หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554 ลำดับที่ 058
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554 ลำดับที่ 058
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
ขอให้ญาติโยมทุกคนทุกท่าน จงเจริญสติสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ต่อเนื่องให้ชัดเจน นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย แล้วก็หยุดความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ เอาไว้ ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่ได้คิด หยุดไม่ได้ เราก็พยายามกระตุ้นความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจให้ชัดเจน ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ อย่าไปบังคับลมหายใจ
เพียงแค่เรื่องการหายใจเข้าออก พวกเรายังรู้ไม่ชำนาญเลย อาจจะรู้ได้เป็นบางครั้งบางช่วง ถ้าเรามาสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่อง ความรู้สึกตัวพลั้งเผลอ เราก็เริ่มขึ้นมาใหม่ นี่แหละให้ขยันหมั่นเพียร แล้วก็รู้จัก เมื่อรู้ตัวได้ต่อเนื่อง เวลาใจจะเกิด เราก็จะรู้เท่าทัน เราก็รู้จักควบคุม ใช้สมถะเข้าไปดับ กำหนดดูว่าสร้างความรู้ตัวอยู่ที่การหายใจเข้าออก ใจก็จะกลับมาอยู่ในกายของเราเอง พยายามฝึกให้เกิดความเคยชินตั้งแต่ตื่นขึ้นมาตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่
ความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ หยุดเอาไว้ คิดความกังวล ความฟุ้งซ่าน ความลังเลสงสัย สารพัดอย่างที่มาปิดกั้นตัวเราเอาไว้ เราพยายามหยุดระงับยับยั้งเอาไว้ เจริญสติให้มากๆ จนกว่าจะรู้ลักษณะการเกิดของจิต รู้ความปกติของจิต รู้ความว่าง รู้อาการของความคิดที่ผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิตของเรา เขาเกิดยังไง เขาไปรวมกันได้อย่างไร ใจกับความคิดเข้าไปรวมกันได้อย่างไร ถ้าเรารู้เท่าทันแล้วใจจะคลายออก เราจะเห็นทั้งใจ ทั้งอาการของใจ ทั้งสติ สามส่วนกันเลยทีเดียว
ทีนี้ละเอียดลึกลงไปอีก เรื่องอะไรที่ผุดขึ้นมาปรุงแต่งใจ เรื่องอดีต เรื่องอนาคต เป็นกุศล หรือว่าอกุศล มันก็จะได้ค่อยไล่เรียบเรียงลงไปเรื่อยๆ ซึ่งอยู่ในกายเนื้อของเรานี่แหละ ซึ่งเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ ในหลักธรรม เขาเรียกว่า ‘สัมมาทิฏฐิ’ ความรู้แจ้งเห็นจริง เห็นการเกิดการดับของจิต เห็นการเกิดการดับของอาการของจิต เห็นความไม่เที่ยง เห็นความเปลี่ยนแปลง ที่พระพุทธองค์ท่านบอกว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป อันนี้ส่วนรูปธรรมนะ อันนี้ส่วนนามธรรมนะ
ตัวใจของทุกคนนั้นปรารถนาที่จะหาทางดับทุกข์ ปรารถนาที่จะหาทางหลุดพ้น ผ่านกาลผ่านเวลา ผ่านการศึกษาเล่าเรียน ผ่านความรับผิดชอบ ผิดถูกชั่วดี แต่ขาดการเจริญสติเข้าไปวิเคราะห์ให้ต่อเนื่องให้ได้ทุกเรื่อง ก็เลยพลาดโอกาส พลาดทรัพย์อันใหญ่ คือความบริสุทธิ์ เราต้องคลาย ต้องหมั่นพร่ำสอนใจของเราแก้ไขใจของเรา ในหลักธรรมท่านให้ละความอยาก ละความหวัง ความอยากนี้ อยากทุกชนิดเลยนะ ไม่ใช่อยากเฉพาะเรื่องอาหาร อยากไปอยากมา ไม่อยากไป ไม่อยากมา ไม่อยากมี ไม่อยากเป็น สารพัดอย่าง เราดับตัดต้นตอ ตั้งแต่ความเกิดของจิตนนั้นน่ะ ดับเลย
แล้วทีนี้จิตของเรา การเกิดนี้ก็หลงมาเกิด เกิดในภพมนุษย์ หลงมาเกิด หลงคิด หลงทำ แล้วก็ไปมั่นหมายเอาทุกสิ่งทุกอย่างว่าเป็นของเราจริงๆ ลึกลงไปอาการของความคิดซึ่งเป็นนามธรรมอีก นี่แหละตัวความหลงอย่างลุ่มลึกเลย มาผุดขึ้นมาแล้วรวมกันกับจิตของเรา ซึ่งเรียกว่า ‘ขันธ์ห้า’ เป็นของหนัก ขันธ์ห้าเป็นของหนัก ถ้าบุคคลใดที่ไม่ได้มีความเพียร มีสติปัญญาที่ต่อเนื่อง ก็ยากที่จะเข้าใจตรงนี้ ถ้าเรามีกำลังสติปัญญาเข้มข้นต่อเนื่องกัน เราก็อาจจะรู้ อาจจะเห็น เพียงแค่รู้เห็น แยกได้ ถ้าขาดกันตามความเข้าใจ ขาดการละ ขาดการเจริญพรหมวิหารอีก ยากที่จะหลุดพ้นได้อีก เราก็ต้องพยายามเคี่ยวเข็ญตัวเราเองก่อน
แต่ละวันตื่นขึ้นมา ใจของเราเกิดความโลภ เราก็พยายามละความโลภ ใจเกิดความโกรธ เราพยายามละความโกรธ ทำในสิ่งตรงกันข้ามกับเขา ใจเกิดความโกรธ เราพยายามดับความโกรธ ให้อภัยทานอโหสิกรรม ใครเกิดความโลภ เราพยายามละความโลภ ด้วยการเอาออก ด้วยการคลาย อย่างพวกเรามากันมานี่แหละ มาละกิเลส การประพฤติวัตร การปฏิบัติ การขัดเกลา การรักษาศีล สมาธิ ปัญญาต่างๆ ก็เพื่อที่จะละกิเลสออกจากใจของเราให้หมดจด กิเลสหยาบกิเลสละเอียดสารพัดอย่าง ขัดเกลาออกให้มันหมด
ถ้าไม่มีความเพียรที่ยิ่งยวดจริงๆ ไม่มีความปรารถนาที่จะหาทางดับทุกข์ได้จริงๆ มันก็ได้แค่รับความสงบ ได้รับความสงบ สร้างอานิสงส์แห่งบุญ สร้างเข้าพกเข้าห่อของเราไป ตราบใดที่ใจยังไม่หลุดพ้นก็พยายามสร้างบารมีให้มีให้เกิดขึ้น ทำบุญให้กับตัวเรา ทำบุญให้กับหมู่ให้กับคณะ ให้กับพี่ให้กับน้อง ตื่นขึ้นมาเราก็จะได้อยู่กับบุญ มองซ้ายมองขวา เราก็จะเห็นบุญของเรา ทำใจของเราให้สงบ ทำกาย ทำวาจาของเราให้สงบ บุญก็จะล้นออกไปสู่ภายนอกได้ เอาบุญจากภายในให้มันจบ ให้มันสำเร็จ
ก็ต้องพยายามกัน ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี ยิ่งมาอยู่ร่วมกันมากๆ ความสมัครสมานสามัคคี ความปรองดองกัน มีอะไรก็ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เราเป็นเพื่อนเกิดแก่เก็บตายด้วยกัน มาอยู่ร่วมกัน มีบุญ สร้างบุญมาถึงได้มาอยู่ร่วมกัน มีอานิสงส์ต่อกัน ไม่ว่าใกล้ว่าไกลก็ได้มา หลวงพ่อก็ขอขอบใจขอบคุณทุกคน มีอะไรก็ให้ช่วยกันทำ บอกตัวเองให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น แก้ไขตัวเราเองอยู่ตลอดเวลา
ยิ่งอยู่ร่วมกันมากๆ ก็ยิ่งสำรวมกาย วาจา ใจของเราไม่ให้อคติ ไม่ให้เพ่งโทษ ไม่ให้เกียจคร้าน สร้างความขยันหมั่นเพียร สร้างความรับผิดชอบ ความเป็นระเบียบเรียบร้อย ความสะอาด ความสวย ความงาม ทั้งภายนอก ทั้งภายใน ไปอยู่ที่ไหนก็จะได้ไม่เก้อไม่เขิน ไปอยู่ที่ไหนก็จะเป็นคนกล้าหาญองอาจ กล้าหาญอยู่ตลอดเวลา เรามาฝึกฝนตัวเราทั้งกาย ทั้งวาจา ฝึกทั้งใจ แก้ไขตัวเราให้มันได้ โดยอาศัยคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ ที่ท่านได้ค้นพบแล้วเอามาเปิดเผย ความเป็นจริงมีอยู่ สัจธรรมมีอยู่ แต่เราจะเดินเข้าถึงตรงนั้นได้หรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับความเพียรของแต่ละบุคคลนะ
ลองสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน วางทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้ให้มันหมด ทำใจให้ว่าง สมองให้โล่ง กายให้โปร่ง อยู่หลายคนก็เหมือนกับอยู่คนเดียว อยู่คนเดียวขณะนี้ก็ให้รู้ว่าลมวิ่งเข้าวิ่งออกให้ชัดเจนนะ
พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปสร้างสานต่อ นี่เพียงแค่เล่าให้ฟัง
เพียงแค่เรื่องการหายใจเข้าออก พวกเรายังรู้ไม่ชำนาญเลย อาจจะรู้ได้เป็นบางครั้งบางช่วง ถ้าเรามาสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่อง ความรู้สึกตัวพลั้งเผลอ เราก็เริ่มขึ้นมาใหม่ นี่แหละให้ขยันหมั่นเพียร แล้วก็รู้จัก เมื่อรู้ตัวได้ต่อเนื่อง เวลาใจจะเกิด เราก็จะรู้เท่าทัน เราก็รู้จักควบคุม ใช้สมถะเข้าไปดับ กำหนดดูว่าสร้างความรู้ตัวอยู่ที่การหายใจเข้าออก ใจก็จะกลับมาอยู่ในกายของเราเอง พยายามฝึกให้เกิดความเคยชินตั้งแต่ตื่นขึ้นมาตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่
ความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ หยุดเอาไว้ คิดความกังวล ความฟุ้งซ่าน ความลังเลสงสัย สารพัดอย่างที่มาปิดกั้นตัวเราเอาไว้ เราพยายามหยุดระงับยับยั้งเอาไว้ เจริญสติให้มากๆ จนกว่าจะรู้ลักษณะการเกิดของจิต รู้ความปกติของจิต รู้ความว่าง รู้อาการของความคิดที่ผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิตของเรา เขาเกิดยังไง เขาไปรวมกันได้อย่างไร ใจกับความคิดเข้าไปรวมกันได้อย่างไร ถ้าเรารู้เท่าทันแล้วใจจะคลายออก เราจะเห็นทั้งใจ ทั้งอาการของใจ ทั้งสติ สามส่วนกันเลยทีเดียว
ทีนี้ละเอียดลึกลงไปอีก เรื่องอะไรที่ผุดขึ้นมาปรุงแต่งใจ เรื่องอดีต เรื่องอนาคต เป็นกุศล หรือว่าอกุศล มันก็จะได้ค่อยไล่เรียบเรียงลงไปเรื่อยๆ ซึ่งอยู่ในกายเนื้อของเรานี่แหละ ซึ่งเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ ในหลักธรรม เขาเรียกว่า ‘สัมมาทิฏฐิ’ ความรู้แจ้งเห็นจริง เห็นการเกิดการดับของจิต เห็นการเกิดการดับของอาการของจิต เห็นความไม่เที่ยง เห็นความเปลี่ยนแปลง ที่พระพุทธองค์ท่านบอกว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป อันนี้ส่วนรูปธรรมนะ อันนี้ส่วนนามธรรมนะ
ตัวใจของทุกคนนั้นปรารถนาที่จะหาทางดับทุกข์ ปรารถนาที่จะหาทางหลุดพ้น ผ่านกาลผ่านเวลา ผ่านการศึกษาเล่าเรียน ผ่านความรับผิดชอบ ผิดถูกชั่วดี แต่ขาดการเจริญสติเข้าไปวิเคราะห์ให้ต่อเนื่องให้ได้ทุกเรื่อง ก็เลยพลาดโอกาส พลาดทรัพย์อันใหญ่ คือความบริสุทธิ์ เราต้องคลาย ต้องหมั่นพร่ำสอนใจของเราแก้ไขใจของเรา ในหลักธรรมท่านให้ละความอยาก ละความหวัง ความอยากนี้ อยากทุกชนิดเลยนะ ไม่ใช่อยากเฉพาะเรื่องอาหาร อยากไปอยากมา ไม่อยากไป ไม่อยากมา ไม่อยากมี ไม่อยากเป็น สารพัดอย่าง เราดับตัดต้นตอ ตั้งแต่ความเกิดของจิตนนั้นน่ะ ดับเลย
แล้วทีนี้จิตของเรา การเกิดนี้ก็หลงมาเกิด เกิดในภพมนุษย์ หลงมาเกิด หลงคิด หลงทำ แล้วก็ไปมั่นหมายเอาทุกสิ่งทุกอย่างว่าเป็นของเราจริงๆ ลึกลงไปอาการของความคิดซึ่งเป็นนามธรรมอีก นี่แหละตัวความหลงอย่างลุ่มลึกเลย มาผุดขึ้นมาแล้วรวมกันกับจิตของเรา ซึ่งเรียกว่า ‘ขันธ์ห้า’ เป็นของหนัก ขันธ์ห้าเป็นของหนัก ถ้าบุคคลใดที่ไม่ได้มีความเพียร มีสติปัญญาที่ต่อเนื่อง ก็ยากที่จะเข้าใจตรงนี้ ถ้าเรามีกำลังสติปัญญาเข้มข้นต่อเนื่องกัน เราก็อาจจะรู้ อาจจะเห็น เพียงแค่รู้เห็น แยกได้ ถ้าขาดกันตามความเข้าใจ ขาดการละ ขาดการเจริญพรหมวิหารอีก ยากที่จะหลุดพ้นได้อีก เราก็ต้องพยายามเคี่ยวเข็ญตัวเราเองก่อน
แต่ละวันตื่นขึ้นมา ใจของเราเกิดความโลภ เราก็พยายามละความโลภ ใจเกิดความโกรธ เราพยายามละความโกรธ ทำในสิ่งตรงกันข้ามกับเขา ใจเกิดความโกรธ เราพยายามดับความโกรธ ให้อภัยทานอโหสิกรรม ใครเกิดความโลภ เราพยายามละความโลภ ด้วยการเอาออก ด้วยการคลาย อย่างพวกเรามากันมานี่แหละ มาละกิเลส การประพฤติวัตร การปฏิบัติ การขัดเกลา การรักษาศีล สมาธิ ปัญญาต่างๆ ก็เพื่อที่จะละกิเลสออกจากใจของเราให้หมดจด กิเลสหยาบกิเลสละเอียดสารพัดอย่าง ขัดเกลาออกให้มันหมด
ถ้าไม่มีความเพียรที่ยิ่งยวดจริงๆ ไม่มีความปรารถนาที่จะหาทางดับทุกข์ได้จริงๆ มันก็ได้แค่รับความสงบ ได้รับความสงบ สร้างอานิสงส์แห่งบุญ สร้างเข้าพกเข้าห่อของเราไป ตราบใดที่ใจยังไม่หลุดพ้นก็พยายามสร้างบารมีให้มีให้เกิดขึ้น ทำบุญให้กับตัวเรา ทำบุญให้กับหมู่ให้กับคณะ ให้กับพี่ให้กับน้อง ตื่นขึ้นมาเราก็จะได้อยู่กับบุญ มองซ้ายมองขวา เราก็จะเห็นบุญของเรา ทำใจของเราให้สงบ ทำกาย ทำวาจาของเราให้สงบ บุญก็จะล้นออกไปสู่ภายนอกได้ เอาบุญจากภายในให้มันจบ ให้มันสำเร็จ
ก็ต้องพยายามกัน ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี ยิ่งมาอยู่ร่วมกันมากๆ ความสมัครสมานสามัคคี ความปรองดองกัน มีอะไรก็ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เราเป็นเพื่อนเกิดแก่เก็บตายด้วยกัน มาอยู่ร่วมกัน มีบุญ สร้างบุญมาถึงได้มาอยู่ร่วมกัน มีอานิสงส์ต่อกัน ไม่ว่าใกล้ว่าไกลก็ได้มา หลวงพ่อก็ขอขอบใจขอบคุณทุกคน มีอะไรก็ให้ช่วยกันทำ บอกตัวเองให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น แก้ไขตัวเราเองอยู่ตลอดเวลา
ยิ่งอยู่ร่วมกันมากๆ ก็ยิ่งสำรวมกาย วาจา ใจของเราไม่ให้อคติ ไม่ให้เพ่งโทษ ไม่ให้เกียจคร้าน สร้างความขยันหมั่นเพียร สร้างความรับผิดชอบ ความเป็นระเบียบเรียบร้อย ความสะอาด ความสวย ความงาม ทั้งภายนอก ทั้งภายใน ไปอยู่ที่ไหนก็จะได้ไม่เก้อไม่เขิน ไปอยู่ที่ไหนก็จะเป็นคนกล้าหาญองอาจ กล้าหาญอยู่ตลอดเวลา เรามาฝึกฝนตัวเราทั้งกาย ทั้งวาจา ฝึกทั้งใจ แก้ไขตัวเราให้มันได้ โดยอาศัยคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ ที่ท่านได้ค้นพบแล้วเอามาเปิดเผย ความเป็นจริงมีอยู่ สัจธรรมมีอยู่ แต่เราจะเดินเข้าถึงตรงนั้นได้หรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับความเพียรของแต่ละบุคคลนะ
ลองสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน วางทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้ให้มันหมด ทำใจให้ว่าง สมองให้โล่ง กายให้โปร่ง อยู่หลายคนก็เหมือนกับอยู่คนเดียว อยู่คนเดียวขณะนี้ก็ให้รู้ว่าลมวิ่งเข้าวิ่งออกให้ชัดเจนนะ
พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปสร้างสานต่อ นี่เพียงแค่เล่าให้ฟัง