หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554 ลำดับที่ 038
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554 ลำดับที่ 038
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
เจริญธรรมญาติโยมทุกคนทุกท่าน ขอให้ญาติโยมจงเจริญสติสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเรา วางกายให้สบาย วางใจให้สบาย ไม่ต้องพนมมือ หยุดความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ ไว้ชั่วครั้งชั่วคราว ถึงเราละไม่ได้ ทำความเข้าใจเดินปัญญาไม่เต็มรอบ เราก็พยายามสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจให้เกิดความเคยชิน ให้เป็นธรรมชาติที่สุด ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียก ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ
เป็นเรื่องของเราที่จะต้องศึกษาค้นคว้าตัวของเรา กายของเรา ใจของเรา ไม่มีใครที่จะทำให้เราได้ นอกจากตัวของเราเอง เราต้องพยายามทำความเข้าใจ อันนี้เป็นการเจริญสติเป็นลักษณะอย่างนี้ การได้ยิน การได้ฟัง การได้อ่านนั้นเป็นแค่เพียงแผนที่ เป็นแค่เพียงแนวทาง เรารีบสำรวจกาย สำรวจใจของเรา ว่าขณะนี้ใจของเราเป็นอย่างไร มีศรัทธาเต็มเปี่ยม เชื่อมั่นในพระรัตนตรัย แล้วก็การกระทำของเราก็ต้องให้ถึงพร้อม ด้วยการเจริญสติเข้าไปรู้เห็นตามความเป็นจริง จิตที่ปกติเป็นลักษณะอย่างนี้ จิตที่ไม่เกิดกิเลสเป็นลักษณะอย่างนี้ จิตที่คลายออกจากความคิดซึ่งเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ เป็นลักษณะอย่างนี้ การตามดู การตามรู้ การตามเห็น ความเกิดความดับของขันธ์ห้า รู้เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เขาเกิดขึ้นอย่างไร เขาตั้งอยู่อย่างไร เขาดับไปอย่างไร
เราต้องรู้ ต้องเห็น ต้องตามดู เราก็จะเข้าใจในเรื่องสมมติ เข้าใจในเรื่องวิมุตติ ใจของทุกคนนั้นฝักใฝ่ในบุญ ปรารถนาที่จะหาทางดับทุกข์ ปรารถนาที่จะหาทางหลุดพ้น แต่การลงมือการกระทำจริงๆ เราต้องเริ่ม เริ่มอยู่ตลอดเวลาจนเป็นอัตโนมัติในการดู ในการรู้ ในการละ จิตที่สงบปราศจากกิเลสเป็นลักษณะอย่างนี้นะ กายวิเวกเป็นลักษณะนี้ ใจวิเวกเป็นลักษณะอย่างนี้ นิวรณธรรมเขาครอบงำใจของเราได้อย่างไร ใจของเราเกิดความกำหนัดยินดีในเรื่องของรูปรสกลิ่นเสียง ในเรื่องของราคะ เราก็รู้จักระงับรู้จักควบคุม รู้จักละ ใจของเรายังเกิดยังสงสัย ยังลังเลอยู่ เราก็ต้องพยายามทำความเข้าใจแล้วก็ละ หมั่นพร่ำสอนใจของเรา
ถ้าใจของเราคลายออกจากความคิดได้แล้ว เราก็จะหมดความสงสัย มีตั้งแต่จะตามดู ตามรูู้ ตามเห็น ทำความเข้าใจ หมั่นพร่ำสอนใจของเรา ตัวใจนั่นแหละคือตัวธรรม ตัวใจนั่นแหละคือตัวบุญ แต่เราไม่ได้เจริญสติเข้าไปรู้เท่าทันใจของเรา เรารู้อยู่ตั้งแต่เมื่อเขาเกิดแล้ว เขารวมกันไปแล้ว เรารู้อยู่ อาจจะถูกต้องอยู่ในระดับของสมมติ ในหลักธรรมเราต้องค้นคว้า ต้องจำแนกแจกแจง เขาก็อยู่ในกายก้อนนี้หมดนั่นแหละ เขารวมกันอยู่ แต่ต้องแยกแยะให้รู้ว่าชิ้นไหนส่วนไหนเป็นส่วนไหน เหมือนกับเชือกมีอยู่ 5 เกลียว เราก็มองเห็นเป็นเชือกเส้นเดียว
แต่ถ้าคนมีปัญญาเขาก็จะจำแนกออกว่าเกลียวโน้นเป็นอย่างนี้ เกลียวนี้เป็นอย่างนี้ มารวมกันเป็นเกลียวใหญ่ เราต้องจำแนกแจกแจงเกลียวเล็กไว้ให้ชัดเจน ซึ่งมีตัววิญญาณเข้าไปครอบครอง ซึ่งอยู่ในกายของเรา เรามาเจริญสติส่วนสมองส่วนบน เข้าไปสังเกตเข้าไปวิเคราะห์ ใหม่ๆ สังเกตไม่ทันต้นเหตุ เราก็รู้จักควบคุมไว้เสียก่อน ควบคุมเอาไว้ซึ่งเรียกว่า ‘สมถะ’ กำลังสติของเรามีมาก ใจของเราก็จะสงบช้าลงจนกว่าใจของเราจะคลายได้ ถ้าคลายได้เมื่อไหร่นั่นแหละ เขาถึงจะเรียกว่า ‘สัมมาทิฐิ’ ความรู้แจ้งเห็นจริง
เดินตามทางในอริยมรรค ความรู้แจ้งเห็นจริง ตามดู ตามรู้ ตามเห็น ก็จะตรงกับคำสอนของพระพุทธองค์ หมดความสงสัย หมดความลังเล ที่นี้จะละกิเลสหยาบกิเลสละเอียด กิเลสอะไร ถ้ากำลังสติของเราแยกแยะได้แล้ว ถ้าเราขาดการตามทำความเข้าใจทุกเรื่อง เขาก็จะกลับคืนสู่สภาพเดิม ไม่ใช่ว่าจะทำได้ง่ายๆ กิเลสมารต่างๆ เขาก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เขาก็หาเหตุหาผล หาข้ออ้างสารพัดอย่างที่จะมาขัดขวาง แม้แต่ตัวจิต ตัววิญญาณเองแท้ๆ เขาก็ปิดบังอำพรางตัวเอง ถ้ากำลังสติปัญญาไม่แหลมคม ยากที่เขาจะคลายได้ ยากที่เขาจะรู้เห็นตามความเป็นจริง ยากที่เขาจะปลงได้ เพราะว่าเขาเกิดมาไม่รู้กี่ภพกัป กี่กัลป์
เขาหลงเกิดมา หลงเกิดมาตลอด เกิดอยู่ในภพน้อย เกิดอยู่ในภพใหญ่ เกิดภพต่ำภพสูง สารพัดอย่าง ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมาเขาก็เกิดแล้ว เขาคิดนั่นแหละ เขาคิดเขาส่งออกไปภายนอกนั่นแหละ แต่เกิดอยู่ในภพของมนุษย์นี้เกิดมาแล้ว มาก่อร่างสร้างอัตภาพร่างกายแล้วก็เข้าไปยึด ไปสร้างสารพัดอย่างมาปกปิดเอาไว้อีก สร้างโลกธรรมเข้ามาปกปิดเอาไว้อีก
เราต้องมาคอยสังเกต คอยวิเคราะห์ คอยมอง สติปัญญาเราต้องหาเหตุหาผล จนให้ใจของเราจำนนได้ ให้จิตของเราจำนน รู้เห็นตามความเป็นจริงได้นั่นแหละว่าการเกิดเป็นทุกข์ การหลงอารมณ์ หลงความคิดก็เป็นทุกข์ การเป็นทาสของกิเลสก็เป็นทุกข์ เขารู้ความจริงแล้ว เขาก็จะละ เขาก็จะคลาย ก็จะวาง อยู่ในอุเบกขา ไม่ยอมเข้าไปหลง ไม่ยอมเข้าไปยึด แต่เขาก็ยังอาศัยกายนี้อยู่
เราก็ต้องดูแล ทำความเข้าใจกับกายก้อนนี้ เพราะว่ากายก้อนนี้ยังอยู่กับสมมติอยู่ เราจะไปทิ้งสมมติก้อนนี้ยังไม่ได้ เพราะว่าถ้าถึงวาละเวลา หมดลมหายใจนั่นแหละ เหตุการณ์จะบังคับให้ทิ้ง แต่เราต้องทำความเข้าใจให้ได้ละเอียดเสียก่อน ไม่ใช่ว่าฝึกหัดปฏิบัติธรรมไม่เข้าใจในธรรม เจริญสติไม่รู้จักว่าสติเป็นอย่างไร เอาตั้งแต่ไปฝึกหัดปฏิบัติ เอาตั้งแต่นั่นตัวเองโดยที่ไม่รู้เรื่องอะไร เราต้องรู้ การสร้างความรู้ตัวเป็นลักษณะอย่างนี้ การเอาไปใช้กันเป็นลักษณะอย่างนี้ การดู การรู้ การเป็น การกระทำความเข้าใจเป็นลักษณะอย่างนี้ เป็นเรื่องของเราทุกคน ที่จะต้องศึกษาตัวเองแก้ไขตัวเอง
สมมติภายนอก พยายามยังสมมติให้เกิดประโยชน์ ความเป็นระเบียบเรียบร้อย ความเสียสละ ความอดทน ความกตัญญู ความกตเวที มีอยู่ในกายในใจของเราหรือไม่ เราก็ต้องรู้จักรีบแก้ไข ปรับปรุงตัวเองเสีย ไม่ใช่ว่าใช้ตัวเองไม่ได้ บอกตัวเองก็ไม่เป็น ใช้ตัวเองก็ไม่ได้ หนักอยู่อย่างนั้น หนักตัวเรา หนักคนอื่น
ธรรมะก็มีอยู่ประจำโลก ธรรมกับโลกอาศัยกันอยู่ ตำรา ครูบาอาจารย์มีเยอะ เราต้องมาสร้างอาจารย์ มาเจริญสตินี้แหละคืออาจารย์ที่จะเข้าไปคอยหาเหตุหาผล แล้วก็หมั่นพร่ำสอนใจของเรา ใจของเรายังหลงอยู่ เราก็ต้องพยายามคลายความหลง ใจของเรายังเป็นทาสกิเลสอยู่ เราต้องพยายามคลาย ใจของเรามีความโลภ แล้วความพยายามละความโลภ ด้วยการให้ ด้วยการเอาออก ด้วยการบริจาค ทำในสิ่งตรงกันข้ามกับกิเลส มองโลกในทางที่ดี คิดดี อะไรผิด อะไรถูก รู้ด้วยเหตุด้วยผล รู้ด้วยสติ รู้ด้วยปัญญา แก้ไขโดยสติ แก้ไขด้วยปัญญา
ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่เป็นปัญญา อยู่ด้วยปัญญา ครบองค์ประกอบหมดทุกอย่าง ตั้งแต่ทานนั่นแหล่ะ ท่านให้เอาออก ท่านให้คลายออก จะเอาจะมีจะเป็น ก็เป็นเรื่องของปัญญาล้วนๆ แต่เวลานี้ใจยังเกิดอยู่ ยังหลงอยู่ เราก็ต้องรีบแก้ไขกันให้ได้นะ โอกาสดี โอกาสดีที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ได้สนุกสร้างอานิสงส์ สร้างบุญสร้างบารมีกัน
เอาล่ะวันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อ ทำความเข้าใจกันเอานะ
เป็นเรื่องของเราที่จะต้องศึกษาค้นคว้าตัวของเรา กายของเรา ใจของเรา ไม่มีใครที่จะทำให้เราได้ นอกจากตัวของเราเอง เราต้องพยายามทำความเข้าใจ อันนี้เป็นการเจริญสติเป็นลักษณะอย่างนี้ การได้ยิน การได้ฟัง การได้อ่านนั้นเป็นแค่เพียงแผนที่ เป็นแค่เพียงแนวทาง เรารีบสำรวจกาย สำรวจใจของเรา ว่าขณะนี้ใจของเราเป็นอย่างไร มีศรัทธาเต็มเปี่ยม เชื่อมั่นในพระรัตนตรัย แล้วก็การกระทำของเราก็ต้องให้ถึงพร้อม ด้วยการเจริญสติเข้าไปรู้เห็นตามความเป็นจริง จิตที่ปกติเป็นลักษณะอย่างนี้ จิตที่ไม่เกิดกิเลสเป็นลักษณะอย่างนี้ จิตที่คลายออกจากความคิดซึ่งเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ เป็นลักษณะอย่างนี้ การตามดู การตามรู้ การตามเห็น ความเกิดความดับของขันธ์ห้า รู้เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เขาเกิดขึ้นอย่างไร เขาตั้งอยู่อย่างไร เขาดับไปอย่างไร
เราต้องรู้ ต้องเห็น ต้องตามดู เราก็จะเข้าใจในเรื่องสมมติ เข้าใจในเรื่องวิมุตติ ใจของทุกคนนั้นฝักใฝ่ในบุญ ปรารถนาที่จะหาทางดับทุกข์ ปรารถนาที่จะหาทางหลุดพ้น แต่การลงมือการกระทำจริงๆ เราต้องเริ่ม เริ่มอยู่ตลอดเวลาจนเป็นอัตโนมัติในการดู ในการรู้ ในการละ จิตที่สงบปราศจากกิเลสเป็นลักษณะอย่างนี้นะ กายวิเวกเป็นลักษณะนี้ ใจวิเวกเป็นลักษณะอย่างนี้ นิวรณธรรมเขาครอบงำใจของเราได้อย่างไร ใจของเราเกิดความกำหนัดยินดีในเรื่องของรูปรสกลิ่นเสียง ในเรื่องของราคะ เราก็รู้จักระงับรู้จักควบคุม รู้จักละ ใจของเรายังเกิดยังสงสัย ยังลังเลอยู่ เราก็ต้องพยายามทำความเข้าใจแล้วก็ละ หมั่นพร่ำสอนใจของเรา
ถ้าใจของเราคลายออกจากความคิดได้แล้ว เราก็จะหมดความสงสัย มีตั้งแต่จะตามดู ตามรูู้ ตามเห็น ทำความเข้าใจ หมั่นพร่ำสอนใจของเรา ตัวใจนั่นแหละคือตัวธรรม ตัวใจนั่นแหละคือตัวบุญ แต่เราไม่ได้เจริญสติเข้าไปรู้เท่าทันใจของเรา เรารู้อยู่ตั้งแต่เมื่อเขาเกิดแล้ว เขารวมกันไปแล้ว เรารู้อยู่ อาจจะถูกต้องอยู่ในระดับของสมมติ ในหลักธรรมเราต้องค้นคว้า ต้องจำแนกแจกแจง เขาก็อยู่ในกายก้อนนี้หมดนั่นแหละ เขารวมกันอยู่ แต่ต้องแยกแยะให้รู้ว่าชิ้นไหนส่วนไหนเป็นส่วนไหน เหมือนกับเชือกมีอยู่ 5 เกลียว เราก็มองเห็นเป็นเชือกเส้นเดียว
แต่ถ้าคนมีปัญญาเขาก็จะจำแนกออกว่าเกลียวโน้นเป็นอย่างนี้ เกลียวนี้เป็นอย่างนี้ มารวมกันเป็นเกลียวใหญ่ เราต้องจำแนกแจกแจงเกลียวเล็กไว้ให้ชัดเจน ซึ่งมีตัววิญญาณเข้าไปครอบครอง ซึ่งอยู่ในกายของเรา เรามาเจริญสติส่วนสมองส่วนบน เข้าไปสังเกตเข้าไปวิเคราะห์ ใหม่ๆ สังเกตไม่ทันต้นเหตุ เราก็รู้จักควบคุมไว้เสียก่อน ควบคุมเอาไว้ซึ่งเรียกว่า ‘สมถะ’ กำลังสติของเรามีมาก ใจของเราก็จะสงบช้าลงจนกว่าใจของเราจะคลายได้ ถ้าคลายได้เมื่อไหร่นั่นแหละ เขาถึงจะเรียกว่า ‘สัมมาทิฐิ’ ความรู้แจ้งเห็นจริง
เดินตามทางในอริยมรรค ความรู้แจ้งเห็นจริง ตามดู ตามรู้ ตามเห็น ก็จะตรงกับคำสอนของพระพุทธองค์ หมดความสงสัย หมดความลังเล ที่นี้จะละกิเลสหยาบกิเลสละเอียด กิเลสอะไร ถ้ากำลังสติของเราแยกแยะได้แล้ว ถ้าเราขาดการตามทำความเข้าใจทุกเรื่อง เขาก็จะกลับคืนสู่สภาพเดิม ไม่ใช่ว่าจะทำได้ง่ายๆ กิเลสมารต่างๆ เขาก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เขาก็หาเหตุหาผล หาข้ออ้างสารพัดอย่างที่จะมาขัดขวาง แม้แต่ตัวจิต ตัววิญญาณเองแท้ๆ เขาก็ปิดบังอำพรางตัวเอง ถ้ากำลังสติปัญญาไม่แหลมคม ยากที่เขาจะคลายได้ ยากที่เขาจะรู้เห็นตามความเป็นจริง ยากที่เขาจะปลงได้ เพราะว่าเขาเกิดมาไม่รู้กี่ภพกัป กี่กัลป์
เขาหลงเกิดมา หลงเกิดมาตลอด เกิดอยู่ในภพน้อย เกิดอยู่ในภพใหญ่ เกิดภพต่ำภพสูง สารพัดอย่าง ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมาเขาก็เกิดแล้ว เขาคิดนั่นแหละ เขาคิดเขาส่งออกไปภายนอกนั่นแหละ แต่เกิดอยู่ในภพของมนุษย์นี้เกิดมาแล้ว มาก่อร่างสร้างอัตภาพร่างกายแล้วก็เข้าไปยึด ไปสร้างสารพัดอย่างมาปกปิดเอาไว้อีก สร้างโลกธรรมเข้ามาปกปิดเอาไว้อีก
เราต้องมาคอยสังเกต คอยวิเคราะห์ คอยมอง สติปัญญาเราต้องหาเหตุหาผล จนให้ใจของเราจำนนได้ ให้จิตของเราจำนน รู้เห็นตามความเป็นจริงได้นั่นแหละว่าการเกิดเป็นทุกข์ การหลงอารมณ์ หลงความคิดก็เป็นทุกข์ การเป็นทาสของกิเลสก็เป็นทุกข์ เขารู้ความจริงแล้ว เขาก็จะละ เขาก็จะคลาย ก็จะวาง อยู่ในอุเบกขา ไม่ยอมเข้าไปหลง ไม่ยอมเข้าไปยึด แต่เขาก็ยังอาศัยกายนี้อยู่
เราก็ต้องดูแล ทำความเข้าใจกับกายก้อนนี้ เพราะว่ากายก้อนนี้ยังอยู่กับสมมติอยู่ เราจะไปทิ้งสมมติก้อนนี้ยังไม่ได้ เพราะว่าถ้าถึงวาละเวลา หมดลมหายใจนั่นแหละ เหตุการณ์จะบังคับให้ทิ้ง แต่เราต้องทำความเข้าใจให้ได้ละเอียดเสียก่อน ไม่ใช่ว่าฝึกหัดปฏิบัติธรรมไม่เข้าใจในธรรม เจริญสติไม่รู้จักว่าสติเป็นอย่างไร เอาตั้งแต่ไปฝึกหัดปฏิบัติ เอาตั้งแต่นั่นตัวเองโดยที่ไม่รู้เรื่องอะไร เราต้องรู้ การสร้างความรู้ตัวเป็นลักษณะอย่างนี้ การเอาไปใช้กันเป็นลักษณะอย่างนี้ การดู การรู้ การเป็น การกระทำความเข้าใจเป็นลักษณะอย่างนี้ เป็นเรื่องของเราทุกคน ที่จะต้องศึกษาตัวเองแก้ไขตัวเอง
สมมติภายนอก พยายามยังสมมติให้เกิดประโยชน์ ความเป็นระเบียบเรียบร้อย ความเสียสละ ความอดทน ความกตัญญู ความกตเวที มีอยู่ในกายในใจของเราหรือไม่ เราก็ต้องรู้จักรีบแก้ไข ปรับปรุงตัวเองเสีย ไม่ใช่ว่าใช้ตัวเองไม่ได้ บอกตัวเองก็ไม่เป็น ใช้ตัวเองก็ไม่ได้ หนักอยู่อย่างนั้น หนักตัวเรา หนักคนอื่น
ธรรมะก็มีอยู่ประจำโลก ธรรมกับโลกอาศัยกันอยู่ ตำรา ครูบาอาจารย์มีเยอะ เราต้องมาสร้างอาจารย์ มาเจริญสตินี้แหละคืออาจารย์ที่จะเข้าไปคอยหาเหตุหาผล แล้วก็หมั่นพร่ำสอนใจของเรา ใจของเรายังหลงอยู่ เราก็ต้องพยายามคลายความหลง ใจของเรายังเป็นทาสกิเลสอยู่ เราต้องพยายามคลาย ใจของเรามีความโลภ แล้วความพยายามละความโลภ ด้วยการให้ ด้วยการเอาออก ด้วยการบริจาค ทำในสิ่งตรงกันข้ามกับกิเลส มองโลกในทางที่ดี คิดดี อะไรผิด อะไรถูก รู้ด้วยเหตุด้วยผล รู้ด้วยสติ รู้ด้วยปัญญา แก้ไขโดยสติ แก้ไขด้วยปัญญา
ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่เป็นปัญญา อยู่ด้วยปัญญา ครบองค์ประกอบหมดทุกอย่าง ตั้งแต่ทานนั่นแหล่ะ ท่านให้เอาออก ท่านให้คลายออก จะเอาจะมีจะเป็น ก็เป็นเรื่องของปัญญาล้วนๆ แต่เวลานี้ใจยังเกิดอยู่ ยังหลงอยู่ เราก็ต้องรีบแก้ไขกันให้ได้นะ โอกาสดี โอกาสดีที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ได้สนุกสร้างอานิสงส์ สร้างบุญสร้างบารมีกัน
เอาล่ะวันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อ ทำความเข้าใจกันเอานะ