หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2552 ลำดับที่ 01
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2552 ลำดับที่ 01
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2552
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
เจริญธรรมญาติโยมทุกคนทุกท่าน วันขึ้นปีใหม่วันที่ 1 ก็เข้ามาถึง ปีเก่าผ่านไป ปีใหม่ก็เริ่มเข้ามา แต่ละวันตื่นขึ้นมา เราได้สร้างคุณงามความดี สร้างประโยชน์อะไรให้กับตัวเรา ให้กับส่วนรวม เราต้องรู้จักพิจารณา รู้จักแก้ไข รู้จักปรับปรุงตัวเราเอง ปีใหม่ปี พ.ศ. 2552 ปีใหม่ปีเก่า ถ้าในทางหลักธรรมแล้วก็เหมือนกันหมดนั่นแหละ มีแต่มืดกับแจ้งๆ วันเวลาผ่านไป วันพรุ่งนี้ก็จะมาเป็นวันนี้ เราพยายามทำปัจจุบันให้ดี ตรวจตราดูรู้กาย รู้จิตของเรา ทำภาระหน้าที่สมมติของเราให้ดีที่สุด ก็จะส่งผลถึงอนาคต
แต่ละวันๆ ญาติโยมก็เริ่มเข้ามาเยอะ เข้ามากราบไหว้องค์หลวงปู่ใหญ่ เข้ามากราบไหว้พระบรมสารีริกธาตุ แล้วก็พระสงฆ์ก็เริ่มเยอะ พระคุณเจ้าก็เริ่มเยอะ ทั้งมาจากทางใกล้ทางไกล ทั้งที่จะบวชใหม่ ที่พักที่อาศัยของเราก็อาจจะไม่เพียงพอ ก็อยู่ตามร่มไม้ อยู่ตามวิหารศาลาโล่งๆ โปร่งๆ เอากลดเอาเต็นท์ไปกางอยู่ด้วยกันหลายองค์หลายท่าน ก็ให้มีความสมัครสมานสามัคคีกัน ให้มีความรักความกลมเกลียวกัน ค่อยพูดค่อยจา
เราบวชออกมาเพื่อที่จะฝึกลดละมานะ ละทิฏฐิ ละความเห็น ไปในทางเส้นเดียวกัน ไม่จําเป็นต้องมาพูด มาถกมาเถียงกันให้ลําบาก อะไรที่จะขัดเกลาตัวเอง ละทิฏฐิ ละมานะ ละกิเลส ละอัตตา เรามาฝึกทำความเข้าใจฝึกดู ฝึกรู้ ไม่ให้ฝึกยึดฝึกติด ฝึกปล่อยฝึกวาง รู้จักรับผิดชอบต่อหน้าที่ ต่างคนก็ต่างช่วยกัน จากหนักก็เป็นเบา จากเบาก็แทบจะไม่มีเหลือ ทั้งทางด้านสมมติเราก็ช่วยกัน รู้จักเคารพกันตามหน้าที่ อย่าไปแก่งแย่งกันว่ากูดีมึงดี คนนั้นดี คนนั้นไม่ดี ก็ดีกันหมดทุกคน ทุกคนก็มีดีกันหมด จะมีดีมากดีน้อยก็ขึ้นอยู่ความเพียรของเรา จนกว่าจิตของเราจะหลุดพ้นจากความยึดติดในสิ่งต่างๆ นั่นแหละ อย่าไปปล่อยโอกาสทิ้ง เรามีโอกาสจะมาสร้างประโยชน์ สร้างคุณงามความดี
ญาติโยมจากทั้งใกล้ ทั้งไกล ก็ได้มาพักอยู่ที่วัดของเราก็หลายท่าน ทางกรุงเทพฯก็มาหลายท่าน ก็ให้เปรียบได้ว่ามาอยู่บ้านของเรา ทุกคนก็มีข้อวัตรปฏิบัติในตัวเองหมด ทุกคนก็ต่างแสวงหาบุญ สร้างบุญให้มีให้เกิดขึ้นในใจของเรา ทุกคนก็มาแสวงหาจิต มาแสวงหาธรรม อยู่ที่ไหนก็เป็นธรรมถ้าจิตของเราเป็นธรรม อยู่ที่ไหนก็ดีหมดถ้าจิตของเราดี มองโลกในทางที่ดี คิดดี แล้วก็ชําระสะสางกิเลสออกจากใจของเรา
การแสวงหาธรรมก็แสวงหาอยู่ที่กายของเรานี่แหละ ไม่ได้แสวงหาอยู่ที่ไหนหรอก ยกกายของเราขึ้นมาวิเคราะห์พิจารณา จิตของเรามีกิเลส เราก็รู้จักชําระสะสางกิเลสมาก กิเลสน้อย ไม่ใช่ว่าไปปฏิบัติธรรมที่โน่น ปฏิบัติธรรมที่นี่ถึงจะรู้ธรรม อันนั้นเป็นไปเพียงแค่หาประสบการณ์เท่านั้นเอง เราต้องปฏิบัติธรรม ทำกายของเราให้เป็นวัด ทำจิตของเราให้เป็นพระ เจริญสติเข้าไปเยี่ยมพระอยู่ตลอดตั้งแต่ตื่นขึ้นมาจนกระทั่งนอนหลับ อะไรควรละ อะไรควรเจริญ เราต้องแก้ไขตัวเราเอง ชีวิตในโลกมนุษย์นี้มีไม่มากนะ มีไม่มาก เราก็ต้องพยายามหมั่นสร้างกุศล หมั่นสร้างคุณงามความดีเท่าที่โอกาสอํานวยให้ กาลเวลาอํานวยให้ ละความทิฏฐิ ละความเห็นผิดออกไปเสีย ความเห็นผิดส่วนลึกๆ ก็คือหลงขันธ์ห้า หลงความคิด โมหะ ไม่รอบรู้ในกองสังขารของตัวเราเอง
แต่การสร้างบารมีส่วนอื่นนั้นทุกคนมีกันมากันเยอะ มีความเสียสละ มีความอดทน เชื่อมั่นในพระรัตนตรัย เชื่อบุญ เชื่อบาป เชื่อกรรม เชื่อความตรัสรู้ของพระพุทธองค์ แล้วก็ฝักใฝ่ในการทำบุญ ฝักใฝ่ในการให้ทาน แสวงหา ยิ่งชาวกรุงเทพฯมีเวลาเล็กๆ น้อยๆ ก็น้อมกายออกแสวงหา หากายวิเวก หาจิตวิเวก แสวงหาธรรม
เห็นว่าทางกรุงเทพฯ เดินรถมานี้ รถติดกันจัง สระบุรียันถึงเกือบจะขอนแก่นเลย 10 ชั่วโมง ค่อยคืบๆ คลานๆ มา ถ้าคนรู้จักเอาเวลาตรงนั้นมาสร้างตบะบาร มีความอดทนอดกลั้นก็จะได้ดีมากทีเดียว เดี๋ยวนี้รถก็ยังไม่จางคลายเลย ที่ยังมาไม่ถึงก็มี นี่แหล่ะการแสวงหา การเดินทาง อยู่ใกล้อยู่ไกลถึงจะยากลําบากก็อดทนมา พวกเรามีโอกาสได้มาถึงที่แล้วก็วางกายให้สบาย วางใจให้สบาย มาถึงบ้านของเรา อย่าไปกังวลอะไร ที่นี่ก็เปรียบเสมือนบ้านของเรา ทำบ้านให้เป็นวัด ทำวัดให้เป็นบ้าน ทุกคนก็มีข้อวัตร ทุกคนก็มีข้อปฏิบัติอยู่ในตัวหมด ไม่จำเป็นต้องให้คนอื่นเขาบังคับ ไม่จำเป็นต้องให้คนอื่นชักนํา ชี้แนะแนวทาง การศึกษา การค้นคว้ารู้สึกว่าทุกคนจะมีมากันเต็มเปี่ยม แต่การลงมือสังเกต วิเคราะห์รู้ตัว รู้จิตอยู่ปัจจุบันตรงนี้ต้องทำให้ต่อเนื่องกัน
พระเราก็เหมือนกันให้ขยันหมั่นเพียร อยู่ด้วยกันมากๆ อยู่ด้วยกันเยอะๆ ก็ค่อยพูดค่อยจา ไปในทางเส้นเดียวกัน ทุกคนก็แสวงหาทางดับทุกข์หลุดพ้นเหมือนกันหมด ไม่ใช่ว่าบวชเข้ามาทะเลาะเบาะแว้งกัน ถกเถียงกันอันนี้ไม่ดี ถ้ามีอยู่ในจิตใจของท่านผู้ใดก็พยายามละเสีย ให้มองโลกในทางที่ดี คิดดี อยู่ร่วมกันก็มีแต่ความสุข ไปที่ไหนก็มีความสุข อยู่คนเดียวก็มีความสุข อยู่หลายคนก็มีความสุข
ตั้งใจรับพรกัน
ขอให้ญาติโยมทุกคนทุกท่าน จงเจริญสติสร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจของตัวเราเองให้ต่อเนื่องกันสักพักหนึ่งนะ นั่งตามอิริยาบถให้สบาย วางกายให้สบาย จะลุกจะเดินจะเหินไปไหนก็อย่าเพิ่งไปเถอะ นั่งทำใจของเราให้สงบ ไม่ต้องพนมมือ นั่งตามสบาย ลองสร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกของเราให้ชัดเจน ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ ให้ทั่วท้อง อย่าไปบังคับลมหายใจนะ
การสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ ความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเราเวลาลมวิ่งเข้ากระทบปลายจมูกเรา มีความรู้สึกรับรู้อยู่ นั่นแหละเขาเรียกว่า ‘สติรู้ตัว’ เมื่อลมหายใจออกมีความรู้สึกรับรู้อยู่ เขาเรียกว่า’ สติรู้ตัว’ เวลาลมเข้าลมออกเขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ ความรู้สึกตัวของเราพลั้งเผลอเราก็เริ่มใหม่ ถ้าจิตของเราจะส่งออกไปข้างนอก จิตปรุงแต่งเรื่องต่างๆ เราก็พยายามกระตุ้นความรู้สึกของการหายใจยาวๆ จิตก็จะสงบลงไป จิตคิดไปอีก เรากระตุ้นลมหายใจยาวๆ
เพียงแค่เรื่องของการหายใจเข้าออก พวกเราก็พยายามทำให้ชํานาญเถอะ การหายใจเข้าหายใจออกหายใจอย่างไรถึงจะเป็นธรรมชาติที่สุด บางทีบางคนบางท่านพอจะสร้างความระลึกรู้การหายใจเข้าออก สมองก็ตึง จิต หน้าอกก็แน่น การที่เราเอาสติไปเพ่ง สมองส่วนบนก็จะตึงทันที การที่เราเอาตัวจิตไปกำหนดอยู่ที่ปลายจมูกของเรา หน้าอกก็จะแน่นทันที เราพยายามวางกายให้เป็นธรรมชาติ ทำสมองให้โล่ง จิตให้โปร่ง มีความรู้สึกรับรู้ที่ปลายจมูกของเราให้ชัดเจน ความรู้สึกไม่ชัดเจน เราก็สูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ
เพียงแค่เรื่องของการหายใจนี่แหละ พวกเราก็ขาดการวิเคราะห์ ขาดการสังเกต จะไปเอาแต่ส่วนอื่น อยากจะได้แต่ธรรม อยากจะรู้ อยากจะเห็น มันไม่เห็นหรอก เราต้องสร้างความรู้ตัวให้รู้เท่าทันจิต รู้ลักษณะการเกิดของจิต รู้ลักษณะการเกิดของขันธ์ห้า เรารู้ไม่ทันต้นเหตุ เราก็รู้จักดับเอาไว้ด้วยการสูดลมหายใจ ใหม่ๆ ก็ชักคะเย่อกันไปกันมา เพราะว่าจิตชอบคิดชอบเที่ยว ชอบปรุงชองแต่ง บางทีก็ความคิด หรือว่าอาการของขันธ์ห้าเข้ามาปรุงแต่งจิต ซึ่งความคิดเกิดจากจิต เกิดจากขันธ์ห้าเขามีอยู่มาตั้งนาน มากับพวกเรานะ
เรามาสร้างสติตัวใหม่ รู้ตัวตัวใหม่ เข้าไปสังเกต เข้าไปวิเคราะห์ จนกว่าจิตของเราจะคลายออกจากขันธ์ห้า ซึ่งเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ ซึ่งเรียกว่า ‘สัมมาทิฏฐิ’ ความรู้แจ้งเห็นจริง คลายโมหะตรงนั้นให้ได้เสียก่อน ถ้าคลายได้แล้ว กําลังสติก็จะตามเห็นการเกิดการดับของขันธ์ห้า ตามเห็นการเกิดการดับของอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาในขันธ์ห้า
เรื่องอะไร ถ้าเรื่องอดีตก็เป็นอาการของสัญญา เขาเรียกว่า ‘กองสัญญา’ กองสัญญา กองสังขาร กองวิญญาณ นั่นแหละที่พระพุทธองค์ท่านเรียกว่าเป็นกอง กองของใครกองของมัน แต่เขาก็รวมอยู่ในกายของเราอยู่ แต่เรามองเห็นในภาพรวมหมด เหมือนกับเรามองเชือกเห็นเป็นเส้นเดียว ในเชือกเส้นเดียวนั้นมีหลายเกลียว มี 4-5 เกลียว ถ้าเราวิเคราะห์พิจารณาเราก็จะมองเห็นเกลียวใครเกลียวของมัน กายของเราก็เหมือนกันก็มีอยู่ 5 เกลียวเหมือนกันเกลียวแรกก็กองรูป เกลียวที่สองก็กองนามธรรม
นามธรรมก็ยังแยกแยะออกไปอีกว่าเป็นอดีตเป็นอนาคต เป็นกุศลเป็นอกุศล แล้วก็กองวิญญาณ ถ้าเราแยกแยะได้ เราถึงจะมองเห็นทางที่จะดําเนิน ที่จะทำหน้าที่ของเราให้สะอาดให้บริสุทธิ์ แต่ส่วนมากจะมีแต่หากิเลสเข้ามาทับถมตรงนี้เอาไว้มากขึ้นๆ มันก็เลยปิดกั้นตัวเองเอาไว้ ปิดกั้นตัวเองเอาไว้มากขึ้นๆ ก็คลายได้ยาก เราต้องพยายามสร้างตบะ สร้างบารมีให้มีให้เกิดขึ้น
ความเสียสละ การชําระสะสางกิเลสของเรามีเต็มที่หรือไม่ ความอดทนอดกลั้น สัจจะ วิริยะ ความเพียรต่างๆ ต้องสร้างให้มีให้เกิดขึ้นในกาย ในใจของเรา มีพรหมวิหาร มีความเมตตาอยู่ตลอดเวลา ส่วนมากก็มีแต่หากิเลสมาทับถมดวงจิตของตัวเองเอาไว้ อยากจะได้ธรรมก็หาด้วยความทะเยอทะยานอยาก ก็มาทับถมจิตของเราเอาไว้ ก็มากขึ้นๆ
ท่านให้ละความอยาก ละความหวัง คลายกิเลสออกให้มันหมดจากใจพวกเรา แม้แต่ความอยากแม้แต่นิดๆ หน่อยๆ เราก็ต้องพยายามดับ แม้แต่การเกิดของจิต เราก็ต้องพยายามสร้างสติเข้าไปดับ เข้าไปวิเคราะห์ เข้าไปคลายความหลงให้ได้เสียก่อน อันนี้หลวงพ่อพูดระดับจิตไม่เกิดเลยนะ เราต้องพยายามเอา ไม่เกิดได้นาทีสองนาทีก็ยังดี
ทุกคนก็เดินถึงจุดหมายปลายทางกันได้หมดนั่นแหละ จะเดินถึงช้า หรือเดินถึงเร็ว ถ้าความขยันหมั่นเพียรสร้างบารมีนี่ก็จะเดินถึงได้เร็ว อาจจะเดินถึงในภพนี้แหละ ไม่จําเป็นต้องไปภพหน้า ภพมนุษย์ของเรานี้แหละ อย่าปล่อยโอกาสทิ้ง อย่าปล่อยวันเวลาทิ้ง พยายามสร้างบุญ สร้างบารมีให้มีให้เกิดขึ้นให้ได้ตลอดเวลา
ต่อไปข้างหน้าสถานที่แห่งนี้ วัดแห่งนี้ก็จะเป็นแหล่งบุญใหญ่ของทุกคน เป็นแหล่งบุญใหญ่ของจังหวัด เป็นแหล่งบุญใหญ่ของประเทศ ทำไมถึงพูดอย่างนั้น เพราะว่าหลวงพ่อได้อัญเชิญสิ่งที่เป็นสิริมงคลมาประดิษฐานไว้ ณ สถานที่ตรงนี้ ไว้ทุกสิ่งทุกอย่างจนเต็มเปี่ยม แม้แต่องค์หลวงปู่ใหญ่ท่านก็ศักดิ์สิทธิ์มากทีเดียว ญาติโยมมาขอความเป็นสิริมงคลก็สมหวังกันเยอะ องค์หลวงปู่ใหญ่พระพุทธรูปหยกใหญ่หลายองค์ แม้แต่พระองค์พระบรมสารีริกธาตุซึ่งส่วนที่ท่านเสด็จมา ก็ได้ไปอัญเชิญมา
ถ้าไม่มีอานิสงส์ ไม่มีบุญบารมีของทุกคนมาหล่อหลอมรวมกันก็ยากที่จะเกิดอานิสงส์ใหญ่ ต่อไปข้างหน้าก็จะเกิดอานิสงส์ใหญ่ ให้ทุกคนได้มากราบมาไหว้ ขอให้เชิญเถอะ มาฝึกหัดมาปฏิบัติเพื่อความเป็นสิริมงคลของทุกคน อย่าไปปล่อยวันเวลาทิ้งเสียดายเวลา มีโอกาสก็รีบมา น้อมกายเข้ามา ถึงกายมาไม่ได้ก็น้อมใจเข้ามาอนุโมทนาสาธุด้วย ก็จะเป็นบุญของทุกคน ก็ต้องพยายามกันนะ
เอาล่ะวันนี้ก็ขอให้เจริญธรรมเพียงเท่านี้ ขอให้ญาติโยมทุกคนทุกท่านจงพบประสบแต่ความสุขความเจริญในชีวิตนะ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน
แต่ละวันๆ ญาติโยมก็เริ่มเข้ามาเยอะ เข้ามากราบไหว้องค์หลวงปู่ใหญ่ เข้ามากราบไหว้พระบรมสารีริกธาตุ แล้วก็พระสงฆ์ก็เริ่มเยอะ พระคุณเจ้าก็เริ่มเยอะ ทั้งมาจากทางใกล้ทางไกล ทั้งที่จะบวชใหม่ ที่พักที่อาศัยของเราก็อาจจะไม่เพียงพอ ก็อยู่ตามร่มไม้ อยู่ตามวิหารศาลาโล่งๆ โปร่งๆ เอากลดเอาเต็นท์ไปกางอยู่ด้วยกันหลายองค์หลายท่าน ก็ให้มีความสมัครสมานสามัคคีกัน ให้มีความรักความกลมเกลียวกัน ค่อยพูดค่อยจา
เราบวชออกมาเพื่อที่จะฝึกลดละมานะ ละทิฏฐิ ละความเห็น ไปในทางเส้นเดียวกัน ไม่จําเป็นต้องมาพูด มาถกมาเถียงกันให้ลําบาก อะไรที่จะขัดเกลาตัวเอง ละทิฏฐิ ละมานะ ละกิเลส ละอัตตา เรามาฝึกทำความเข้าใจฝึกดู ฝึกรู้ ไม่ให้ฝึกยึดฝึกติด ฝึกปล่อยฝึกวาง รู้จักรับผิดชอบต่อหน้าที่ ต่างคนก็ต่างช่วยกัน จากหนักก็เป็นเบา จากเบาก็แทบจะไม่มีเหลือ ทั้งทางด้านสมมติเราก็ช่วยกัน รู้จักเคารพกันตามหน้าที่ อย่าไปแก่งแย่งกันว่ากูดีมึงดี คนนั้นดี คนนั้นไม่ดี ก็ดีกันหมดทุกคน ทุกคนก็มีดีกันหมด จะมีดีมากดีน้อยก็ขึ้นอยู่ความเพียรของเรา จนกว่าจิตของเราจะหลุดพ้นจากความยึดติดในสิ่งต่างๆ นั่นแหละ อย่าไปปล่อยโอกาสทิ้ง เรามีโอกาสจะมาสร้างประโยชน์ สร้างคุณงามความดี
ญาติโยมจากทั้งใกล้ ทั้งไกล ก็ได้มาพักอยู่ที่วัดของเราก็หลายท่าน ทางกรุงเทพฯก็มาหลายท่าน ก็ให้เปรียบได้ว่ามาอยู่บ้านของเรา ทุกคนก็มีข้อวัตรปฏิบัติในตัวเองหมด ทุกคนก็ต่างแสวงหาบุญ สร้างบุญให้มีให้เกิดขึ้นในใจของเรา ทุกคนก็มาแสวงหาจิต มาแสวงหาธรรม อยู่ที่ไหนก็เป็นธรรมถ้าจิตของเราเป็นธรรม อยู่ที่ไหนก็ดีหมดถ้าจิตของเราดี มองโลกในทางที่ดี คิดดี แล้วก็ชําระสะสางกิเลสออกจากใจของเรา
การแสวงหาธรรมก็แสวงหาอยู่ที่กายของเรานี่แหละ ไม่ได้แสวงหาอยู่ที่ไหนหรอก ยกกายของเราขึ้นมาวิเคราะห์พิจารณา จิตของเรามีกิเลส เราก็รู้จักชําระสะสางกิเลสมาก กิเลสน้อย ไม่ใช่ว่าไปปฏิบัติธรรมที่โน่น ปฏิบัติธรรมที่นี่ถึงจะรู้ธรรม อันนั้นเป็นไปเพียงแค่หาประสบการณ์เท่านั้นเอง เราต้องปฏิบัติธรรม ทำกายของเราให้เป็นวัด ทำจิตของเราให้เป็นพระ เจริญสติเข้าไปเยี่ยมพระอยู่ตลอดตั้งแต่ตื่นขึ้นมาจนกระทั่งนอนหลับ อะไรควรละ อะไรควรเจริญ เราต้องแก้ไขตัวเราเอง ชีวิตในโลกมนุษย์นี้มีไม่มากนะ มีไม่มาก เราก็ต้องพยายามหมั่นสร้างกุศล หมั่นสร้างคุณงามความดีเท่าที่โอกาสอํานวยให้ กาลเวลาอํานวยให้ ละความทิฏฐิ ละความเห็นผิดออกไปเสีย ความเห็นผิดส่วนลึกๆ ก็คือหลงขันธ์ห้า หลงความคิด โมหะ ไม่รอบรู้ในกองสังขารของตัวเราเอง
แต่การสร้างบารมีส่วนอื่นนั้นทุกคนมีกันมากันเยอะ มีความเสียสละ มีความอดทน เชื่อมั่นในพระรัตนตรัย เชื่อบุญ เชื่อบาป เชื่อกรรม เชื่อความตรัสรู้ของพระพุทธองค์ แล้วก็ฝักใฝ่ในการทำบุญ ฝักใฝ่ในการให้ทาน แสวงหา ยิ่งชาวกรุงเทพฯมีเวลาเล็กๆ น้อยๆ ก็น้อมกายออกแสวงหา หากายวิเวก หาจิตวิเวก แสวงหาธรรม
เห็นว่าทางกรุงเทพฯ เดินรถมานี้ รถติดกันจัง สระบุรียันถึงเกือบจะขอนแก่นเลย 10 ชั่วโมง ค่อยคืบๆ คลานๆ มา ถ้าคนรู้จักเอาเวลาตรงนั้นมาสร้างตบะบาร มีความอดทนอดกลั้นก็จะได้ดีมากทีเดียว เดี๋ยวนี้รถก็ยังไม่จางคลายเลย ที่ยังมาไม่ถึงก็มี นี่แหล่ะการแสวงหา การเดินทาง อยู่ใกล้อยู่ไกลถึงจะยากลําบากก็อดทนมา พวกเรามีโอกาสได้มาถึงที่แล้วก็วางกายให้สบาย วางใจให้สบาย มาถึงบ้านของเรา อย่าไปกังวลอะไร ที่นี่ก็เปรียบเสมือนบ้านของเรา ทำบ้านให้เป็นวัด ทำวัดให้เป็นบ้าน ทุกคนก็มีข้อวัตร ทุกคนก็มีข้อปฏิบัติอยู่ในตัวหมด ไม่จำเป็นต้องให้คนอื่นเขาบังคับ ไม่จำเป็นต้องให้คนอื่นชักนํา ชี้แนะแนวทาง การศึกษา การค้นคว้ารู้สึกว่าทุกคนจะมีมากันเต็มเปี่ยม แต่การลงมือสังเกต วิเคราะห์รู้ตัว รู้จิตอยู่ปัจจุบันตรงนี้ต้องทำให้ต่อเนื่องกัน
พระเราก็เหมือนกันให้ขยันหมั่นเพียร อยู่ด้วยกันมากๆ อยู่ด้วยกันเยอะๆ ก็ค่อยพูดค่อยจา ไปในทางเส้นเดียวกัน ทุกคนก็แสวงหาทางดับทุกข์หลุดพ้นเหมือนกันหมด ไม่ใช่ว่าบวชเข้ามาทะเลาะเบาะแว้งกัน ถกเถียงกันอันนี้ไม่ดี ถ้ามีอยู่ในจิตใจของท่านผู้ใดก็พยายามละเสีย ให้มองโลกในทางที่ดี คิดดี อยู่ร่วมกันก็มีแต่ความสุข ไปที่ไหนก็มีความสุข อยู่คนเดียวก็มีความสุข อยู่หลายคนก็มีความสุข
ตั้งใจรับพรกัน
ขอให้ญาติโยมทุกคนทุกท่าน จงเจริญสติสร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจของตัวเราเองให้ต่อเนื่องกันสักพักหนึ่งนะ นั่งตามอิริยาบถให้สบาย วางกายให้สบาย จะลุกจะเดินจะเหินไปไหนก็อย่าเพิ่งไปเถอะ นั่งทำใจของเราให้สงบ ไม่ต้องพนมมือ นั่งตามสบาย ลองสร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกของเราให้ชัดเจน ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ ให้ทั่วท้อง อย่าไปบังคับลมหายใจนะ
การสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ ความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเราเวลาลมวิ่งเข้ากระทบปลายจมูกเรา มีความรู้สึกรับรู้อยู่ นั่นแหละเขาเรียกว่า ‘สติรู้ตัว’ เมื่อลมหายใจออกมีความรู้สึกรับรู้อยู่ เขาเรียกว่า’ สติรู้ตัว’ เวลาลมเข้าลมออกเขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ ความรู้สึกตัวของเราพลั้งเผลอเราก็เริ่มใหม่ ถ้าจิตของเราจะส่งออกไปข้างนอก จิตปรุงแต่งเรื่องต่างๆ เราก็พยายามกระตุ้นความรู้สึกของการหายใจยาวๆ จิตก็จะสงบลงไป จิตคิดไปอีก เรากระตุ้นลมหายใจยาวๆ
เพียงแค่เรื่องของการหายใจเข้าออก พวกเราก็พยายามทำให้ชํานาญเถอะ การหายใจเข้าหายใจออกหายใจอย่างไรถึงจะเป็นธรรมชาติที่สุด บางทีบางคนบางท่านพอจะสร้างความระลึกรู้การหายใจเข้าออก สมองก็ตึง จิต หน้าอกก็แน่น การที่เราเอาสติไปเพ่ง สมองส่วนบนก็จะตึงทันที การที่เราเอาตัวจิตไปกำหนดอยู่ที่ปลายจมูกของเรา หน้าอกก็จะแน่นทันที เราพยายามวางกายให้เป็นธรรมชาติ ทำสมองให้โล่ง จิตให้โปร่ง มีความรู้สึกรับรู้ที่ปลายจมูกของเราให้ชัดเจน ความรู้สึกไม่ชัดเจน เราก็สูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ
เพียงแค่เรื่องของการหายใจนี่แหละ พวกเราก็ขาดการวิเคราะห์ ขาดการสังเกต จะไปเอาแต่ส่วนอื่น อยากจะได้แต่ธรรม อยากจะรู้ อยากจะเห็น มันไม่เห็นหรอก เราต้องสร้างความรู้ตัวให้รู้เท่าทันจิต รู้ลักษณะการเกิดของจิต รู้ลักษณะการเกิดของขันธ์ห้า เรารู้ไม่ทันต้นเหตุ เราก็รู้จักดับเอาไว้ด้วยการสูดลมหายใจ ใหม่ๆ ก็ชักคะเย่อกันไปกันมา เพราะว่าจิตชอบคิดชอบเที่ยว ชอบปรุงชองแต่ง บางทีก็ความคิด หรือว่าอาการของขันธ์ห้าเข้ามาปรุงแต่งจิต ซึ่งความคิดเกิดจากจิต เกิดจากขันธ์ห้าเขามีอยู่มาตั้งนาน มากับพวกเรานะ
เรามาสร้างสติตัวใหม่ รู้ตัวตัวใหม่ เข้าไปสังเกต เข้าไปวิเคราะห์ จนกว่าจิตของเราจะคลายออกจากขันธ์ห้า ซึ่งเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ ซึ่งเรียกว่า ‘สัมมาทิฏฐิ’ ความรู้แจ้งเห็นจริง คลายโมหะตรงนั้นให้ได้เสียก่อน ถ้าคลายได้แล้ว กําลังสติก็จะตามเห็นการเกิดการดับของขันธ์ห้า ตามเห็นการเกิดการดับของอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาในขันธ์ห้า
เรื่องอะไร ถ้าเรื่องอดีตก็เป็นอาการของสัญญา เขาเรียกว่า ‘กองสัญญา’ กองสัญญา กองสังขาร กองวิญญาณ นั่นแหละที่พระพุทธองค์ท่านเรียกว่าเป็นกอง กองของใครกองของมัน แต่เขาก็รวมอยู่ในกายของเราอยู่ แต่เรามองเห็นในภาพรวมหมด เหมือนกับเรามองเชือกเห็นเป็นเส้นเดียว ในเชือกเส้นเดียวนั้นมีหลายเกลียว มี 4-5 เกลียว ถ้าเราวิเคราะห์พิจารณาเราก็จะมองเห็นเกลียวใครเกลียวของมัน กายของเราก็เหมือนกันก็มีอยู่ 5 เกลียวเหมือนกันเกลียวแรกก็กองรูป เกลียวที่สองก็กองนามธรรม
นามธรรมก็ยังแยกแยะออกไปอีกว่าเป็นอดีตเป็นอนาคต เป็นกุศลเป็นอกุศล แล้วก็กองวิญญาณ ถ้าเราแยกแยะได้ เราถึงจะมองเห็นทางที่จะดําเนิน ที่จะทำหน้าที่ของเราให้สะอาดให้บริสุทธิ์ แต่ส่วนมากจะมีแต่หากิเลสเข้ามาทับถมตรงนี้เอาไว้มากขึ้นๆ มันก็เลยปิดกั้นตัวเองเอาไว้ ปิดกั้นตัวเองเอาไว้มากขึ้นๆ ก็คลายได้ยาก เราต้องพยายามสร้างตบะ สร้างบารมีให้มีให้เกิดขึ้น
ความเสียสละ การชําระสะสางกิเลสของเรามีเต็มที่หรือไม่ ความอดทนอดกลั้น สัจจะ วิริยะ ความเพียรต่างๆ ต้องสร้างให้มีให้เกิดขึ้นในกาย ในใจของเรา มีพรหมวิหาร มีความเมตตาอยู่ตลอดเวลา ส่วนมากก็มีแต่หากิเลสมาทับถมดวงจิตของตัวเองเอาไว้ อยากจะได้ธรรมก็หาด้วยความทะเยอทะยานอยาก ก็มาทับถมจิตของเราเอาไว้ ก็มากขึ้นๆ
ท่านให้ละความอยาก ละความหวัง คลายกิเลสออกให้มันหมดจากใจพวกเรา แม้แต่ความอยากแม้แต่นิดๆ หน่อยๆ เราก็ต้องพยายามดับ แม้แต่การเกิดของจิต เราก็ต้องพยายามสร้างสติเข้าไปดับ เข้าไปวิเคราะห์ เข้าไปคลายความหลงให้ได้เสียก่อน อันนี้หลวงพ่อพูดระดับจิตไม่เกิดเลยนะ เราต้องพยายามเอา ไม่เกิดได้นาทีสองนาทีก็ยังดี
ทุกคนก็เดินถึงจุดหมายปลายทางกันได้หมดนั่นแหละ จะเดินถึงช้า หรือเดินถึงเร็ว ถ้าความขยันหมั่นเพียรสร้างบารมีนี่ก็จะเดินถึงได้เร็ว อาจจะเดินถึงในภพนี้แหละ ไม่จําเป็นต้องไปภพหน้า ภพมนุษย์ของเรานี้แหละ อย่าปล่อยโอกาสทิ้ง อย่าปล่อยวันเวลาทิ้ง พยายามสร้างบุญ สร้างบารมีให้มีให้เกิดขึ้นให้ได้ตลอดเวลา
ต่อไปข้างหน้าสถานที่แห่งนี้ วัดแห่งนี้ก็จะเป็นแหล่งบุญใหญ่ของทุกคน เป็นแหล่งบุญใหญ่ของจังหวัด เป็นแหล่งบุญใหญ่ของประเทศ ทำไมถึงพูดอย่างนั้น เพราะว่าหลวงพ่อได้อัญเชิญสิ่งที่เป็นสิริมงคลมาประดิษฐานไว้ ณ สถานที่ตรงนี้ ไว้ทุกสิ่งทุกอย่างจนเต็มเปี่ยม แม้แต่องค์หลวงปู่ใหญ่ท่านก็ศักดิ์สิทธิ์มากทีเดียว ญาติโยมมาขอความเป็นสิริมงคลก็สมหวังกันเยอะ องค์หลวงปู่ใหญ่พระพุทธรูปหยกใหญ่หลายองค์ แม้แต่พระองค์พระบรมสารีริกธาตุซึ่งส่วนที่ท่านเสด็จมา ก็ได้ไปอัญเชิญมา
ถ้าไม่มีอานิสงส์ ไม่มีบุญบารมีของทุกคนมาหล่อหลอมรวมกันก็ยากที่จะเกิดอานิสงส์ใหญ่ ต่อไปข้างหน้าก็จะเกิดอานิสงส์ใหญ่ ให้ทุกคนได้มากราบมาไหว้ ขอให้เชิญเถอะ มาฝึกหัดมาปฏิบัติเพื่อความเป็นสิริมงคลของทุกคน อย่าไปปล่อยวันเวลาทิ้งเสียดายเวลา มีโอกาสก็รีบมา น้อมกายเข้ามา ถึงกายมาไม่ได้ก็น้อมใจเข้ามาอนุโมทนาสาธุด้วย ก็จะเป็นบุญของทุกคน ก็ต้องพยายามกันนะ
เอาล่ะวันนี้ก็ขอให้เจริญธรรมเพียงเท่านี้ ขอให้ญาติโยมทุกคนทุกท่านจงพบประสบแต่ความสุขความเจริญในชีวิตนะ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน