หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554 ลำดับที่ 079

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554 ลำดับที่ 079
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
พระธรรมเทศนาโดย (Dhamma Talk by)
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554 ลำดับที่ 079
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
ขอให้ญาติโยมทุกคนทุกท่าน จงเจริญสติสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน​ นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย หยุดความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ เอาไว้ชั่วครั้งชั่วคราว ถึงเราหยุดไม่ได้เด็ดขาด เราก็หยุดเอาไว้ชั่วครั้งชั่วคราว ด้วยการสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจ​ ในหลักธรรมท่านเรียกว่า ‘อานาปานสติ’ มีสติความรู้สึกตัวทั่วพร้อม แล้วก็รู้ให้ต่อเนื่อง ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียก

ทำความเข้าใจกับอุบาย กับวิธีการ ถ้าเราเข้าใจแล้ว เราพยายามสร้างความรู้ตัวตั้งแต่ตื่นขึ้นมาตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ พอรู้ตัวปุ๊บเราก็มีความรู้สึกรับรู้ว่าลมวิ่งเข้าวิ่งออกให้เป็นธรรมชาติที่สุด เพียงแค่เรื่องการหายใจเข้าออก พวกเราก็ขาดการสนใจ แทนที่จะไปรู้ในส่วนลึกๆ รู้ลักษณะของจิต รู้ลักษณะของการเกิดการดับของจิต ของความคิด ของอารมณ์ซึ่งเป็นนามธรรม ถ้าเรามีความรู้ตัวทั่วพร้อม ตรงนั้นจะรู้ตามมาเอง ไม่ใช่ว่าไปนึกเอาไปคิดเอาไว้ว่าจะเป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนี้

ที่พากันไปฝึกฝนกันเป็นแค่เพียงรูปแบบ แค่เพียงพิธีรีตองเท่านั้น เราต้องพยายามเพิ่มความเพียรตั้งแต่ตื่นขึ้นมาทุกอิริยาบถ ตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ พอรู้ตัวปุ๊บ ตื่นขึ้นมาปุ๊บ ความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกปุ๊บ รู้ความปกติของใจปุ๊บ จะลุกจะก้าวจะเดิน ใจก็ปกติรับรู้อยู่ปัจจุบัน ความรู้ตัวก็รู้ตัวอยู่ปัจจุบัน จะก้าวจะเดิน จะเข้าห้องส้วมห้องน้ำ ใจปกติ จะทำโน่นทำนี่ สติปัญญาของเรารู้เท่าทัน ใจเกิดกิเลส เราก็รู้จักดับ ใจเกิดความทะเยอทะยานอยาก เกิดความยินดียินร้าย ใจปรุงแต่ง เราก็รู้จักระงับยับยั้ง รู้จักดับ เขาเรียกว่า ‘สมถภาวนา’

ความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งใจ ใจเคลื่อนเข้าไปรวม สติรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน เขาก็จะเห็น ถ้าเห็นเมื่อไรใจของเราก็จะคลายออกนั่นแหละ เขาเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ ได้แค่เริ่มต้นของวิปัสสนา ใจก็จะว่างกายก็จะเบา ทีนี้การตามดูการเกิดการดับ เขาเรียกว่าเห็น ‘อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา’ ในขันธ์ห้า เห็นความเกิดความดับของความคิด ของอารมณ์ เป็นเรื่องอะไรที่มันเกิด เป็นกุศลหรือว่าอกุศล เป็นอดีตหรือว่าอนาคต นั่นแหละเขาเรียกว่า ‘รอบรู้ในกองสังขาร’ ในขันธ์ห้าของตัวเราเอง ท่านถึงบอกว่าขันธ์ห้าเป็นของหนัก

ถ้าวิญญาณคลายออก กายก็จะเบา ใจก็จะว่าง หนทางสัมมาทิฐิ ความรู้แจ้งเห็นจริงก็จะเปิดทาง การตามสติความรู้ตัวก็จะตามดู ตามรู้ ตามเห็นทุกเรื่อง ถ้าเราไม่ตามดู เขาก็จะซึมเข้าสู่สภาพเดิม ถ้าแยกไม่ได้ คลายไม่ได้ ก็เพียงแค่ใจของเราก็ยังอยู่ในกองบุญกองกุศล ถ้าแยกได้ขาด การตามความเข้าใจให้ได้ทุกเรื่องอีก ก็ต้องเพิ่มความเพียรให้เป็นทวีคูณ ทุกอย่างต้องทำให้ปรากฏขึ้นที่ใจของเรา มันก็ยากนะ ยาก ถ้าไม่เอาจริงๆ ถ้าไม่สร้างบารมี คนบุคคลใดที่มีแต่ความเสียสละ มีแต่น้อมใจเข้ามาในการคลาย ในการเอาออก ในการทำความเข้าใจ ใจของเราก็จะปล่อยวางได้เร็วได้ไว แต่ก็ไม่เหลือวิสัยก็ต้องพยายาม พยายามเอาทุกเรื่อง ทุกอิริยาบถ ได้มากได้น้อยเราก็ค่อยทำกันไป ไม่ถึงวันนี้ก็ต้องถึงวันพรุ่งนี้ ไม่ถึงพรุ่งนี้เราก็ต้องเดือนหน้า ปีหน้า

เพียงเรื่องการเจริญสติเราก็ต้องพยายามอดทนอดกลั้น พยายามสร้างขึ้นมาแล้วก็รู้จักรักษา ใหม่ๆ ก็อาจจะเป็นการฝืน เป็นการทวนกระแส ถ้าเราเข้าใจแล้วจะมีความสุข มีความสุขในการดู ในการรู้​ ในการละ​ ในการทำความเข้าใจ ได้ทรัพย์ทั้งทรัพย์ภายใน ทรัพย์ภายนอก แล้วก็ยังประโยชน์ ทรัพย์ภายในเราก็ได้เต็มเปี่ยม ไม่ปล่อยวันเวลาทิ้งเสียดายเวลา มองเห็นหนทางเดินทันทีว่าเราอยู่ในระดับไหน จะได้กลับมาเกิด หรือไม่กลับมาเกิดกัน

ใจของเราอยู่ในกองบุญกองกุศล แต่ละวันตื่นขึ้นมานี้ ใจของทุกคนมันคิดอยู่ตลอดเวลา ทำอย่างไรเราถึงจะดับความคิดกับอารมณ์ได้ หนุนกำลังสติปัญญาไปทำหน้าที่แทนได้ เรารู้จักแนวทางแล้วเร่งทำความเพียรทั้งกลางวัน ทั้งกลางคืน ไม่ต้องรอให้คนโน้นคนนี้เขาบังคับ ตื่นขึ้นมาแล้วใจของเราส่งออกไปภายนอกสักกี่เรื่อง เหตุภัยจากข้างนอกมันทำให้ใจของเราเกิดสักกี่ครั้ง สติของเราต่อเนื่องหรือไม่ ไม่ต้องไปเที่ยวถามคนโน้น เที่ยวถามคนนี้

ลักษณะของสติรู้ตัวอยู่ปัจจุบันเป็นลักษณะอย่างนี้นะ การดับ การควบคุมจิต ควบคุมอารมณ์เป็นอย่างนี้นะ กายวิเวกเป็นอย่างนี้ ใจวิเวกเป็นอย่างนี้ แก้ไขตัวเรา ปรับปรุงตัวเราอยู่ตลอดเวลา อยู่ที่ไหนเราก็ฝึกหัดปฏิบัติขัดเกลาตัวเราได้ทั้งนั้น ตราบใดที่เรายังมีลมหายใจอยู่ ทุกอิริยาบถ รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส เหตุการณ์ต่างๆ เป็นอาจารย์ทดสอบเราทั้งนั้นแหละ

ถ้าเรามีสติปัญญาแก้ไขใจของเรา ลักษณะของสติรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน เราอาจจะรู้อยู่ได้เป็นบางช่วงบางครั้งบางคราว อาจจะควบคุมใจได้เป็นบางครั้งบางคราว แต่การควบคุม การละ การทำความเข้าใจ หมั่นพร่ำสอนใจ ให้ใจรู้เห็นตามความเป็นจริงทุกอย่าง จนใจปล่อยวางได้นั่นแหละ ดับความเกิดของใจได้นั่นแหละ เข้าสู่ธรรมชาติที่แท้จริง ธรรมชาติภายใน ธรรมชาติภายนอก มันก็ยากอยู่ถ้าคนไม่มีความเพียร เพียงแค่ระดับของสมมติของโลกธรรม ก็ยังบริหารกันไม่ได้ถูกต้องเท่าไร มีแต่ความวุ่นวาย สร้างแต่ความวุ่นวาย สร้างแต่เหตุ แค่เหตุภายนอกก็ยังไม่รู้จักแก้ไขกัน มันจะไปดับเหตุภายในได้อย่างไร เราก็ต้องพยายาม

หลวงพ่อก็พยายามอุตส่าห์ทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อที่จะให้คนเข้าถึงธรรมได้เร็วได้ไว แม้แต่สถานที่ที่พักที่อาศัย ที่หลับที่นอนทุกสิ่งทุกอย่างก็ทำให้ ธรรมชาติภายนอกก็พยายามทำให้ เพื่อที่จะให้หล่อหลวมดวงใจของทุกคนที่เข้ามาได้อยู่ดีมีความสุข ประพฤติขัดเกลาตัวเองให้เข้าถึงธรรมให้เร็วให้ไว มาแล้วก็มาทะเลาะเบาะแว้งกัน รุ่นแล้วรุ่นเล่า บางทีก็มาอคติมาด่ามาว่าเราก็มี เพ่งโทษเราก็มีทั้งที่ตัวเองก็ได้มาอาศัยอยู่ ก็ต้องพยายามแก้ไขปรับปรุง แก้ไขตัวเรา อนุเคราะห์ให้ทุกเรื่องทุกอย่าง ไม่ให้อดไม่ให้อยาก ไม่ให้ลำบากทั้งปากทั้งท้อง ในภาพรวมทั้งในวัดทั้งนอกวัด ทุกสิ่งทุกอย่างพอที่จะทำพอที่จะอนุเคราะห์ได้ก็อนุเคราะห์

พวกเรามีโอกาสแล้วมาก็มาสร้างประโยชน์ สร้างอานิสงส์ร่วมกันให้เป็นกองบุญอันยิ่งใหญ่ในวันข้างหน้า อีกสักหน่อยก็ต้องได้พลัดพรากจากกัน ขณะที่ยังมีเวลาอยู่ร่วมกันก็พยายามสร้างประโยชน์ สร้างอานิสงส์ สร้างความสมัครสมานสามัคคี ให้ละอายในสิ่งที่ควรละอาย ให้ทำให้กล้าหาญในสิ่งที่ควรกล้าหาญ ก็ต้องพยายามเอา ทุกๆ คนนั่นแหละนะ ก็ใกล้วันงาน ก็ให้ทุกคนพยายามมีความสงบความสุข รู้จักพิจารณาตัวเอง แก้ไขตัวเอง สักวันก็คงจะถึงจุดหมายปลายทางกัน ที่มาแล้วก็ให้มีความสุข ที่ยังไม่มาก็มา อย่าไปปล่อยวันเวลาทิ้ง

เอาล่ะเท่านี้ ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อ ทำความเข้าใจกันนะ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง