หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554 ลำดับที่ 049
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554 ลำดับที่ 049
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
เจริญธรรมญาติโยมทุกคนทุกท่าน ขอให้ญาติโยมจงทำความสงบ เจริญสติสร้างความระลึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ต่อเนื่องกัน ทำใจของเราให้สงบ ทำกายของเราให้สบาย วาง หยุด ดับความคิดความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ เอาไว้ชั่วครั้งชั่วคราว ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียก ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ สัก 2 – 3 เที่ยว อย่าไปบังคับลมหายใจ
การสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ กายของเราก็มีความรู้สึกว่าสบายขึ้นเยอะ ใจของเราก็จะสงบตั้งมั่นขึ้น ความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราชัดเจน เพียงแค่เรื่องการหายใจเข้าออก พวกเราก็ขาดการสร้างความรู้ตัว ซึ่งก็หายใจอยู่ตลอดเวลาตั้งแต่ตื่น ตั้งแต่เกิด
ในหลักธรรมท่านเรียกว่า ‘ความรู้ตัว’ ถ้าเรามีความรู้สึกรับรู้ที่ต่อเนื่อง เขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ เราพยายามฝึกให้เกิดความเคยชินตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถไหน แล้วก็สร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่อง เขาเรียกว่า ‘ปัจจุบันธรรม’ ความรู้ตัวทั่วพร้อม ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา การหายใจเข้า หายใจออกเป็นอย่างไร ลึกลงไปเราก็รู้ความปกติของใจของเรา
ลักษณะของใจที่สงบ ลักษณะของใจที่ปราศจากกิเลส ลักษณะของใจที่คลายออกจากความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ ซึ่งเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ อันนี้สำหรับบุคคลที่มีความขยันหมั่นเพียรที่ต่อเนื่องกันจริงๆ ถึงจะเข้าใจ ถึงจะเข้าถึงตรงนี้ ส่วนมากก็มีแต่จะนึกเอาไปคิดเอา อันนั้นก็เป็นแต่เพียงแค่แผนที่ เราจงมาสังเกต ทำความเข้าใจบ่อยๆ หมั่นสังเกต หมั่นวิเคราะห์บ่อยๆ แต่ละวันเราตื่นขึ้นมา เราบกพร่องอะไร ลักษณะของสติความรู้ตัวเป็นลักษณะอย่างไร เราต้องสร้างขึ้นมาแล้วก็สร้างให้ต่อเนื่อง
จิตของทุกคนนั้นเป็นบุญ จิตของทุกคนนั้นฝักใฝ่ในการดับทุกข์ หาทางหลุดพ้น ยิ่งแสวงหาเท่าไรก็ยิ่งปดกั้นตัวเอง เพราะว่าไม่ใช่แนวทาง แนวทางนั้นก็คือการเจริญสติเข้าไปวิเคราะห์ เข้าไปสังเกต เข้าไปแยก เข้าไปสังเกต จนรู้เท่าทัน จนจิตของเราคลายออกจากขันธ์ห้า ซึ่งเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ เราต้องให้รู้ชัดเจน ว่าอันนี้คือลักษณะของสติ ความรู้ตัว ลักษณะของจิต
แต่ส่วนมากคนทั่วไปจะใช้ปัญญา ใช้ความนึกคิดที่เกิดจากตัวจิต เกิดจากอาการของขันธ์ห้า เขาเกิดอยู่ตลอดเวลา เขาเลยไม่นิ่ง บางทีเขาก็เป็นทาสของอารมณ์ ทาสของกิเลส บางทีบางครั้งบางคราวเขาก็สงบอยู่ แต่เราขาดการสร้างความรู้ตัวแล้วก็ให้ต่อเนื่อง แล้วรู้จักเอาไปใช้ เอาไปวิเคราะห์ ก็เลยมีแต่ปัญญาของโลกิยะ ปัญญาของสมมติ ปัญญาของโลก เขาอาจจะถูกต้องอยู่ในระดับของสมมติ
ในหลักธรรมแล้ว เราต้องสร้างความรู้ตัวเข้าไปสำรวจ เข้าไปหมั่นพร่ำสอนใจของตัวเราเองตลอดเวลา ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาจนกระทั่งนอนหลับนั่นแหละ จนใจของเรารู้เห็นตามความเป็นจริง แยกรูปแยกนาม ทำความเข้าใจกับภาษาโลกภาษาธรรมได้นั่นแหละ เราก็รู้จักละกิเลสออกจากใจของเรา แต่ละวันใจของเรามีความกังวล มีความฟุ้งซ่าน มีความลังเล ใจของเรามีความโลภ ความโกรธ มีความความอิจฉาริษยา หรือว่ามีความยินดียินร้าย เราก็รู้จักแก้ไขปรับปรุงตัวเราเองตลอดเวลา
อย่าไปปิดกั้นตัวเราเองว่าไม่มีโอกาส ทุกคนมีโอกาส ทุกคนมีบุญ ถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ มีโอกาสได้สร้างบุญมาดี ทีนี้เราก็มาศึกษา มาค้นคว้า ทุกคนได้ปฏิบัติธรรมกันมาก่อน ตั้งแต่เกิด เปลี่ยนแปลงมาจากเด็กเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ ได้รับการศึกษา ได้รับการเล่าเรียน มีความรับผิดชอบผิดถูกชั่วดี ผ่านการเปลี่ยนผ่านเวลา ผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านทุกข์ผ่านสุขมามากต่อมาก แล้วก็จนได้รับทำการทำงานมีความรับผิดชอบ อันนี้ก็เป็นการปฏิบัติอยู่ในระดับของสมมติ
ในระดับของหลักธรรมแล้ว เรามาเดินปัญญา มาเจริญสติ มาสร้างความรู้ตัว จากหนึ่งครั้ง สองครั้ง จากน้อยๆ นี่แหละ รู้กาย รู้ตัว รู้กายแล้วก็รู้จิต จนจิตของเราคลายออกจากอาการของความคิด ตามดูรู้เห็นตามความเป็นจริง เข้าใจในเรื่องการเดินปัญญา แยกรูปแยกนาม รอบรู้ในกองสังขารของตัวเราเอง รอบรู้ในทวารทั้งหกของตัวเราเอง รอบรู้ในโลกธรรม ไม่หลง ไม่เข้าไปยึด ไม่เข้าไปทุกข์ เข้าไปยึดมั่นถือมั่นในสิ่งต่างๆ ทำความเข้าใจกับภาษาธรรมภาษาโลก
แนวทางนั้นมีอยู่แล้ว พระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบเอามาเปิดเผยให้พวกสัตว์โลกได้เดินตาม ก็คือพวกเรานี่แหละ ท่านได้ค้นพบเรื่องหลักของอริยสัจ คือความจริงอันประเสริฐ การดับทุกข์ การละทุกข์ การทำความเข้าใจ การดำเนินชีวิตให้ถึงจุดหมายปลายทางคือพระนิพพาน ทำอย่างไรเราถึงจะถึงตรงจุดนั้น เราก็เดินตามคำสอนของท่าน โตกันทุกคน มีความเข้าใจกันทุกคน ทีนี้จะเดินถึงจุดหมายปลายทาง จะละกิเลสได้หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับตัวของเรา
แต่ละวันตื่นขึ้นมา ความรับผิดชอบของเรา การขวนขวาย การสร้าง การทำ การศึกษาค้นคว้า เรามีสติปัญญาที่จะเข้าไปวิเคราะห์กายของเรา วิเคราะห์ใจของเราได้ต่อเนื่องแล้วหรือยัง ถ้ายังก็พยายามทำนะ อย่าไปปล่อยโอกาสทิ้ง อย่าไปปล่อยวันเวลาทิ้งเสียดายเวลา ทุกคนก็เกิดมาร่วมโลก เกิดมาเป็นพี่เป็นน้อง เป็นพ่อเป็นแม่ เป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน มีโอกาสได้มาอยู่ร่วมกันทั้งใกล้ทั้งไกล ทั้งพระทั้งชีทั้งโยม ทรัพย์ภายนอกเราก็ทำ ทรัพย์ภายใน การเจริญสติ การเจริญปัญญา การแยกรูปแยกนาม การละกิเลส อันนี้เราต้องศึกษาค้นคว้าทำความเข้าใจตั้งแต่ตื่นขึ้นมาเลยทีเดียว
เอาตั้งแต่ตื่นขึ้นมา กายของเราเป็นอย่างไร ใจของเราเป็นอย่างไร ภาระหน้าที่การงานของเราเป็นอย่างไร เราขาดตกบกพร่องอะไร เราควรที่จะแก้ไข ก็ให้รีบแก้ไขตัวเราเองขณะที่ยังมีลมหายใจอยู่ ไม่ใช่ว่าจะไปปล่อยวันเวลาทิ้ง จะไปแก้ไขเวลาโน้น แก้ไขเวลานี้ ในหลักธรรมท่านให้แก้ไขอยู่ปัจจุบันทั้งภายนอก ทั้งภายใน คำว่า ‘ปัจจุบันธรรม’ คือ ทุกขณะจิต ทุกขณะลมหายใจเข้าออก จนกว่าจิตของเราจะหมดจดจากความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งต่างๆ จนกว่าจิตของเราจะหลุดพ้นนั่นแหละ ไม่หลุดพ้นวันนี้ก็ต้องหลุดพ้นในวันพรุ่งนี้ ไม่พรุ่งนี้ก็เดือนหน้า ปีหน้า ถึงไม่หลุดพ้นจริงๆ ก็ไปต่อเอาภพหน้า ก็จะเป็นอุปนิสัยติดตามตัวเราไป
แต่ละวันตั้งแต่ตื่นขึ้นมา เราก็ดูว่าตื่นขึ้นมาแล้วสติของเราตั้งมั่นหรือเปล่า เรามีความเกียจคร้านหรือเปล่า เรามีความขยันหมั่นเพียร เรามีความรับผิดชอบ เรามีความเสียสละต่อส่วนตัว ต่อส่วนรวมหรือไม่ หรือเอาแต่งอมืองอเท้า กายของเราก็หนัก ใจของเราก็หนัก หนักตัวเราเองแล้วก็หนักคนอื่น หนักสถานที่ เราต้องหัดวิเคราะห์ ช่วยเหลือตัวเราให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น มองบน มองล่าง มองกลางใจของเราอยู่ตลอดเวลา เราก็จะอยู่กับสมมติอย่างมีความสงบ ความสุข ไม่ได้ปล่อยปละละเลย ไม่ได้ปล่อยวันเวลาทิ้งเสียดายเวลา เรามีโอกาส โอกาสได้เปิดให้ สถานที่ได้เปิดให้ กาลเวลาได้เปิดให้กับพวกเราทุกคน
ในชีวิตประจำวันของเรา แต่ละวันเราจะทำอะไรบ้าง เราต้องหัดวิเคราะห์ ยืนเดินนั่งนอน กิน อยู่ขับถ่าย เราก็ต้องวิเคราะห์กายของเรา ยังอาศัยปัจจัยสี่อยู่ อาศัยการอยู่การกิน การขบการฉัน อาศัยที่หลับที่นอน ที่พักที่บริบูรณ์ที่สบาย เราก็ต้องทำ เราต้องทำและต้องดูแล ต้องรักษา แล้วก็ถึงวาระเวลาแล้วก็ได้วาง ได้วางทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว ก็วางขณะที่เรายังมีลมหายใจอยู่นี่แหละ
แม้แต่เรื่องการเจริญสติ ความรู้สึกตัวเป็นอย่างไร เราต้องพยายามสร้างขึ้นมา ทำความเข้าใจ การได้ยินได้ฟังได้อ่าน ทุกคนได้ศึกษาตรงนี้กันมาเต็มเปี่ยม การละกิเลส การขัดเกลากิเลส เราก็ต้องพยายามเอานะ อย่าพากันปล่อยวันเวลาทิ้ง มีอะไรเราก็ช่วยกัน ช่วยกันทำจากหนักก็เป็นเบา จากเบาก็แทบจะไม่มี ทุกวันก็ช่วยกันมา ไม่ใช่ว่าช่วยกันมาวันหนึ่งวันเดียว ช่วยกันมาเป็นสิบ เป็นยี่สิบปีกว่าจะได้มาเป็นสถานที่น่าอยู่น่าอาศัยน่ารื่นรมย์
จากรุ่นต่อรุ่นๆ ส่งต่อกันมา พวกเราก็มาสร้างมาสานต่อ สำนักงาน หน่วยงานนั้นบ้าง หน่วยงานนี้บ้าง มาช่วยการช่วยงาน ทั้งเด็กนักเรียน ทั้งนักศึกษาเล่าเรียนต่างๆ ทั้งนักศึกษาต่างๆ ก็มาช่วยกัน มาวัดมาปฏิบัติ มาขัดเกลากิเลส มาละความเกียจคร้าน สร้างความขยันหมั่นเพียร ฝักใฝ่สนใจ สำเหนียกทั้งภายนอก ทั้งภายใน ความเป็นระเบียบเรียบร้อย ไม่ใช่ว่ารักสะอาดแต่ชอบสกปรก
เราต้องพยายามขยันหมั่นเพียร มีความรับผิดชอบที่สูง รับผิดชอบต่อตัวเรา รับผิดชอบต่อส่วนรวม ยิ่งเข้ามาบวช เข้ามาศึกษา เข้ามาค้นคว้า เรารู้จักหน้าที่ของเราได้ดีแล้วหรือยัง เราทำหน้าที่ได้ดีแล้วหรือยัง ก็ต้องสำรวจตรวจตราดูให้เต็มรอบก่อนที่จะถึงจุดหมายปลายทาง เราก็จะหยุด ไปอยู่ที่ไหนก็มีแต่ความสุข ไม่ได้ทุกข์ ก็จะได้แก้ไขตัวเองเราอยู่ตลอดเวลา
ทางคณะของคุณโยมจิ๋วก็มาถึงวัดของเรา ก็ให้ถือเสียว่ามาอยู่บ้านตัวเรานะ มาอยู่บ้านของเรามีอะไรก็ให้ช่วยกันทำ คนขยันหมั่นเพียรไปอยู่ที่ไหนก็ไม่ได้ลำบาก มาถึงก็รีบช่วยกันอันโน้นบ้างอันนี้บ้าง ญาติโยมผู้หญิงของเรา ก็ไปช่วยกันทุกอย่างภายในวัดช่วยกันได้เลย ทำครัวก็ไปช่วยกันทำ ไปช่วยกันทำให้เต็มรอบทุกอย่าง อย่าไปเก้อไปเขิน ให้ละอายในสิ่งที่ควรละอาย ให้กล้าหาญในสิ่งที่ควรกล้าหาญ ไปอยู่ที่ไหนก็จะมีแต่ความสุข ไม่ได้เก้อเขิน เป็นผู้กล้าหาญ อาจหาญได้ตลอดเวลา ทั้งพระทั้งโยมทั้งชี ทั้งฆราวาสเราก็ช่วยกัน หลวงพ่อก็ภูมิใจในสิ่งที่ผ่านๆมา ก็ขอขอบคุณทุกคน ขอบใจทุกคน
เอาล่ะ วันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆกัน พากันไปสร้างสรรค์ต่อ ทำความเข้าใจกันนะ
การสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ กายของเราก็มีความรู้สึกว่าสบายขึ้นเยอะ ใจของเราก็จะสงบตั้งมั่นขึ้น ความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราชัดเจน เพียงแค่เรื่องการหายใจเข้าออก พวกเราก็ขาดการสร้างความรู้ตัว ซึ่งก็หายใจอยู่ตลอดเวลาตั้งแต่ตื่น ตั้งแต่เกิด
ในหลักธรรมท่านเรียกว่า ‘ความรู้ตัว’ ถ้าเรามีความรู้สึกรับรู้ที่ต่อเนื่อง เขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ เราพยายามฝึกให้เกิดความเคยชินตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถไหน แล้วก็สร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่อง เขาเรียกว่า ‘ปัจจุบันธรรม’ ความรู้ตัวทั่วพร้อม ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา การหายใจเข้า หายใจออกเป็นอย่างไร ลึกลงไปเราก็รู้ความปกติของใจของเรา
ลักษณะของใจที่สงบ ลักษณะของใจที่ปราศจากกิเลส ลักษณะของใจที่คลายออกจากความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ ซึ่งเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ อันนี้สำหรับบุคคลที่มีความขยันหมั่นเพียรที่ต่อเนื่องกันจริงๆ ถึงจะเข้าใจ ถึงจะเข้าถึงตรงนี้ ส่วนมากก็มีแต่จะนึกเอาไปคิดเอา อันนั้นก็เป็นแต่เพียงแค่แผนที่ เราจงมาสังเกต ทำความเข้าใจบ่อยๆ หมั่นสังเกต หมั่นวิเคราะห์บ่อยๆ แต่ละวันเราตื่นขึ้นมา เราบกพร่องอะไร ลักษณะของสติความรู้ตัวเป็นลักษณะอย่างไร เราต้องสร้างขึ้นมาแล้วก็สร้างให้ต่อเนื่อง
จิตของทุกคนนั้นเป็นบุญ จิตของทุกคนนั้นฝักใฝ่ในการดับทุกข์ หาทางหลุดพ้น ยิ่งแสวงหาเท่าไรก็ยิ่งปดกั้นตัวเอง เพราะว่าไม่ใช่แนวทาง แนวทางนั้นก็คือการเจริญสติเข้าไปวิเคราะห์ เข้าไปสังเกต เข้าไปแยก เข้าไปสังเกต จนรู้เท่าทัน จนจิตของเราคลายออกจากขันธ์ห้า ซึ่งเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ เราต้องให้รู้ชัดเจน ว่าอันนี้คือลักษณะของสติ ความรู้ตัว ลักษณะของจิต
แต่ส่วนมากคนทั่วไปจะใช้ปัญญา ใช้ความนึกคิดที่เกิดจากตัวจิต เกิดจากอาการของขันธ์ห้า เขาเกิดอยู่ตลอดเวลา เขาเลยไม่นิ่ง บางทีเขาก็เป็นทาสของอารมณ์ ทาสของกิเลส บางทีบางครั้งบางคราวเขาก็สงบอยู่ แต่เราขาดการสร้างความรู้ตัวแล้วก็ให้ต่อเนื่อง แล้วรู้จักเอาไปใช้ เอาไปวิเคราะห์ ก็เลยมีแต่ปัญญาของโลกิยะ ปัญญาของสมมติ ปัญญาของโลก เขาอาจจะถูกต้องอยู่ในระดับของสมมติ
ในหลักธรรมแล้ว เราต้องสร้างความรู้ตัวเข้าไปสำรวจ เข้าไปหมั่นพร่ำสอนใจของตัวเราเองตลอดเวลา ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาจนกระทั่งนอนหลับนั่นแหละ จนใจของเรารู้เห็นตามความเป็นจริง แยกรูปแยกนาม ทำความเข้าใจกับภาษาโลกภาษาธรรมได้นั่นแหละ เราก็รู้จักละกิเลสออกจากใจของเรา แต่ละวันใจของเรามีความกังวล มีความฟุ้งซ่าน มีความลังเล ใจของเรามีความโลภ ความโกรธ มีความความอิจฉาริษยา หรือว่ามีความยินดียินร้าย เราก็รู้จักแก้ไขปรับปรุงตัวเราเองตลอดเวลา
อย่าไปปิดกั้นตัวเราเองว่าไม่มีโอกาส ทุกคนมีโอกาส ทุกคนมีบุญ ถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ มีโอกาสได้สร้างบุญมาดี ทีนี้เราก็มาศึกษา มาค้นคว้า ทุกคนได้ปฏิบัติธรรมกันมาก่อน ตั้งแต่เกิด เปลี่ยนแปลงมาจากเด็กเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ ได้รับการศึกษา ได้รับการเล่าเรียน มีความรับผิดชอบผิดถูกชั่วดี ผ่านการเปลี่ยนผ่านเวลา ผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านทุกข์ผ่านสุขมามากต่อมาก แล้วก็จนได้รับทำการทำงานมีความรับผิดชอบ อันนี้ก็เป็นการปฏิบัติอยู่ในระดับของสมมติ
ในระดับของหลักธรรมแล้ว เรามาเดินปัญญา มาเจริญสติ มาสร้างความรู้ตัว จากหนึ่งครั้ง สองครั้ง จากน้อยๆ นี่แหละ รู้กาย รู้ตัว รู้กายแล้วก็รู้จิต จนจิตของเราคลายออกจากอาการของความคิด ตามดูรู้เห็นตามความเป็นจริง เข้าใจในเรื่องการเดินปัญญา แยกรูปแยกนาม รอบรู้ในกองสังขารของตัวเราเอง รอบรู้ในทวารทั้งหกของตัวเราเอง รอบรู้ในโลกธรรม ไม่หลง ไม่เข้าไปยึด ไม่เข้าไปทุกข์ เข้าไปยึดมั่นถือมั่นในสิ่งต่างๆ ทำความเข้าใจกับภาษาธรรมภาษาโลก
แนวทางนั้นมีอยู่แล้ว พระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบเอามาเปิดเผยให้พวกสัตว์โลกได้เดินตาม ก็คือพวกเรานี่แหละ ท่านได้ค้นพบเรื่องหลักของอริยสัจ คือความจริงอันประเสริฐ การดับทุกข์ การละทุกข์ การทำความเข้าใจ การดำเนินชีวิตให้ถึงจุดหมายปลายทางคือพระนิพพาน ทำอย่างไรเราถึงจะถึงตรงจุดนั้น เราก็เดินตามคำสอนของท่าน โตกันทุกคน มีความเข้าใจกันทุกคน ทีนี้จะเดินถึงจุดหมายปลายทาง จะละกิเลสได้หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับตัวของเรา
แต่ละวันตื่นขึ้นมา ความรับผิดชอบของเรา การขวนขวาย การสร้าง การทำ การศึกษาค้นคว้า เรามีสติปัญญาที่จะเข้าไปวิเคราะห์กายของเรา วิเคราะห์ใจของเราได้ต่อเนื่องแล้วหรือยัง ถ้ายังก็พยายามทำนะ อย่าไปปล่อยโอกาสทิ้ง อย่าไปปล่อยวันเวลาทิ้งเสียดายเวลา ทุกคนก็เกิดมาร่วมโลก เกิดมาเป็นพี่เป็นน้อง เป็นพ่อเป็นแม่ เป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน มีโอกาสได้มาอยู่ร่วมกันทั้งใกล้ทั้งไกล ทั้งพระทั้งชีทั้งโยม ทรัพย์ภายนอกเราก็ทำ ทรัพย์ภายใน การเจริญสติ การเจริญปัญญา การแยกรูปแยกนาม การละกิเลส อันนี้เราต้องศึกษาค้นคว้าทำความเข้าใจตั้งแต่ตื่นขึ้นมาเลยทีเดียว
เอาตั้งแต่ตื่นขึ้นมา กายของเราเป็นอย่างไร ใจของเราเป็นอย่างไร ภาระหน้าที่การงานของเราเป็นอย่างไร เราขาดตกบกพร่องอะไร เราควรที่จะแก้ไข ก็ให้รีบแก้ไขตัวเราเองขณะที่ยังมีลมหายใจอยู่ ไม่ใช่ว่าจะไปปล่อยวันเวลาทิ้ง จะไปแก้ไขเวลาโน้น แก้ไขเวลานี้ ในหลักธรรมท่านให้แก้ไขอยู่ปัจจุบันทั้งภายนอก ทั้งภายใน คำว่า ‘ปัจจุบันธรรม’ คือ ทุกขณะจิต ทุกขณะลมหายใจเข้าออก จนกว่าจิตของเราจะหมดจดจากความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งต่างๆ จนกว่าจิตของเราจะหลุดพ้นนั่นแหละ ไม่หลุดพ้นวันนี้ก็ต้องหลุดพ้นในวันพรุ่งนี้ ไม่พรุ่งนี้ก็เดือนหน้า ปีหน้า ถึงไม่หลุดพ้นจริงๆ ก็ไปต่อเอาภพหน้า ก็จะเป็นอุปนิสัยติดตามตัวเราไป
แต่ละวันตั้งแต่ตื่นขึ้นมา เราก็ดูว่าตื่นขึ้นมาแล้วสติของเราตั้งมั่นหรือเปล่า เรามีความเกียจคร้านหรือเปล่า เรามีความขยันหมั่นเพียร เรามีความรับผิดชอบ เรามีความเสียสละต่อส่วนตัว ต่อส่วนรวมหรือไม่ หรือเอาแต่งอมืองอเท้า กายของเราก็หนัก ใจของเราก็หนัก หนักตัวเราเองแล้วก็หนักคนอื่น หนักสถานที่ เราต้องหัดวิเคราะห์ ช่วยเหลือตัวเราให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น มองบน มองล่าง มองกลางใจของเราอยู่ตลอดเวลา เราก็จะอยู่กับสมมติอย่างมีความสงบ ความสุข ไม่ได้ปล่อยปละละเลย ไม่ได้ปล่อยวันเวลาทิ้งเสียดายเวลา เรามีโอกาส โอกาสได้เปิดให้ สถานที่ได้เปิดให้ กาลเวลาได้เปิดให้กับพวกเราทุกคน
ในชีวิตประจำวันของเรา แต่ละวันเราจะทำอะไรบ้าง เราต้องหัดวิเคราะห์ ยืนเดินนั่งนอน กิน อยู่ขับถ่าย เราก็ต้องวิเคราะห์กายของเรา ยังอาศัยปัจจัยสี่อยู่ อาศัยการอยู่การกิน การขบการฉัน อาศัยที่หลับที่นอน ที่พักที่บริบูรณ์ที่สบาย เราก็ต้องทำ เราต้องทำและต้องดูแล ต้องรักษา แล้วก็ถึงวาระเวลาแล้วก็ได้วาง ได้วางทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว ก็วางขณะที่เรายังมีลมหายใจอยู่นี่แหละ
แม้แต่เรื่องการเจริญสติ ความรู้สึกตัวเป็นอย่างไร เราต้องพยายามสร้างขึ้นมา ทำความเข้าใจ การได้ยินได้ฟังได้อ่าน ทุกคนได้ศึกษาตรงนี้กันมาเต็มเปี่ยม การละกิเลส การขัดเกลากิเลส เราก็ต้องพยายามเอานะ อย่าพากันปล่อยวันเวลาทิ้ง มีอะไรเราก็ช่วยกัน ช่วยกันทำจากหนักก็เป็นเบา จากเบาก็แทบจะไม่มี ทุกวันก็ช่วยกันมา ไม่ใช่ว่าช่วยกันมาวันหนึ่งวันเดียว ช่วยกันมาเป็นสิบ เป็นยี่สิบปีกว่าจะได้มาเป็นสถานที่น่าอยู่น่าอาศัยน่ารื่นรมย์
จากรุ่นต่อรุ่นๆ ส่งต่อกันมา พวกเราก็มาสร้างมาสานต่อ สำนักงาน หน่วยงานนั้นบ้าง หน่วยงานนี้บ้าง มาช่วยการช่วยงาน ทั้งเด็กนักเรียน ทั้งนักศึกษาเล่าเรียนต่างๆ ทั้งนักศึกษาต่างๆ ก็มาช่วยกัน มาวัดมาปฏิบัติ มาขัดเกลากิเลส มาละความเกียจคร้าน สร้างความขยันหมั่นเพียร ฝักใฝ่สนใจ สำเหนียกทั้งภายนอก ทั้งภายใน ความเป็นระเบียบเรียบร้อย ไม่ใช่ว่ารักสะอาดแต่ชอบสกปรก
เราต้องพยายามขยันหมั่นเพียร มีความรับผิดชอบที่สูง รับผิดชอบต่อตัวเรา รับผิดชอบต่อส่วนรวม ยิ่งเข้ามาบวช เข้ามาศึกษา เข้ามาค้นคว้า เรารู้จักหน้าที่ของเราได้ดีแล้วหรือยัง เราทำหน้าที่ได้ดีแล้วหรือยัง ก็ต้องสำรวจตรวจตราดูให้เต็มรอบก่อนที่จะถึงจุดหมายปลายทาง เราก็จะหยุด ไปอยู่ที่ไหนก็มีแต่ความสุข ไม่ได้ทุกข์ ก็จะได้แก้ไขตัวเองเราอยู่ตลอดเวลา
ทางคณะของคุณโยมจิ๋วก็มาถึงวัดของเรา ก็ให้ถือเสียว่ามาอยู่บ้านตัวเรานะ มาอยู่บ้านของเรามีอะไรก็ให้ช่วยกันทำ คนขยันหมั่นเพียรไปอยู่ที่ไหนก็ไม่ได้ลำบาก มาถึงก็รีบช่วยกันอันโน้นบ้างอันนี้บ้าง ญาติโยมผู้หญิงของเรา ก็ไปช่วยกันทุกอย่างภายในวัดช่วยกันได้เลย ทำครัวก็ไปช่วยกันทำ ไปช่วยกันทำให้เต็มรอบทุกอย่าง อย่าไปเก้อไปเขิน ให้ละอายในสิ่งที่ควรละอาย ให้กล้าหาญในสิ่งที่ควรกล้าหาญ ไปอยู่ที่ไหนก็จะมีแต่ความสุข ไม่ได้เก้อเขิน เป็นผู้กล้าหาญ อาจหาญได้ตลอดเวลา ทั้งพระทั้งโยมทั้งชี ทั้งฆราวาสเราก็ช่วยกัน หลวงพ่อก็ภูมิใจในสิ่งที่ผ่านๆมา ก็ขอขอบคุณทุกคน ขอบใจทุกคน
เอาล่ะ วันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆกัน พากันไปสร้างสรรค์ต่อ ทำความเข้าใจกันนะ