หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2552 ลำดับที่ 19
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2552 ลำดับที่ 19
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2552
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
พากันดูดีๆ นะพระเราชีเราก่อนที่จะขบจะฉัน อย่าไปปล่อยโอกาสทิ้ง ต้องดู ต้องรู้ ต้องหมั่นวิเคราะห์ จะมีมากมีน้อย เราก็ต้องรู้จิตของเรา อย่าให้เกิดความอยาก เกิดความยินดี เพียงแค่รับรู้ เราจะต้องการเอาสิ่งไหนก็เป็นเรื่องของปัญญาเข้าไปเอา เปรี้ยวหวานมันเค็ม เอามากเอาน้อยก็ต้องพิจารณา เขาเรียกว่า ‘ปฏิสังขาโย’ อย่าไปปล่อยโอกาสทิ้ง ยิ่งพระบวชใหม่ ความหิวของกายก็เยอะ ความอยากจะปรุงแต่งได้เร็วได้ไว คนเราไปมองข้ามความอยากเล็กๆ น้อยๆ ความคิดเล็กๆ น้อยๆ จะไปเอาแต่ตัวใหญ่ๆ ก็เลยไม่ทัน
เราต้องหัดสังเกตตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ความรู้ตัวของเราพลั้งเผลอไปสักกี่เที่ยว จิตของเราส่งออกไปภายนอกสักกี่เรื่อง ความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิตของเราสักกี่ครั้ง ความอยากเกิดขึ้นกับจิตของเราสักกี่เรื่อง เรื่องอะไรบ้าง เป็นกุศล หรือว่าเป็นอกุศล เป็นอดีต หรือว่าอนาคต หรือว่ากลางๆ เราต้องหมั่นวิเคราะห์ หมั่นสำรวจ หมั่นตรวจตราอยู่ตลอดเวลา ภาระหน้าที่สมมติของเรา อะไรยังไม่ราบรื่น เราก็พยายามทำให้ราบรื่นเพื่อยังสมมติให้มีความสุข เราอยู่กับสมมติ เราต้องทำความเข้าใจกับสมมติ อะไรคือสมมติ อะไรคือวิมุตติ อะไรคืออัตตา คำว่า ‘อนัตตา’ อะไรคืออนัตตา อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาในขันธ์ห้าเป็นอย่างไร อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ความไม่เที่ยงของกองสังขารเป็นอย่างไร เราต้องดูรู้ด้วย เห็นด้วย เข้าถึงด้วย
การแยกรูปแยกนาม สัมมาทิฐิ ความรู้แจ้งเห็นจริง รู้แจ้งอะไร รู้แจ้งในกองสังขารของตัวเราเอง รู้แจ้งโลก โลกภายนอก โลกภายใน โลกธรรม กายของเรานี่แหละก้อนโลกซึ่งมีวิญญาณมาอาศัยอยู่ ถึงเวลากายแตกดับก็ต้องไป ยังไม่ถึงเวลา เราก็ต้องรู้จักจำแนกแจกแจง ให้รู้ด้วยปัญญาที่เกิดจากการภาวนา ไม่ใช่ว่าไปนึกเอาไปคิดเอาว่าจะเป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนี้ นอกจากบุคคลที่มาเจริญสติด้วยแรงศรัทธา แล้วก็มาเจริญสติให้รู้ให้เห็นตามสภาวะความเป็นจริง ถึงจะมองเห็นทาง
การศึกษาเล่าเรียนระดับของสมมติก็เป็นแค่เพียงปัญญาโลกีย์ ที่ยังสมมติให้อยู่ดีมีความสุขอยู่ระดับหนึ่ง แต่การศึกษากายของเราด้วยปัญญาที่เกิดจากการเจริญภาวนา ให้รู้เห็นตามความเป็นจริง ก็จะมองเห็นหนทางทะลุปรุโปร่ง ข้ามพบข้ามชาติไปนั่น ไม่ต้องกลับมาเกิด ทำปัจจุบันให้ดี ทำจิตของเราให้สะอาด ให้บริสุทธิ์อยู่ปัจจุบัน รู้ด้วย เห็นด้วย เข้าถึงด้วย แล้วก็จะรับความสงบเยือกเย็นนั้นด้วย จิตที่ปราศจากกิเลสเป็นอย่างไร จิตที่ปราศจากความยึดมั่นถือมั่นเป็นอย่างไร
ในชีวิตประจำวันแต่ละวันๆ เราได้สร้างอานิสงส์ สร้างบุญ สร้างประโยชน์อะไรบ้าง ความเสียสละของเรามีเต็มที่หรือไม่ ความเสียสละ ความอดทนอดกลั้น อาศัยกาล อาศัยเวลา อาศัยพรหมวิหารความเมตตามองโลกในทางที่ดี คิดดี ทำดี มีเครื่องอยู่ วิหารธรรมเครื่องอยู่ของจิต ความว่าง ความบริสุทธิ์ พรมวิหารความเมตตา จิตจะเกิดกิเลสก็รู้จักละกิเลส กิเลสหยาบกิเลสละเอียด ความโลภ ความโกรธ เจริญสติให้เร็วให้ไวจนรู้เท่าทันก็จะคลายความหลง หลงอะไร หลงความคิด หลงอารมณ์ ถ้าเราแยกไม่ได้ เราก็ว่าเราไม่หลง เราอาจจะไม่หลงอยู่ในระดับของสมมติเท่านั้นเอง
การได้ยินให้ฟังได้อ่าน มีกันเต็มเปี่ยม การได้ศึกษาเล่าเรียนอยู่ในระดับของโลกียะ มีกันเต็มเปี่ยม แต่ปัญญาโลกุตระปัญญาที่จะเข้าไปคลายความหลง เข้าไปดับความทุกข์ได้ เราก็ต้องพยายามน้อมเข้าไปดูรู้ภายใน อะไรคือรูป อะไรคือนาม ลักษณะของนามธรรม อาการของเขาเป็นอย่างไร เราต้องดูรู้ให้ละเอียด
ขอให้ญาติโยมทุกคนทุกท่าน จงเจริญสติสร้างความสงบให้มีให้เกิดขึ้นที่ใจของเรา ด้วยการสร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกของเรา ซึ่งเรียกว่า ‘อานาปานสติ’ มีความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าหายใจออก นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย แล้วก็วางใจให้สบาย ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ สัก 2-3 เที่ยว ความคิดต่างๆ ก็จะหยุดไป การสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ การวิ่งเข้าของลมหายใจที่วิ่งเข้ากระทบปลายจมูกของเรา เราจะมีความรู้สึกรับรู้อยู่ เราพยายามสร้างความรู้สึกรับรู้ตรงนี้แหละให้ชัดเจนเวลาลมวิ่งเข้าวิ่งออก ถ้าเรารู้ได้ต่อเนื่อง เขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’
เพียงแค่เรื่องของการหายใจเข้าออก เราก็พยายามทำให้เกิดความเคยชิน ทั้งที่เราก็สูดลมหายใจเข้าออกตั้งแต่เกิด ไม่เคยหยุดเลยสักที แต่เราขาดการสังเกต ขาดการสร้างความรู้ตัว สร้างความรู้สึกรับรู้ สติก็เลยไม่รู้เท่าทัน ส่วนมากก็มีแต่จะไปนึกเอาไปคิดเอาว่าจะเป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนี้ อันนั้นมันเป็นปัญญาที่เกิดจากจิตส่งออกไปภายนอก ซึ่งเรียกว่า ‘ปัญญาโลกีย์’
ทุกคนก็มีบุญ ทุกคนก็มีวาสนาถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ แล้วก็ผ่านกาลผ่านเวลา ผ่านร้อนผ่านหนาว ได้รับการศึกษา ได้รับการเล่าเรียน รู้จักรับผิดชอบผิดถูกชั่วดี นั่นแหละคือการปฏิบัติธรรมอยู่ระดับของสมมติ มีความรับผิดชอบต่อภาระหน้าที่การงาน บางทีบางคนบางท่านก็สมหวังในชีวิต ทางด้านสมมุติไม่ได้ลำบาก บางคนบางท่านก็ลำบาก เดินทางผิดพลาด มีภาระรุงรังเข้ามาผูกมัด ก็ต้องแก้ไขกัน
ในหลักธรรมแล้ว ท่านให้ขยันด้วยสติด้วยปัญญา ด้วยเหตุด้วยผล ทำความเข้าใจให้รู้รอบรู้ทั้งภายนอก รอบรู้ทั้งภายใน ไม่ให้จิตเป็นทาสของกิเลส ไม่ให้จิตเป็นทาสของอารมณ์ ยืนเดินนั่งนอน กินอยู่ขับถ่าย ให้เป็นเพียงแค่อิริยาบถ เราต้องมีสติหมั่นวิเคราะห์ หมั่นสังเกตตัวเราตลอดเวลา ต้องเป็นคนขยันหมั่นเพียร ละความเกียจคร้าน เพิ่มความขยันหมั่นเพียร เพิ่มความรับผิดชอบให้สูงเป็นทวีคูณ จนเป็นธรรมชาติในการดู ในการรู้ ในการดำเนินชีวิต จนกว่าธาตุขันธ์จะแตกจะดับ
พวกเรามีบุญ อยู่ใกล้อยู่ไกลก็ได้มาอยู่ร่วมกันเป็นพี่เป็นน้อง เคยสร้างบุญ สร้างอานิสงส์มาร่วมกันถึงได้มาอยู่รวมกัน อยู่ใกล้อยู่ไกล ภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคใต้ ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชีก็มีโอกาสได้มาร่วมกัน มาสร้างบุญร่วมกัน อยู่หลายคนก็ให้อยู่กันอย่างมีความสุข อยู่กันเหมือนพ่อเหมือนแม่เหมือนพี่เหมือนน้อง เคารพกันในธรรม ค่อยพูดค่อยจา อะไรผิดอะไรถูก ทำประโยชน์ช่วยกันฝากฝังเอาไว้กับสมมติ เอาไว้กับแผ่นดิน ไม่เป็นทรัพย์ของคนใดคนหนึ่ง เป็นทรัพย์ของแผ่นดิน เป็นอานิสงส์ของทุกคนที่ได้มาร่วมกัน
หลวงพ่อก็ขอขอบใจขอบคุณทุกคนที่ได้มาช่วยกัน มาร่วมกัน มาสร้างกองบุญจากจุดน้อยๆ จากกำลังน้อยๆ ของพวกเรานี่แหละ ต่อไปข้างหน้าก็จะเป็นกองบุญใหญ่มหาศาล ใครไปใครมาก็จะได้มารับอานิสงส์ ความเป็นสิริมงคลอยู่ที่ไหน เหล่ามนุษย์ เหล่าเทวดาก็ย่อมจะหลั่งไหลมาเพื่อ กราบไหว้ เพื่อความเป็นสิริมงคลแห่งชีวิต
อยากจะดับทุกข์ อยากจะหลุดพ้น ก็ต้องประพฤติปฏิบัติตน แก้ไขตัวเราเอง ไม่ให้จิตของเราเป็นทาสของกิเลส เป็นทาสของอารมณ์ ไม่ให้จิตของเราเข้าไปหลง เข้าไปยึดทั้งภายนอก ทั้งภายใน
คนมีปัญญาจะไม่ให้จิตไปเกาะเกี่ยวอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ฟังนิดเดียวก็รู้หนทาง แล้วก็จะหมั่นวิเคราะห์ หมั่นทำความเข้าใจ หมั่นสำรวจหมั่นตรวจตรา หมั่นละกิเลส รู้จักตัวเรา ใช้ตัวเราให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น อยู่ที่ไหนก็มีความสุข อยู่น้อยคนก็มีความสุข อยู่หลายคนก็มีความสุข อยู่กับสมมติ ทำความเข้าใจกับสมมติ ไม่ยึดติดสมมตินั้น ยังสมมติให้เกิดประโยชน์ เราก็พลอยได้รับประโยชน์นั้นด้วย ประโยชน์ใกล้ประโยชน์ไกล ประโยชน์มากประโยชน์น้อย เราก็ต้องวิเคราะห์พิจารณาให้ละเอียด
อะไรคือส่วนรูป อะไรคือสวนนาม การได้ยินได้ฟังได้อ่าน ทุกคนมีกัน ผ่านกันมาเต็มเปี่ยมแล้วแหละ แต่การลงมือสังเกต วิเคราะห์ให้รู้เท่าทัน การเจริญสติให้ต่อเนื่อง ตรงนี้แหละยังกระท่อนกระแท่นกันอยู่ เราก็ต้องพยายามทำให้ได้ทุกอิริยาบถ ยืนเดินนั่งนอน กินอยู่ขับถ่าย ทำการทำงาน หมั่นวิเคราะห์ภายใน การก่อตัวของจิตเป็นอย่างไร จิตที่สงบปราศจากกิเลสเป็นอย่างไร ความว่าง เครื่องอยู่ วิหารธรรมของจิตเป็นอย่างไร ความรู้ตัวชิดต่อเนื่อง หรือว่าสติสัมปชัญญะเป็นลักษณะอย่างไร เราต้องสร้าง สติไม่มี เราก็ต้องสร้างขึ้นมาให้มี จิตไม่สงบ เราก็ต้องพยายามทำให้สงบด้วยอุบาย ด้วยวิธี ด้วยจริตของแต่ละบุคคล
ไม่ใช่ว่าจะไปนั่งให้คนนั้นเขาสอน ให้พระอาจารย์องค์นี้เขาสอน พระอาจารย์องค์นั้นเขาสอน สอนอย่างนั้นสอนอย่างนี้ มีแต่ความลังเลสงสัย ทั้งที่จิตก็เป็นบุญอยู่ เราก็ต้องพยายามศึกษาให้ละเอียด แล้วก็พยายามทำ พยายามสร้างให้มีให้เกิดขึ้นที่ใจของเรา แม้แต่ความอยากแม้แต่นิดเดียวก็ไม่ให้เกิดขึ้นที่จิตของเรา อยากมีอยากเป็น อยากไปอยากมา ไม่อยากมีไม่อยากเป็น ไม่อยากไปไม่อยากมา
การฝึกหัดปฏิบัติจิต ปฏิบัติธรรมนี่เป็นของละเอียดอ่อน เราจะไปมองข้ามไม่ได้ เราต้องพยายามหมั่นสร้างอานิสงส์เอา หมั่นสร้างตบะ สร้างบาร มีความอดทนอดกลั้น อดทนอดกลั้นต่อเหตุการณ์จากภายใน อดทนอดกลั้นต่อเหตุการณ์จากภายนอกที่เข้ามากระทบ อดทนอดกลั้นต่อกิเลส รู้จักชำระสะสางกิเลสออก หลวงพ่อก็ได้เพียงแค่เล่าให้ฟัง แต่ละวันๆ ก็เล่าของเก่านี่แหละให้ทุกคนได้ฟังกัน แต่ก็ต้องพยายามไปทำเอา ตราบใดที่จิตยังไม่หลุดพ้นก็พยามหมั่นสร้างอานิสงส์เอานะ เพียงแค่คิดทำให้ดี อนาคตก็จะออกมาดี ทำปัจจุบันดี
ตั้งสติระลึกรู้การหายใจเข้าออกให้ชัดเจน อยู่หลายคนก็เหมือนกับอยู่คนเดียว อยู่คนเดียวขณะนี้ก็ให้รู้ว่าลมหายใจวิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ต่อเนื่องกัน ทำจิตให้ว่าง สมองให้โล่ง กายให้โปร่ง มีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกให้ต่อเนื่องกันนะ ทุกสิ่งทุกอย่างทางสมมติอย่าพึ่งเก็บมาคิด มาพิจารณา ขณะนี้ให้รู้ว่าลมวิ่งเข้าวิ่งออกให้ต่อเนื่องกัน
ไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปสร้างสานต่อ ทำความเข้าใจกันเอานะ นี่เพียงแค่ย้ำแค่เตือน แค่กระตุ้นเท่านั้นเอง
เราต้องหัดสังเกตตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ความรู้ตัวของเราพลั้งเผลอไปสักกี่เที่ยว จิตของเราส่งออกไปภายนอกสักกี่เรื่อง ความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิตของเราสักกี่ครั้ง ความอยากเกิดขึ้นกับจิตของเราสักกี่เรื่อง เรื่องอะไรบ้าง เป็นกุศล หรือว่าเป็นอกุศล เป็นอดีต หรือว่าอนาคต หรือว่ากลางๆ เราต้องหมั่นวิเคราะห์ หมั่นสำรวจ หมั่นตรวจตราอยู่ตลอดเวลา ภาระหน้าที่สมมติของเรา อะไรยังไม่ราบรื่น เราก็พยายามทำให้ราบรื่นเพื่อยังสมมติให้มีความสุข เราอยู่กับสมมติ เราต้องทำความเข้าใจกับสมมติ อะไรคือสมมติ อะไรคือวิมุตติ อะไรคืออัตตา คำว่า ‘อนัตตา’ อะไรคืออนัตตา อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาในขันธ์ห้าเป็นอย่างไร อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ความไม่เที่ยงของกองสังขารเป็นอย่างไร เราต้องดูรู้ด้วย เห็นด้วย เข้าถึงด้วย
การแยกรูปแยกนาม สัมมาทิฐิ ความรู้แจ้งเห็นจริง รู้แจ้งอะไร รู้แจ้งในกองสังขารของตัวเราเอง รู้แจ้งโลก โลกภายนอก โลกภายใน โลกธรรม กายของเรานี่แหละก้อนโลกซึ่งมีวิญญาณมาอาศัยอยู่ ถึงเวลากายแตกดับก็ต้องไป ยังไม่ถึงเวลา เราก็ต้องรู้จักจำแนกแจกแจง ให้รู้ด้วยปัญญาที่เกิดจากการภาวนา ไม่ใช่ว่าไปนึกเอาไปคิดเอาว่าจะเป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนี้ นอกจากบุคคลที่มาเจริญสติด้วยแรงศรัทธา แล้วก็มาเจริญสติให้รู้ให้เห็นตามสภาวะความเป็นจริง ถึงจะมองเห็นทาง
การศึกษาเล่าเรียนระดับของสมมติก็เป็นแค่เพียงปัญญาโลกีย์ ที่ยังสมมติให้อยู่ดีมีความสุขอยู่ระดับหนึ่ง แต่การศึกษากายของเราด้วยปัญญาที่เกิดจากการเจริญภาวนา ให้รู้เห็นตามความเป็นจริง ก็จะมองเห็นหนทางทะลุปรุโปร่ง ข้ามพบข้ามชาติไปนั่น ไม่ต้องกลับมาเกิด ทำปัจจุบันให้ดี ทำจิตของเราให้สะอาด ให้บริสุทธิ์อยู่ปัจจุบัน รู้ด้วย เห็นด้วย เข้าถึงด้วย แล้วก็จะรับความสงบเยือกเย็นนั้นด้วย จิตที่ปราศจากกิเลสเป็นอย่างไร จิตที่ปราศจากความยึดมั่นถือมั่นเป็นอย่างไร
ในชีวิตประจำวันแต่ละวันๆ เราได้สร้างอานิสงส์ สร้างบุญ สร้างประโยชน์อะไรบ้าง ความเสียสละของเรามีเต็มที่หรือไม่ ความเสียสละ ความอดทนอดกลั้น อาศัยกาล อาศัยเวลา อาศัยพรหมวิหารความเมตตามองโลกในทางที่ดี คิดดี ทำดี มีเครื่องอยู่ วิหารธรรมเครื่องอยู่ของจิต ความว่าง ความบริสุทธิ์ พรมวิหารความเมตตา จิตจะเกิดกิเลสก็รู้จักละกิเลส กิเลสหยาบกิเลสละเอียด ความโลภ ความโกรธ เจริญสติให้เร็วให้ไวจนรู้เท่าทันก็จะคลายความหลง หลงอะไร หลงความคิด หลงอารมณ์ ถ้าเราแยกไม่ได้ เราก็ว่าเราไม่หลง เราอาจจะไม่หลงอยู่ในระดับของสมมติเท่านั้นเอง
การได้ยินให้ฟังได้อ่าน มีกันเต็มเปี่ยม การได้ศึกษาเล่าเรียนอยู่ในระดับของโลกียะ มีกันเต็มเปี่ยม แต่ปัญญาโลกุตระปัญญาที่จะเข้าไปคลายความหลง เข้าไปดับความทุกข์ได้ เราก็ต้องพยายามน้อมเข้าไปดูรู้ภายใน อะไรคือรูป อะไรคือนาม ลักษณะของนามธรรม อาการของเขาเป็นอย่างไร เราต้องดูรู้ให้ละเอียด
ขอให้ญาติโยมทุกคนทุกท่าน จงเจริญสติสร้างความสงบให้มีให้เกิดขึ้นที่ใจของเรา ด้วยการสร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกของเรา ซึ่งเรียกว่า ‘อานาปานสติ’ มีความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าหายใจออก นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย แล้วก็วางใจให้สบาย ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ สัก 2-3 เที่ยว ความคิดต่างๆ ก็จะหยุดไป การสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ การวิ่งเข้าของลมหายใจที่วิ่งเข้ากระทบปลายจมูกของเรา เราจะมีความรู้สึกรับรู้อยู่ เราพยายามสร้างความรู้สึกรับรู้ตรงนี้แหละให้ชัดเจนเวลาลมวิ่งเข้าวิ่งออก ถ้าเรารู้ได้ต่อเนื่อง เขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’
เพียงแค่เรื่องของการหายใจเข้าออก เราก็พยายามทำให้เกิดความเคยชิน ทั้งที่เราก็สูดลมหายใจเข้าออกตั้งแต่เกิด ไม่เคยหยุดเลยสักที แต่เราขาดการสังเกต ขาดการสร้างความรู้ตัว สร้างความรู้สึกรับรู้ สติก็เลยไม่รู้เท่าทัน ส่วนมากก็มีแต่จะไปนึกเอาไปคิดเอาว่าจะเป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนี้ อันนั้นมันเป็นปัญญาที่เกิดจากจิตส่งออกไปภายนอก ซึ่งเรียกว่า ‘ปัญญาโลกีย์’
ทุกคนก็มีบุญ ทุกคนก็มีวาสนาถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ แล้วก็ผ่านกาลผ่านเวลา ผ่านร้อนผ่านหนาว ได้รับการศึกษา ได้รับการเล่าเรียน รู้จักรับผิดชอบผิดถูกชั่วดี นั่นแหละคือการปฏิบัติธรรมอยู่ระดับของสมมติ มีความรับผิดชอบต่อภาระหน้าที่การงาน บางทีบางคนบางท่านก็สมหวังในชีวิต ทางด้านสมมุติไม่ได้ลำบาก บางคนบางท่านก็ลำบาก เดินทางผิดพลาด มีภาระรุงรังเข้ามาผูกมัด ก็ต้องแก้ไขกัน
ในหลักธรรมแล้ว ท่านให้ขยันด้วยสติด้วยปัญญา ด้วยเหตุด้วยผล ทำความเข้าใจให้รู้รอบรู้ทั้งภายนอก รอบรู้ทั้งภายใน ไม่ให้จิตเป็นทาสของกิเลส ไม่ให้จิตเป็นทาสของอารมณ์ ยืนเดินนั่งนอน กินอยู่ขับถ่าย ให้เป็นเพียงแค่อิริยาบถ เราต้องมีสติหมั่นวิเคราะห์ หมั่นสังเกตตัวเราตลอดเวลา ต้องเป็นคนขยันหมั่นเพียร ละความเกียจคร้าน เพิ่มความขยันหมั่นเพียร เพิ่มความรับผิดชอบให้สูงเป็นทวีคูณ จนเป็นธรรมชาติในการดู ในการรู้ ในการดำเนินชีวิต จนกว่าธาตุขันธ์จะแตกจะดับ
พวกเรามีบุญ อยู่ใกล้อยู่ไกลก็ได้มาอยู่ร่วมกันเป็นพี่เป็นน้อง เคยสร้างบุญ สร้างอานิสงส์มาร่วมกันถึงได้มาอยู่รวมกัน อยู่ใกล้อยู่ไกล ภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคใต้ ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชีก็มีโอกาสได้มาร่วมกัน มาสร้างบุญร่วมกัน อยู่หลายคนก็ให้อยู่กันอย่างมีความสุข อยู่กันเหมือนพ่อเหมือนแม่เหมือนพี่เหมือนน้อง เคารพกันในธรรม ค่อยพูดค่อยจา อะไรผิดอะไรถูก ทำประโยชน์ช่วยกันฝากฝังเอาไว้กับสมมติ เอาไว้กับแผ่นดิน ไม่เป็นทรัพย์ของคนใดคนหนึ่ง เป็นทรัพย์ของแผ่นดิน เป็นอานิสงส์ของทุกคนที่ได้มาร่วมกัน
หลวงพ่อก็ขอขอบใจขอบคุณทุกคนที่ได้มาช่วยกัน มาร่วมกัน มาสร้างกองบุญจากจุดน้อยๆ จากกำลังน้อยๆ ของพวกเรานี่แหละ ต่อไปข้างหน้าก็จะเป็นกองบุญใหญ่มหาศาล ใครไปใครมาก็จะได้มารับอานิสงส์ ความเป็นสิริมงคลอยู่ที่ไหน เหล่ามนุษย์ เหล่าเทวดาก็ย่อมจะหลั่งไหลมาเพื่อ กราบไหว้ เพื่อความเป็นสิริมงคลแห่งชีวิต
อยากจะดับทุกข์ อยากจะหลุดพ้น ก็ต้องประพฤติปฏิบัติตน แก้ไขตัวเราเอง ไม่ให้จิตของเราเป็นทาสของกิเลส เป็นทาสของอารมณ์ ไม่ให้จิตของเราเข้าไปหลง เข้าไปยึดทั้งภายนอก ทั้งภายใน
คนมีปัญญาจะไม่ให้จิตไปเกาะเกี่ยวอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ฟังนิดเดียวก็รู้หนทาง แล้วก็จะหมั่นวิเคราะห์ หมั่นทำความเข้าใจ หมั่นสำรวจหมั่นตรวจตรา หมั่นละกิเลส รู้จักตัวเรา ใช้ตัวเราให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น อยู่ที่ไหนก็มีความสุข อยู่น้อยคนก็มีความสุข อยู่หลายคนก็มีความสุข อยู่กับสมมติ ทำความเข้าใจกับสมมติ ไม่ยึดติดสมมตินั้น ยังสมมติให้เกิดประโยชน์ เราก็พลอยได้รับประโยชน์นั้นด้วย ประโยชน์ใกล้ประโยชน์ไกล ประโยชน์มากประโยชน์น้อย เราก็ต้องวิเคราะห์พิจารณาให้ละเอียด
อะไรคือส่วนรูป อะไรคือสวนนาม การได้ยินได้ฟังได้อ่าน ทุกคนมีกัน ผ่านกันมาเต็มเปี่ยมแล้วแหละ แต่การลงมือสังเกต วิเคราะห์ให้รู้เท่าทัน การเจริญสติให้ต่อเนื่อง ตรงนี้แหละยังกระท่อนกระแท่นกันอยู่ เราก็ต้องพยายามทำให้ได้ทุกอิริยาบถ ยืนเดินนั่งนอน กินอยู่ขับถ่าย ทำการทำงาน หมั่นวิเคราะห์ภายใน การก่อตัวของจิตเป็นอย่างไร จิตที่สงบปราศจากกิเลสเป็นอย่างไร ความว่าง เครื่องอยู่ วิหารธรรมของจิตเป็นอย่างไร ความรู้ตัวชิดต่อเนื่อง หรือว่าสติสัมปชัญญะเป็นลักษณะอย่างไร เราต้องสร้าง สติไม่มี เราก็ต้องสร้างขึ้นมาให้มี จิตไม่สงบ เราก็ต้องพยายามทำให้สงบด้วยอุบาย ด้วยวิธี ด้วยจริตของแต่ละบุคคล
ไม่ใช่ว่าจะไปนั่งให้คนนั้นเขาสอน ให้พระอาจารย์องค์นี้เขาสอน พระอาจารย์องค์นั้นเขาสอน สอนอย่างนั้นสอนอย่างนี้ มีแต่ความลังเลสงสัย ทั้งที่จิตก็เป็นบุญอยู่ เราก็ต้องพยายามศึกษาให้ละเอียด แล้วก็พยายามทำ พยายามสร้างให้มีให้เกิดขึ้นที่ใจของเรา แม้แต่ความอยากแม้แต่นิดเดียวก็ไม่ให้เกิดขึ้นที่จิตของเรา อยากมีอยากเป็น อยากไปอยากมา ไม่อยากมีไม่อยากเป็น ไม่อยากไปไม่อยากมา
การฝึกหัดปฏิบัติจิต ปฏิบัติธรรมนี่เป็นของละเอียดอ่อน เราจะไปมองข้ามไม่ได้ เราต้องพยายามหมั่นสร้างอานิสงส์เอา หมั่นสร้างตบะ สร้างบาร มีความอดทนอดกลั้น อดทนอดกลั้นต่อเหตุการณ์จากภายใน อดทนอดกลั้นต่อเหตุการณ์จากภายนอกที่เข้ามากระทบ อดทนอดกลั้นต่อกิเลส รู้จักชำระสะสางกิเลสออก หลวงพ่อก็ได้เพียงแค่เล่าให้ฟัง แต่ละวันๆ ก็เล่าของเก่านี่แหละให้ทุกคนได้ฟังกัน แต่ก็ต้องพยายามไปทำเอา ตราบใดที่จิตยังไม่หลุดพ้นก็พยามหมั่นสร้างอานิสงส์เอานะ เพียงแค่คิดทำให้ดี อนาคตก็จะออกมาดี ทำปัจจุบันดี
ตั้งสติระลึกรู้การหายใจเข้าออกให้ชัดเจน อยู่หลายคนก็เหมือนกับอยู่คนเดียว อยู่คนเดียวขณะนี้ก็ให้รู้ว่าลมหายใจวิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ต่อเนื่องกัน ทำจิตให้ว่าง สมองให้โล่ง กายให้โปร่ง มีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกให้ต่อเนื่องกันนะ ทุกสิ่งทุกอย่างทางสมมติอย่าพึ่งเก็บมาคิด มาพิจารณา ขณะนี้ให้รู้ว่าลมวิ่งเข้าวิ่งออกให้ต่อเนื่องกัน
ไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปสร้างสานต่อ ทำความเข้าใจกันเอานะ นี่เพียงแค่ย้ำแค่เตือน แค่กระตุ้นเท่านั้นเอง