแหละ ไม่รอบรู้ในกองสังขาร ไม่รอบรู้ในขันธ์ห้า
ขันธ์ทั้งห้าเป็นของหนัก ที่พวกเราเคยสวดเคยท่องเวลาทำวัตรสวดมนต์ นี่แหละขันธมาร ถ้าเราแยกแยะได้ทำความเข้าใจได้ เราละขันธ์ตรงนี้ได้ก็ละวางอัตตาตัวตนได้ เรามาละกิเลสจนจิตไม่เกิดกิเลสนั่นแหละ เขาก็จะเข้าถึงเข้าสู่สงบความสุข เราไม่อยากจะได้ความสุขเราก็จะได้เองนั่นแหละ เราละกิเลสได้แล้วก็ต้องพยายามกัน
ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี ก็ต้องพยายามกันนะ ได้มากได้น้อยเราก็พยายามกันให้ถึงจุดหมาย ไม่ถึงวันนี้ก็ต้องถึงวันพรุ่งนี้ ไม่ถึงพรุ่งนี้ก็ถึงเดือนหน้าปีหน้า ไม่ถึงจริงๆ ก็ไปต่อเอาภพหน้าค่อยว่ากัน ช่วงนี้เราได้มีโอกาสได้สร้างอานิสงส์ก็พยายามสร้างกัน เท่าที่กำลังกายกำลังใจของเรามี หลวงพ่อก็เป็นแค่ทางผ่าน พาทำพาสร้างขณะที่ยังมีกำลังอยู่ แต่ทรัพย์ภายในของหลวงพ่อทำไว้หมดจดแล้ว อันนี้สร้างเพื่อยังประโยชน์ให้กับสมมติเท่านั้นเอง ก็ต้องพยายามกัน
เอาล่ะ วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อเอานะ นี่เพียงแค่เล่าให้ฟัง
ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาเราได้สร้างความรู้ตัวที่ต่อเนื่องกันแล้วหรือยัง เราได้ทำความเข้าใจกับคำว่า ‘สติรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน’ แล้วหรือยัง ถ้ายังไม่ทำก็รีบทำเสีย การสร้างความรู้สึกตัว เราก็ต้องพยายามสร้างขึ้นมา หรือเรียกว่า ‘สติ’ ถ้ารู้ตัวที่ต่อเนื่องเขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ ส่วนมากเราก็มีปัญญาทางโลกีย์กันเต็มเปี่ยม อาจจะถูกต้องอยู่ในระดับของสมมติ อาจจะอยู่ในกองบุญกองกุศล
แต่ถ้าพูดตามหลักธรรมก็ยังหลงอยู่ เพราะว่าเรายังแยกรูปแยกนาม คลายความหลงไม่ได้ แต่ก็ยังหลงอยู่ในระดับของสมมติ จิตใจยังอยู่ในกองบุญอยู่ เป็นสัมมาทิฏฐิแต่เป็นสัมมาทิฏฐิยังไม่ตลอดสาย สัมมาทิฏฐิหมายถึงความรู้แจ้งเห็นจริง แต่เรายังไม่รู้แจ้งเห็นจริงในการแยกจิตออกจากความคิด ซึ่งเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ นี่แหละตัวอวิชชา หลงตรงนี้ ทำให้เกิดอัตตาตัวตน
แล้วจิตก็มีตั้งแต่ความทะเยอทะยานอยาก แม้ตั้งแต่อยากจะรู้ธรรม อันนี้ก็ปิดกั้นตัวเอง ในหลักธรรมเราต้องละความอยาก เจริญสติเข้าไปดับความอยาก จนกว่าจะสังเกตทัน รู้ทัน เห็นการเกิดการก่อตัวของจิตของความคิด จิตถึงจะแยกรูปแยกนามได้ ซึ่งเรียกว่า ‘คลายความหลง’ ‘หงายของที่คว่ำ’ ตามดูรู้เห็นตามความเป็นจริง
น้อยคนที่จะเข้าถึงตรงนี้ น้อยคนที่จะแยกได้ตรงนี้ เพราะว่าความเพียรมีไม่เพียงพอ แต่ตบะบารมีส่วนอื่นนั้นทุกคนมีกันเกือบจะเต็มก็มี บางคนบางท่านก็สร้างมาดี ความเสียสละ ละความตระหนี่เหนียวแน่น มีจิตใจฝักใฝ่ในบุญ มีความอ่อนน้อมถ่อมตน มีพรหมวิหาร มีความเมตตา มีความเสียสละอยู่ตลอดเวลา อันนี้เป็นบารมีของทุกคน
อย่าไปคิดว่าเราไม่ได้ปฎิบัติธรรม ทุกคนปฎิบัติธรรมกันมาหมด มาตั้งแต่หลายภพหลายชาติด้วย ถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ การที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ แล้วก็มีการพัฒนาจากเด็กเป็นผู้ใหญ่ มีการเปลี่ยนแปลงทางด้านรูปธรรม มีการศึกษามีการเล่าเรียน ผ่านกาลผ่านเวลา ผ่านร้อนผ่านหนาว มีความรับผิดชอบ รู้จักใช้ชีวิตในทางสมมติที่ถูกต้อง นั่นก็คือการปฎิบัติ
แต่ในส่วนที่สูงๆ ขึ้นไป การสร้างความรู้ตัวที่ต่อเนื่องเป็นอย่างไร เราอาจจะรู้อยู่ได้เป็นบางครั้ง ควบคุมจิตได้เป็นบางเรื่อง แต่การเกิดการดับของจิตมีอยู่ตลอด ถ้าเราหมั่นสังเกต หมั่นสร้างสติเข้าไปดูรู้อยู่บ่อยๆ เราก็จะเห็น เอาตั้งแต่เช้าขึ้นมา ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ แม้แต่เรื่องการหายใจเข้าออก ซึ่งเรียกว่าอานาปานสติ พวกเรายังรู้กันไม่ชำนาญ บางทีถ้าเจริญสติอานาปานสติ บางทีก็หายใจอึดอัด บางทีก็ติดขัดในสิ่งต่างๆ เราก็ต้องพยายาม ยิ่งไม่เข้าใจเท่าไรยิ่งทำความเข้าใจ แม้ตั้งแต่การหายใจเข้าเป็นอย่างไร หายใจออกเป็นอย่างไร หายใจเป็นธรรมชาติไหม แล้วก็ต่อเนื่องกันไหม ความต่อเนื่องนั่นแหละเขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’
ถ้าเรามีความรู้สึกตัวทั่วพร้อม รู้กายแล้วก็รู้จิต รู้ความปกติของจิต รู้การก่อตัวของจิต รู้การก่อตัวของความคิด เราก็จะเห็นหลายส่วน ความรู้ตัวที่เราสร้างขึ้นมานี้เรียกว่า ‘สติ’ จิตไม่สงบเราก็ควบคุมให้สงบ จิตของเราเข้าไปหลงความคิด เราสังเกตทันเขาก็จะคลาย พอคลายได้เราก็ตามทำความเข้าใจ หมั่นพร่ำสอนจิตของตนเองตลอดเวลา ไม่ใช่ว่าปล่อยปละละเลย ทุกเรื่องไม่ให้จิตของเราเกิดความอยากแม้แต่นิดเดียว อยากมีอยากเป็น อยากไปอยากมา อยากเกิดอยากคิด
แต่จิตของทุกคนชอบเที่ยว ชอบปรุงชอบแต่ง สารพัดเรื่อง ทั้งปรุงแต่งด้วยทั้งหลงด้วย เราก็ต้องพยายามวิเคราะห์หาเหตุหาผล คนที่มีความขยันหมั่นเพียร คนที่มีสติปัญญา คนที่น้อมกายน้อมใจมาในกองบุญ ถึงจะรู้ตรงนี้ได้เร็วได้ไว แล้วก็ทำให้ต่อเนื่องกัน
ถ้าเรามองเห็นทางทะลุปรุโปร่ง เราก็พยายามเพิ่มความเพียร จนละกิเลส ดับความเกิดของจิตของเราออกให้มันหมด จนมองเห็นทางว่าเราจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิดกัน
ถึงจิตของเรายังเกิดอยู่ก็ขอให้เกิดในกองกุศล เจริญกุศลเอาไว้ ละอกุศลเจริญกุศล สูงขึ้นไปก็ละหมดนั่นแหละ เจริญเฉพาะกุศลแต่ไม่ยึด ให้อยู่เหนือกุศล อยู่เหนือบุญเหนือบาป ก็เลยเป็นจิตที่ไม่ต้องกลับมาเกิดกัน เข้าสู่ความบริสุทธิ์ เข้าสู่ความหลุดพ้น อันนั้นเราก็ต้องพยายามเดินให้ถึงกัน
ตราบใดที่เรายังเดินไม่ถึงเราก็พยายามเดิน เดินด้วยสติ เดินด้วยปัญญา เดินด้วยการสร้างบารมี แต่ละวันเราก็จะได้ฟังธรรมถ้าเรามีสติคอยตรวจสอบจิตของเรา ตากระทบรูปจิตของเรานิ่งหรือไม่ หูกระทบเสียงจิตของเราสงบดีอยู่หรือไม่ จิตของเราเกิดความยินดียินร้าย จิตของเรามีความอิจฉาริษยาหรือไม่
แต่ละวันเราก็ดู รู้กายรู้จิต กายของเรามีความอ่อนน้อมถ่อมตน จิตของเรามีความแข็งกระด้าง จิตของเรามีความเชื่อมั่น ต้องเชื่อมั่นด้วยสติด้วยปัญญา ด้วยเหตุด้วยผล สติต้องหมั่นพร่ำสอนจิต ให้จิตรู้เห็นตามความเป็นจริง
การเกิดเป็นทุกข์ เขารู้แล้วเขาก็ไม่เกิด เป็นทาสของกิเลส เขารู้ความจริงแล้วเขาก็ไม่เป็นทาสของกิเลส มีตั้งแต่จะสร้างคุณงามความดีสร้างประโยชน์ ประโยชน์ตนประโยชน์ท่าน ประโยชน์สูงสุด ประโยชน์ในโลกนี้ประโยชน์ในโลกหน้า ทำประโยชน์อยู่ปัจจุบันให้ดีก็จะส่งถึงอนาคต
อย่าไปปล่อยโอกาสทิ้ง อย่าไปปล่อยเวลาทิ้ง เสียดายเวลา อายุขัยของมนุษย์นี้มีไม่มาก อย่างมากก็ 100 ทุกวันนี้ 60 70 ก็นับว่าเก่ง ต่อไปข้างหน้าก็จะลดลงเรื่อยๆ ลดลงเรื่อยๆ พวกเรามีโอกาสก็รีบตักตวงเอา มองเราให้ดีแก้ไขเราให้ดี
รับผิดชอบตัวเองให้ดีก็จะล้นออกไปภายนอก ถ้าเราไม่มีความรับผิดชอบต่อตัวเราเองแล้ว จะเป็นรับผิดชอบต่อส่วนรวมได้อย่างไร ไม่มีความเสียสละแล้วจะไปละกิเลสได้อย่างไร การฝึกหัดปฏิบัติจะคร่ำเคร่งมากมายถึงขนาดไหน ก็เพื่อที่จะละขัดเกลากิเลสออกจากจิตจากใจของเรา
อยู่คนเดียวเราก็รับผิดชอบตัวเรา อยู่หลายคนเราก็รับผิดชอบตัวเรา ถ้าเราไม่รู้จักรับผิดชอบตัวเรา อยู่คนเดียวก็เหนื่อยก็หนัก อยู่หลายคนก็ยิ่งหนัก เป็นภาระให้กับคนอื่น เราต้องแก้ไขปรับปรุงตัวเองให้ดี แต่ละวันๆ ถ้าเราเข้าใจแล้ว อยู่น้อยคนก็มีความสุข อยู่หลายคนก็มีความสุข
หลวงพ่อก็เล่าให้ฟังเฉยๆ ถ้าพวกท่านไม่ไปทำตาม พวกท่านก็ไม่เข้าใจ แม้แต่เรื่องการหายใจเข้าออกก็ไปทำให้เกิดความเคยชินเถิด จะหายใจเข้าอย่างไรถึงจะมีความรู้สึกรู้ตัวที่ต่อเนื่อง หายใจออกอย่างไร ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมาจิตของเราส่งออกไปภายนอกสักกี่เรื่อง เป็นกุศลหรือว่าอกุศล ความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิตของเราสักกี่ครั้ง เหตุการณ์จากภายนอกมาทำให้จิตเกิดหรือว่าเกิดขึ้นจากภายใน นิวรณธรรมเข้าครอบงำจิตของเราสักกี่ครั้ง เรามีความเกียจคร้านหรือไม่ จิตของเราฟุ้งซ่านหรือไม่ มีความลังเลสงสัยหรือไม่ ความรู้ตัวของเราพลั้งเผลอไปสักกี่เที่ยว เราต้องสร้างขึ้นมา
ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา พอรู้ตัวปั๊บ รู้กายปุ๊บ รู้จิตปั๊บ จะก้าวจะเดินมีความรู้สึกอยู่ที่การเดิน จะเข้าห้องส้วมห้องน้ำก็รู้ความปกติ จิตก็ให้รับรู้ จะทำกับข้าวกับปลา จิตของเราก็รับรู้ ต้องการสิ่งไหนก็เอาด้วยสติเอาด้วยปัญญา ต้องทำถึงขนาดนั้น
ไม่ใช่ว่าจะไปนั่งสมาธิหลับตาอย่างเดียว ไปเดินจงกรมอันนั้นเป็นแค่เพียงอิริยาบถ ยืนเดินนั่งนอนให้เป็นแค่เพียงอิริยาบถ เราต้องดูรู้จิตของเราให้ได้ตลอดเวลา แล้วก็แก้ไขด้วยสติด้วยปัญญา ด้วยจิตที่ไม่เกิดความกังวลเกิดความฟุ้งซ่าน
ผิดพลาดแก้ไขใหม่ๆ ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่ ให้กำลังใจตัวเอง อาศัยความอดทนอดกลั้น อาศัยการอาศัยเวลา อาศัยความเพียรที่ต่อเนื่อง ไม่ใช่ว่าทำแบบไฟไหม้ฟาง พึ่บพั่บๆ แล้วก็ทิ้งไป ต้องทำให้ต่อเนื่อง
บางทีจิตก็เป็นบุญอยู่ แต่เราขาดกำลังสติเข้าไปฝึกฝนเขาเท่านั้นเอง จิตของเรานี่ก็แปลก ถ้าไม่ได้ฝึกหัดปฏิบัติ เขาก็ทั้งเกิดด้วยทั้งหลงด้วย บางทีก็หลอกตัวเอง เพราะว่าความเคยชินของเขา กิเลสมารต่างๆ เขาก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ ยิ่งเราฝึกเท่าไรเขาก็เริ่มเล่นงานเราทันที กิเลสมารก็ขันธมาร ก็ขันธ์ห้านั่นแหละ ไม่รอบรู้ในกองสังขาร ไม่รอบรู้ในขันธ์ห้า
ขันธ์ทั้งห้าเป็นของหนัก ที่พวกเราเคยสวดเคยท่องเวลาทำวัตรสวดมนต์ นี่แหละขันธมาร ถ้าเราแยกแยะได้ทำความเข้าใจได้ เราละขันธ์ตรงนี้ได้ก็ละวางอัตตาตัวตนได้ เรามาละกิเลสจนจิตไม่เกิดกิเลสนั่นแหละ เขาก็จะเข้าถึงเข้าสู่สงบความสุข เราไม่อยากจะได้ความสุขเราก็จะได้เองนั่นแหละ เราละกิเลสได้แล้วก็ต้องพยายามกัน
ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี ก็ต้องพยายามกันนะ ได้มากได้น้อยเราก็พยายามกันให้ถึงจุดหมาย ไม่ถึงวันนี้ก็ต้องถึงวันพรุ่งนี้ ไม่ถึงพรุ่งนี้ก็ถึงเดือนหน้าปีหน้า ไม่ถึงจริงๆ ก็ไปต่อเอาภพหน้าค่อยว่ากัน ช่วงนี้เราได้มีโอกาสได้สร้างอานิสงส์ก็พยายามสร้างกัน เท่าที่กำลังกายกำลังใจของเรามี หลวงพ่อก็เป็นแค่ทางผ่าน พาทำพาสร้างขณะที่ยังมีกำลังอยู่ แต่ทรัพย์ภายในของหลวงพ่อทำไว้หมดจดแล้ว อันนี้สร้างเพื่อยังประโยชน์ให้กับสมมติเท่านั้นเอง ก็ต้องพยายามกัน
เอาล่ะ วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อเอานะ นี่เพียงแค่เล่าให้ฟัง