หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2552 ลำดับที่ 02

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2552 ลำดับที่ 02
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
พระธรรมเทศนาโดย (Dhamma Talk by)
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2552 ลำดับที่ 02
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2552
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
พากันดูดีๆ นะพระเราชีเรา ก่อนที่จะขบจะฉัน กะประมาณในการขบฉัน พิจารณาปฏิสังขาโย รู้กายรู้จิต กายหิว จิตอยาก เราก็รู้จักดับ วันนี้ก็เป็นวันที่ 2 วันปีใหม่ วันที่ 2 ปีใหม่ปีนี้รู้สึกว่าได้ยินแต่ข่าวไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่ เห็นว่าไฟไหม้ตายกันเยอะ ทั้งรถราก็ชนกันเยอะ เพราะความสนุกสนานนั่นแหละความสนุกสนาน ความรื่นเริงเที่ยวกลางคืนไฟไหม้ บางคนบางท่านก็ออกไปต่างจังหวัดก็ไปรถคว่ำก็มี

เอาแน่นอนไม่ได้ชีวิตคนเรา ความไม่เที่ยงอนิจจัง ความไม่เที่ยง ถึงวาระถึงเวลา คนนั้นก็วาระเวลานั้น คนนี้ก็วาระเวลานี้ แล้วแต่วิบากกรรม ถ้าวิบากกรรมมาถึงก็ได้ไป วิบากกรรมยังไม่มาถึง ก็หมั่นสร้างกุศล หมั่นสร้างคุณงามความดี แต่ละวันๆ ตื่นขึ้นมาเราได้สร้างบุญ สร้างประโยชน์อะไรบ้างให้เกิดให้มีขึ้นในกายในใจของเรา แม้แต่ความนึกคิดก็ให้เป็นกุศล มองโลกในทางที่ดี คิดดี ตั้งแต่ปีเก่า ปีใหม่มา ตั้งแต่เช้าญาติโยมก็พากันมาไหว้ ไม่ค่อยจะขาดเท่าไหร่ พากันมากราบมาไหว้ไหว้องค์หลวงปู่ใหญ่ ไหว้พระบรมสารีริกธาตุ แล้วก็ไหว้พระพุทธรูปหยกเพื่อความเป็นสิริมงคล

นี่แหละโอกาสเปิดให้ สถานที่เปิดให้ พวกเราก็พากันมามากราบมาไหว้ มาทำความเข้าใจ มาสำรวจตัวเราเองนั่นแหละ ว่าใจของเราไปอย่างไร กายของเราไปอย่างไร ทำอย่างไรเราถึงจะอยู่ดีมีความสุข ทำอย่างไรเราถึงจะสร้างฐานะของเราให้เพิ่มพูนขึ้นไปเรื่อยๆ ทางสมมติไม่ให้ลำบาก เราก็ต้องมาวิเคราะห์ตัวเรา มาแก้ไขตัวเรา ถ้าอิ่มพอแล้วก็วางสมมติ มาศึกษาเรื่องจิตของตัวเอง การเกิดการดับของจิต การเกิดการดับของความคิด มาสำรวจตัวเราให้ละเอียด การลุก การก้าว การเดิน การไป การมา ก็ต้องพยายามเอา

บวชมาเพิ่มนี่ก็คงจะหลายองหลายท่านอยู่ ที่พักที่อาศัยของเรา ก็ฝนฟ้าไม่ตกก็เอากลดเอาเต็นท์ไปกลางตามร่มไม้ มีความสุข ได้พิจารณาทุกสิ่งทุกอย่าง พิจารณา ทางสมมติภายนอกอยู่อย่างมีความสุข อยู่ใต้ร่มไม้ก็มีความสุข อยู่ในคฤหาสน์หรูก็มีความสุขอยู่ถ้าเราเข้าใจ ตอนนี้เราออกมาศึกษา มาสำรวจกายวิเวกจากพันธะจากภาระต่างๆ พระเราก็เยอะ อยู่ด้วยกันก็ให้อยู่ด้วยกันมีความสุขเหมือนพ่อเหมือนแม่ เหมือนพี่เหมือนน้อง เป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน มีอะไรก็ค่อยๆ พูด ค่อยๆ จากัน ทุกคนบวชเข้ามาก็เพื่อได้แสวงหาทางดับทุกข์ หาทางหลุดพ้น เรามาอาศัยสถานที่นี้อยู่ เราก็พยายามทำความเข้าใจ เคารพสถานที่ ทำความเข้าใจในสิ่งที่เราเป็นอยู่

สักพัก สักระยะหนึ่ง พวกเราก็ต้องพลัดพรากจากกัน ไม่ได้พลัดพลาดจากกันตอนเป็นก็ต้องได้พลัดพลาดจากกันตอนตาย อันนี้เป็นกฎของไตรลักษณ์ กฎของธรรมชาติ เราก็มาพิจารณา เรามาอยู่ร่วมกัน ต่างคนก็ต่างเคารพในหน้าที่ เคารพในสภาวะของสมมติ เคารพกันตามหน้าที่ มีอะไรก็ช่วยเหลือกัน ก็จะอยู่ดีมีความสุข อยู่คนเดียวก็มีความสุข อยู่หลายคนก็มีความสุข ก็ต้องพยายามเอานะ พยายามกันทุกคนนั่นแหละ

ทั้งฆราวาสญาติโยม ญาติโยมมาที่นี่ บางทีที่พักก็มี บางทีก็ที่พักก็เต็ม ก็ไม่เป็นไร ที่ไหนพอว่างๆ พอปักลดปักเต็นท์ได้ก็ลงได้เลย มาที่นี้ก็บ้านของเรา อย่าไปกังวลอะไร เราต้องเตรียมพร้อม เป็นบุคคลที่เตรียมพร้อมอยู่ตลอดเวลา อยู่ที่ไหนก็เป็นบุคคลที่เตรียมพร้อม มีความรับผิดชอบ มีความรับผิดชอบต่อตัวเรา มีความรับผิดชอบต่อส่วนรวม เป็นคนที่เสียสละ เป็นบุคคลที่มีความเสียสละอยู่ตลอดเวลา ไปอยู่ที่ไหนก็ไม่เก้อไม่เขิน อยู่ที่ไหนก็จะมีแต่ความสุข ก็ต้องพยายามเอา

เวลาของมนุษย์มันมีไม่เยอะ เหลืออยู่น้อย แม้ตั้งแต่ตัวหลวงพ่อเองนี่ สภาพร่างกายก็อ่อนแอเต็มที่แล้วแหละ สภาพหัวใจก็อ่อนแอ ต้องทานยาอยู่ทุกวัน ดูภายนอกก็ดูเข้มแข็งแข็งแรงดีอยู่ แต่สภาพข้างในเขาหมดสภาพแล้วแหละ มีแต่พยุงไปวันละเล็กวันละน้อย บางวันก็ทรุดหนัก บางวันก็มีกำลังหน่อยก็เดินออกไปดูสิ่งนั้นบ้าง สิ่งนี้บ้าง ไม่รู้ว่าจะยืดเวลาไปได้สักเท่าไหร่ ก็ต้องพยายามเอา

ก็จะสร้างประโยชน์ สร้างคุณงามความดีขณะที่กำลังกายยังอยู่ ทำได้เท่าไหร่ก็เอา จะไปรอดหรือเปล่าปีนี้ก็ยังไม่รู้อยู่ เพราะว่าคงจะใกล้วาระของเขาแล้วแหละ เพราะว่าสภาพหัวใจมันอ่อน มันล้า มันเหนื่อย แต่ละวันนี่เหนื่อย แต่ก็ดูแลรักษาเขาอยู่ ไม่ได้ปล่อยปละละเลย ถ้าถึงเวลาก็คงได้ไป ถ้าไม่ถึงวาระเวลาก็คงไม่ได้ไป เพราะเป็นมานานแล้วแหละ สภาพของหัวใจ สภาพร่างกายร่างกายก็หมดสภาพ หมดกำลัง ต้องได้ทานยาทั้งทานยาเบาหวาน ยาความดัน ทั้งยาขยายหลอดเลือด สารพัดอย่าง ทั้งไตรกลีเซอรไรด์ แต่ก็ไม่ได้ไปทุกข์ ไม่ได้ไปกังวลกับสิ่งพวกนี้

มีเวลาก็จะพยายามสร้างประโยชน์ให้กับสังคม ให้กับคนหมู่มากเท่าที่จะทำได้ ก็ต้องขออภัยทั้งพระทั้งโยมทั้งชี บางทีก็ไม่ได้มาทำวัตรสวดมนต์ ลงไปบิณฑบาตด้วย ก็เพราะสภาพร่างกายมันอ่อนมันล้า ก็อยู่ด้วยกันก็มอบภาระหน้าที่ให้หลวงปู่หลวงตา หมู่คณะ ท่านพาทำวัตรสวดมนต์ตอนเช้า ตอนเย็น พากันไปบิณฑบาต อยู่ด้วยกันมีความสุข ทุกคนก็มาเพื่อที่จะมาฝึกขัด มาขัดเกลา มาละกิเลสออกจากจิต จากใจของตัวเราเอง ก็ต้องพยายามกัน พยายามกันตลอดเวลา

ขอให้ญาติโยมทุกคนทุกท่าน จงเจริญสติสร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกของตัวเราเองให้ต่อเนื่องกันสักพักสักระยะหนึ่งเสียก่อนนะ นั่งตามสบาย ไม่ต้องพนมมือ วางกายให้สบาย หยุดดับความคิดความกังวลไม่ว่าเรื่องภาระหน้าที่การงาน เรื่องบ้านเรื่องช่อง อย่าเพิ่งไปคิด ถ้าจิตของเราจะคิดส่งออกไป เราก็ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ สัก 2-3 เที่ยว อย่าไปบังคับ อย่าไปเพ่ง อย่าไปจดจ่อ การสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ ให้เป็นธรรมชาติที่สุด จิตก็จะสงบระงับลงไป กายของเราก็รู้สึกว่าสบายขึ้น สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้ากระทบปลายจมูกของเรา เรามีความรู้สึกรับรู้อยู่

เวลาลมหายใจเข้าหายใจออก มีความรู้สึกรับรู้อยู่ให้ต่อเนื่อง ก็เรียกว่า ‘รู้ตัว’ รู้กายอยู่ปัจจุบัน รู้ต่อเนื่องก็เรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ ถ้าความรู้สึกพลั้งเผลอเราก็เริ่มใหม่ๆ ถ้าจิตของเราจะคิดไปที่อื่น เราก็กระตุ้นความรู้สึกแรงๆ ยาวๆ ความคิดก็จะดับไป อันนี้เป็นการระงับดับให้จิตของเราช้าลง สร้างสติของเราให้ต่อเนื่องขึ้น

ถ้ากำลังสติของเราต่อเนื่อง เราก็หัดสังเกตเวลาจิตก่อตัว เขาเริ่มก่อตัวอย่างไร เราก็ดับตั้งแต่เขาเกิด กำลังที่จะส่งออกไปภายนอกก็จะไม่มี อาการของขันธ์ห้า หรือความคิดที่ผุดขึ้นมาโดยที่ไม่ได้เกิดจากตัวจิต เขาก่อตัวอย่างไร ขณะเขาก่อตัว ความรู้ตัวเราอยู่ปัจจุบัน เราก็จะรู้ทัน จิตจะเคลื่อนเข้าไปรวมปุ๊บ เรารู้ตัวปุ๊บ เรารู้ขณะเขาก่อตัว ขณะเขาเคลื่อน จิตเขาก็จะแยกออกจากความคิดนั้นทันที จิตก็จะหงาย ซึ่งเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ ตรงนี้แหละเรียกว่า ‘คลายโมหะ’ เรียกว่า ‘สัมมาทิฏฐิ’ ความรู้แจ้งเห็นจริง

รู้แจ้งเห็นจริงแล้วก็ทำความเข้าใจให้รอบรู้ในความคิดนั้น เป็นเรื่องอะไร เขาเรียกว่า ‘รอบรู้ในกองสังขาร’ ให้จิตรับรู้ สติตามทำความเข้าใจ ก็จะเห็นความเกิดความดับ เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาในขันธ์ห้า เห็นความไม่เที่ยง นั่นแหละเราก็จะเข้าใจในเรื่องอัตตา ในเรื่องอนัตตา เพียงแค่เราเจริญสติให้ต่อเนื่อง พวกเราก็ยังทำกันไม่ต่อเนื่อง ยังขาด กระท่อนกระแท่นอยู่ แต่อานิสงส์ส่วนอื่น บารมีส่วนอื่นนั้นทุกคนได้ทำได้สร้างกันมาดี ทำบุญด้วยการทำบุญ ด้วยการให้ทาน เจริญพรหมวิหาร ผ่านกาลผ่านเวลา รู้จัก มีความเข้าใจกับการเจริญรักษาศีล เราต้องทำความเข้าใจนะ แม้แต่ศีลคือความปกติ ความปกติขณะนี้ทุกคนก็มีความปกติ นั่นแหละคือศีล ความปกตินั่นแหละคือสมาธิ ทำอย่างไรเราถึงจะทำจิตของเราให้ปกติได้ตลอดเวลา ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาจนกระทั่งนอนหลับ แม้แต่ทำการทำงาน รับประทานอาหาร ตากระทบรูป หูกระทบเสียง ให้จิตของเราปกติ นั่นแหละเราต้องพยายาม

หมั่นสังเกตตัวเรา หมั่นวิเคราะห์ตัวเรา หมั่นแก้ไขตัวเราตลอดเวลา แล้วก็ทำความเข้าใจกับสมมติที่เราเข้าไปยุ่งเกี่ยว โลกธรรมแปด ทำความเข้าใจกับสมมติภายนอกในฐานะที่เราเข้าไปยุ่งเกี่ยว ถ้าเราต้องการสิ่งนั้นสิ่งนี้เพื่อจะยังประโยชน์ เราก็เอามาด้วยสติ เอามาด้วยปัญญา ให้จิตของเรายังนิ่งสงบ รับรู้อยู่ภายในกายของเรา


ก็ไม่เหลือวิสัยถ้าเราจะขยันหมั่นเพียร การฝึกหัดปฏิบัติจิต ต้องเป็นคนที่ขยันหมั่นเพียรจริงๆ อย่าไปเกียจคร้านทั้งกลางวัน ทั้งกลางคืน นอกจากเราจะนอนหลับ ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาเราก็สำรวจตัวเรา เพียงแค่สร้างความรู้ตัวให้ได้เสียก่อน ใหม่ๆ ก็อาจจะอึดอัด เพราะความพลั้งเผลอบ้าง จิตส่งออกไปภายนอกบ้าง มันก็ฝืน ท่านถึงเรียกว่า ‘ทวนกระแส’ ทวนกระแสกิเลส

จิตชอบคิด ชอบเที่ยว ชอบส่งออกไปภายนอก เราดับ เราควบคุมจิตของเราไม่ให้ออกไปภายนอก มันก็เลยเป็นการฝืน เป็นการทวนกระแส ฝืนจนถึงที่สิ้นสุดแล้วก็คลี่คลาย เมื่อจิตของเราคลายจากความคิด จิตของเราก็จะโล่ง กายของเราก็จะโปร่ง ทีนี้เราก็ทำความเข้าใจได้ชัดเจน เราจะละได้หมดหรือไม่ได้หมดก็ขึ้นอยู่กับเพียรของเรา เรื่องจิตนี่เป็นของละเอียดอ่อน จิตนี่ก็แปลก เขาก็เกิดอยู่อย่างนั้น เขาก็หลงอยู่อย่างนั้น ถ้าเรามาฝึกหัดปฏิบัติเขา ทำความเข้าใจให้เขารับรู้ความเป็นจริง เมื่อเขารู้ความเป็นจริงแล้ว เขาก็จะไม่เป็นทาสของกิเลส ไม่เป็นทาสของความโลภ ความโกรธ ไม่เป็นทาสของความทะเยอทะยานอยาก เขาก็ไม่หลง

การเกิดเป็นทุกข์เขาก็ไม่เอา การเป็นทาสของกิเลสเป็นทุกข์เขาก็ไม่เอา แต่เวลานี้เขาทั้งเอาด้วย ทั้งยึดด้วย เราต้องพยายามหมั่นพิจารณา หมั่นวิเคราะห์ด้วยสติ ด้วยปัญญา หาเหตุหาผล หมั่นพร่ำสอนจิตจนจิตของเรายอมรับความเป็นจริงได้เมื่อไหร่นั่นแหละ เราก็ละกิเลสออกจากใจของเราได้นั่นแหละ เขาถึงจะยอมสงบ ยอมนิ่งได้ ถึงเขาจะปล่อยวางไม่ได้ก็พยายามให้อยู่ในกองบุญกองกุศลนะ

แต่ละวัน แต่ละเวลา ทุกลมหายใจเข้าออกมีคุณค่ามากมายมหาศาลมากทีเดียว อย่าพากันปล่อยโอกาสทิ้ง มีโอกาสก็รีบทำ รีบสร้าง สร้างตบะ สร้างบารมี สร้างความอดทนอดกลั้น สร้างความเสียสละ พรมวิหารความเมตตาให้มีให้เกิดขึ้นในใจของเรา แล้วก็รู้จักควบคุมจิต ควบคุมอารมณ์ รู้จักให้อภัยทานอโหสิกรรม มองโลกในทางที่ดี คิดดี การได้ยินได้อ่านได้ฟัง ทุกคนผ่านกันมาหมดแล้วแหละ การลงมือสังเกต ตัวไหนเกิดอย่างไรไปอย่างไร มาอย่างไร ตรงนี้สำคัญ ก็ต้องพยายามเอานะ

เอาล่ะ วันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อ ทำความเข้าใจกันเอานะ นี่เพียงแค่เล่าให้ฟัง

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง