หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555 ลำดับที่ 015
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555 ลำดับที่ 015
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
เจริญธรรมญาติโยมทุกคนทุกท่าน ขอให้ญาติโยมจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกของเราให้ต่อเนื่องกันสักพัก ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมาเราได้สร้างความรู้ตัวแล้วหรือยัง ถ้ายังก็เริ่มเสียนะ นั่งตามสบายวางกายให้สบายทำใจของเราให้สงบ มีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่การหายใจเข้าออกของเราให้ชัดเจน ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียก ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ สัก 2-3 เที่ยว
การสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ ผ่อนลมหายใจมายาวๆ อย่าไปบังคับ อย่าไปบังคับลมหายใจ อย่าไปเพ่ง ถ้าเพ่งสมองส่วนบนก็จะตึง ถ้าเราเอาตัวจิตหรือว่าตัววิญญาณของเราไปจดจ่ออยู่ที่ปลายจมูกของเราหน้าอกก็จะแน่น
เพียงแค่ให้เรามีความรู้สึกรับรู้ว่าสัมผัสของลมวิ่งเข้ากระทบปลายจมูกมีความรู้สึกรับรู้อยู่ ลมหายใจออกกระทบปลายจมูกมีความรู้สึกรับรู้อยู่ ให้เปรียบเสมือนกับนายประตูทวาร นั่งอยู่ตรงประตู รถยนต์คันไหนจะวิ่งเข้าก็รู้อยู่ รถคันไหนจะวิ่งออกก็รู้อยู่ พยายามฝึกให้รู้ให้ต่อเนื่องซึ่งเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ มีความรู้ตัวทั่วพร้อม ลึกลงไปเราก็จะรู้เท่าทันใจของเรา ถ้าเรารู้ไม่ทันตั้งแต่ต้นเหตุของการเกิดของใจ เราก็กระตุ้นความรู้สึกไปที่การหายใจเข้าออกใหม่
เพียงแค่เรื่องการหายใจเข้าออกพวกเราก็ขาดการสนใจในการสร้างความรู้ตัวที่จะเข้าไปรู้ให้ต่อเนื่อง ก็เลยพลาดโอกาสที่จะรู้ทรัพย์อันใหญ่ คือรู้ใจของเรา รู้จักขัดเกลารู้จักละกิเลส เราทุกคนมีบุญทุกคนมีอานิสงส์ถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ทุกคนก็มีบุญแต่เราก็อย่าไปรีบเร่ง พยายามสร้างแล้วก็ทำความเข้าใจไปเรื่อยๆ อาศัยความเพียรที่ต่อเนื่อง อาศัยความเพียร อาศัยการสังเกตอาศัยการวิเคราะห์
ผ่านกาลผ่านเวลา ทุกสิ่งทุกอย่าง ทำความเข้าใจ รอบรู้ในความคิด รอบรู้ในดวงจิต รอบรู้ในกองสังขารของเรา รอบรู้ในสมมติ เพียงแค่ระดับของสมมติเราก็พยายามทำหน้าที่ของเราให้ดี เรามีหน้าที่อย่างไรเราก็ทำหน้าที่ของเราให้ดี ถ้าถึงวาระเวลาเขาก็จะเต็มเปี่ยมทางสมมติ แล้วก็ส่งผลถึงทางด้านจิตใจ ใจของเราก็จะสงบสะอาดสว่างได้เร็วได้ไว
แต่ละวันเราต้องรู้จักการชำระสะสางกิเลสออกจากใจของเรา ใจของเรามีความทะเยอทะยานทะยานอยากเราก็รู้จักดับความอยากเสีย บริหารด้วยสติบริหารด้วยปัญญา คนทั่วไปนั้น ทะเยอทะยานอยากด้วยอำนาจของกิเลส ความอยาก อยากจะได้อยากจะมีอยากจะเป็น อยากจะร่ำรวย สารพัดอย่าง
แต่ในหลักธรรมท่านให้ละความอยากละความหวัง แต่การเจริญสติการเจริญปัญญาเข้าไปทำหน้าที่ ความขยันหมั่นเพียรก็ไปทำหน้าที่แทน ทำหน้าที่อยู่ปัจจุบันให้ดีโดยที่ไม่ได้ทำด้วยความทะเยอทะยานอยาก ให้เกิดจากตัวใจตัวจิตของเรา การกระทำของเราดีผลงานก็ออกมาดีแต่เราไม่ได้ยึด เราทำเพื่อให้เกิดประโยชน์ ทำด้วยเหตุด้วยผล ด้วยสติด้วยปัญญา ยังสมมติให้เกิดประโยชน์เราก็พลอยได้รับประโยชน์อานิสงส์ของสมมติในสิ่งที่เราทำ แล้วก็พยายามทำให้ต่อเนื่อง การกระทำของเราก็ต้องถึงพร้อม การสำรวจ การสำรวมกายอินทรีย์ของเราอยู่ตลอดเวลา ตา ทวารทั้งหกของเราทำหน้าที่อย่างไร วิญญาณของเราทำหน้าที่อย่างไร
เป็นหน้าที่ของทุกคนเลยทีเดียวที่จะต้องศึกษาตัวเราเอง ไม่ใช่หน้าที่ของคนอื่น เราไม่เข้าใจแนวทางเราไม่เข้าใจวิธี วิธีแนวทางนั้นพระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบมาตั้งนานแล้ว ตั้ง 2,000 กว่าปี ท่านถึงได้เอามาเปิดเผยแล้วก็ชี้แนะอุบายวิธีแนวทางให้เดินถึงจุดหมายปลายทาง
การฝึกหัดปฏิบัติจะไปแสวงหานอกกายหาไม่เจอ หาธรรม ‘ตัวใจ’ นั่นแหละคือตัวธรรม แต่เวลานี้เขายังเกิดอยู่เขายังหลงอยู่ ถ้าเราแยกรูปแยกนามไม่ได้ สติปัญญาในทางโลกิยะเราก็จะว่าเราไม่หลง ถ้าเราไม่ได้เจริญสติหรือว่าสร้างความรู้สึกให้ต่อเนื่อง เราก็ว่าเรามีสติมีปัญญาอยู่ แต่เป็นสติปัญญาของโลกิยะ ไม่ใช่สติปัญญาของโลกุตระที่จะเข้าไปแยกเข้าไปคลาย เข้าไปทำความเข้าใจ แล้วก็รู้จักชำระสะสางกิเลสออกจากใจของเรา
ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาทุกเรื่องเลยทีเดียว ความทะเยอทะยานอยาก ความโกรธ ความโลภ ความยินดียินร้าย กิเลสหยาบกิเลสละเอียดที่มาปกปิดห่อหุ้มตัวใจของเราเอาไว้ เราก็ต้องพยายามขัดเกลา ไม่เห็นแก่ตัว ละความเห็นแก่ตัวออกจากใจของเรา ละความโลภด้วยการคลายด้วยการละ ละความโกรธด้วยการให้อภัย ทำในสิ่งตรงกันข้ามกับกิเลสที่เกิดขึ้นจากใจของเรา แล้วก็รู้จักดับ
แต่ละวันตื่นขึ้นมาเรามีความผิดชอบ เรามีความเสียสละ เรามีความอ่อนน้อมถ่อมตน เราต้องพยายามดำเนิน มีความรับผิดชอบ เป็นบุคคลที่มีความเป็นระเบียบกับตัวเรา หมั่นพร่ำสอนตัวเรา หมั่นพร่ำสอนกายหมั่นพร่ำสอนใจของเรา เราจะดำเนินอย่างไรไปอย่างไรมาอย่างไร ชีวิตของเราถึงจะมีความสุขทั้งสมมติทั้งวิมุตติ แต่อำนาจของกิเลสมันก็มาปิดบังเอาไว้ โมหะความไม่รู้ความหลงก็มาปกปิดเอาไว้ สารพัดอย่าง เราก็ต้องแก้ไขตัวเรา ถ้าเราไม่แก้ไขตัวเราไม่มีใครจะแก้ไขให้เราได้เลยนอกจากตัวของเราเอง
การทำบุญให้ทาน ทานทางด้านวัตถุทานพวกเรามีโอกาสได้ทำอยู่ตลอดเวลา หลวงพ่อก็พาทำอยู่ตลอดเวลา ทานภายนอกทานภายใน การกำจัดกิเลส เราต้องเพ่งโทษตัวเอง แก้ไขตัวเองปรับปรุงตัวเราเองอยู่ตลอดเวลา ไม่ใช่ว่าจะไปอยู่ที่โน้นฉันจะรู้ธรรมไปอยู่ที่นี้ฉันจะรู้ธรรม แต่การกระทำ การละ การปฏิบัติให้ถูกต้องถูกตรง ถ้ามันไม่มีก็ยากที่จะเข้าใจ
เพียงแค่การเจริญสติให้ต่อเนื่องก็ยังไม่ค่อยจะทำกัน ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ความรู้ตัวเป็นอย่างไร ความรู้ตัวที่ต่อเนื่องกันเป็นอย่างไร จะลุกจะก้าวจะเดินใจยังปกติดีอยู่หรือไม่ ทำกับข้าวกับปลา เข้าห้องส้วมห้องน้ำ ใจของเราเป็นอย่างไร
ปัญญาของโลกิยะมีทั้งร้อยก็คลายออกทั้งร้อย หนุนกำลังสติปัญญาเข้าไปวิเคราะห์จนเต็มรอบหมด จนเป็นปัญญาของโลกุตระ ใจยังเกิดอยู่เราก็ต้องดับ เพียงแค่เกิดนั้นเขาก็ปิดบังอำพรางตัวของเขาเอง เกิดยังไม่พอก็ยังไปหลงเอาความคิดหลงอารมณ์อยู่ ถ้าเราไม่คลายออกจากความคิด ออกจากอารมณ์หรือว่าแยกรูปแยกนามไม่ได้ เราก็จะไม่เข้าใจในคำสอนของพระพุทธองค์
คำสอนของท่านสอนเรื่องอัตตา คำว่าลักษณะของอัตตาเป็นอย่างไร ลักษณะของอนัตตาเป็นอย่างไร หลักของอริยสัจ ใจที่ส่งออกไปภายนอกเป็นอย่างไร นิวรณธรรมที่เป็นเครื่องกางกั้นใจของเราไม่ให้รับความสงบ หลายสิ่งหลายอย่างที่จะต้องศึกษาค้นคว้า ขอให้เรามีความเพียรอย่าไปท้อแท้ในชีวิต ล้มแล้วก็ลุกขึ้นมาใหม่ ล้มแล้วก็ลุกขึ้นมาใหม่แก้ไขปรับปรุงตัวเราเอง ทุกคนก็ไม่ปรารถนาที่จะให้ความทุกข์เกิดขึ้นที่ใจที่กายของตัวเราเอง ทุกคนก็ปรารถนาที่จะหาทางดับทุกข์ หาทางหลุดพ้นด้วยกันทั้งนั้น แต่จะถึงช้าหรือถึงเร็ว จะเข้าใจแนวทางหรือไม่เข้าใจแนวทาง ก็ขึ้นอยู่ความเพียรที่ถูกต้องของแต่ละบุคคล
ถ้าเราเข้าใจอยู่ที่ไหนก็เป็นการฝึกหัดปฏิบัติขัดเกลาตัวเราเองตลอดเวลา เราก็จะได้ฟังธรรมะของพระพุทธองค์อยู่ตลอดเวลา สติจะคอยตรวจสอบใจของเราตลอดเวลา รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส ก็จะเป็นอาจารย์คอยสอนเรา ตากระทบรูปใจของเราเป็นอย่างไร หูกระทบเสียงใจของเราเป็นอย่างไร ทวารกายของเราทำหน้าที่อย่างไร ตาเขาก็ทำหน้าที่ดูเราก็ห้ามไม่ได้ หูเขาก็ทำหน้าที่ฟังเราก็ห้ามไม่ได้ ซึ่งเป็นทางผ่านของรูปรสกลิ่นเสียงเข้าถึงตัววิญญาณ เราต้องไม่ให้ใจของเราเกิดความอยาก เกิดความยินดียินร้าย
ใหม่ๆ นี่เป็นการฝืนมากทีเดียว เพราะว่าจิตของปุถุชนคนทั่วไปนั้นชอบคิดชอบเที่ยวสารพัดอย่าง เขาก็หาเหตุหาผลมาแก้ต่างอยู่เหมือนกัน แต่กำลังสติปัญญาของเราก็หาเหตุหาผล ใจของเรารู้เห็นตามความเป็นจริง จนเขายอมรับความเป็นจริงได้นั่นแหละ แล้วก็ขัดเกลาละกิเลสออกจากใจได้นั่นแหละเขาถึงจะนิ่งได้ ก็ต้องพยายามกัน
สร้างความขยันมั่นเพียร เตรียมสร้างสะสมอานิสงส์ผลบุญของเราไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเต็มรอบ ความเสียสละของเราไม่เห็นแก่ตัว มีความขยันหมั่นเพียร มีความรับผิดชอบให้สูงยิ่งๆ ขึ้นไป สักวันหนึ่งเราคงจะเดินถึงจุดหมายปลายทาง ตราบใดที่เรายังตั้งใจเดินอยู่ เดินไม่ถึงจุดหมายปลายทางวันนี้ วันพรุ่งนี้เราต้องถึง ไม่ถึงวันพรุ่งนี้ มะรืนนี้ เดือนนี้เดือนหน้าปีหน้า ถ้ามันไม่ถึงเอาจริงๆ ก็จะไปต่อเอาภพหน้า เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างตราบใดที่ใจยังเกิดอยู่เขาก็ต้องเกิด เราก็ต้องแก้ไขจนกว่าจะดับความเกิดได้ ไม่ต้องกลับมาเกิดกันคือเข้าสู่ความสะอาด ความบริสุทธิ์ ความหลุดพ้นนั่นแหละ ถึงจะได้หยุดพักกัน
เอาล่ะ วันนี้หลวงพ่อก็เจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อ ทำความเข้าใจกันเอานะ
การสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ ผ่อนลมหายใจมายาวๆ อย่าไปบังคับ อย่าไปบังคับลมหายใจ อย่าไปเพ่ง ถ้าเพ่งสมองส่วนบนก็จะตึง ถ้าเราเอาตัวจิตหรือว่าตัววิญญาณของเราไปจดจ่ออยู่ที่ปลายจมูกของเราหน้าอกก็จะแน่น
เพียงแค่ให้เรามีความรู้สึกรับรู้ว่าสัมผัสของลมวิ่งเข้ากระทบปลายจมูกมีความรู้สึกรับรู้อยู่ ลมหายใจออกกระทบปลายจมูกมีความรู้สึกรับรู้อยู่ ให้เปรียบเสมือนกับนายประตูทวาร นั่งอยู่ตรงประตู รถยนต์คันไหนจะวิ่งเข้าก็รู้อยู่ รถคันไหนจะวิ่งออกก็รู้อยู่ พยายามฝึกให้รู้ให้ต่อเนื่องซึ่งเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ มีความรู้ตัวทั่วพร้อม ลึกลงไปเราก็จะรู้เท่าทันใจของเรา ถ้าเรารู้ไม่ทันตั้งแต่ต้นเหตุของการเกิดของใจ เราก็กระตุ้นความรู้สึกไปที่การหายใจเข้าออกใหม่
เพียงแค่เรื่องการหายใจเข้าออกพวกเราก็ขาดการสนใจในการสร้างความรู้ตัวที่จะเข้าไปรู้ให้ต่อเนื่อง ก็เลยพลาดโอกาสที่จะรู้ทรัพย์อันใหญ่ คือรู้ใจของเรา รู้จักขัดเกลารู้จักละกิเลส เราทุกคนมีบุญทุกคนมีอานิสงส์ถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ทุกคนก็มีบุญแต่เราก็อย่าไปรีบเร่ง พยายามสร้างแล้วก็ทำความเข้าใจไปเรื่อยๆ อาศัยความเพียรที่ต่อเนื่อง อาศัยความเพียร อาศัยการสังเกตอาศัยการวิเคราะห์
ผ่านกาลผ่านเวลา ทุกสิ่งทุกอย่าง ทำความเข้าใจ รอบรู้ในความคิด รอบรู้ในดวงจิต รอบรู้ในกองสังขารของเรา รอบรู้ในสมมติ เพียงแค่ระดับของสมมติเราก็พยายามทำหน้าที่ของเราให้ดี เรามีหน้าที่อย่างไรเราก็ทำหน้าที่ของเราให้ดี ถ้าถึงวาระเวลาเขาก็จะเต็มเปี่ยมทางสมมติ แล้วก็ส่งผลถึงทางด้านจิตใจ ใจของเราก็จะสงบสะอาดสว่างได้เร็วได้ไว
แต่ละวันเราต้องรู้จักการชำระสะสางกิเลสออกจากใจของเรา ใจของเรามีความทะเยอทะยานทะยานอยากเราก็รู้จักดับความอยากเสีย บริหารด้วยสติบริหารด้วยปัญญา คนทั่วไปนั้น ทะเยอทะยานอยากด้วยอำนาจของกิเลส ความอยาก อยากจะได้อยากจะมีอยากจะเป็น อยากจะร่ำรวย สารพัดอย่าง
แต่ในหลักธรรมท่านให้ละความอยากละความหวัง แต่การเจริญสติการเจริญปัญญาเข้าไปทำหน้าที่ ความขยันหมั่นเพียรก็ไปทำหน้าที่แทน ทำหน้าที่อยู่ปัจจุบันให้ดีโดยที่ไม่ได้ทำด้วยความทะเยอทะยานอยาก ให้เกิดจากตัวใจตัวจิตของเรา การกระทำของเราดีผลงานก็ออกมาดีแต่เราไม่ได้ยึด เราทำเพื่อให้เกิดประโยชน์ ทำด้วยเหตุด้วยผล ด้วยสติด้วยปัญญา ยังสมมติให้เกิดประโยชน์เราก็พลอยได้รับประโยชน์อานิสงส์ของสมมติในสิ่งที่เราทำ แล้วก็พยายามทำให้ต่อเนื่อง การกระทำของเราก็ต้องถึงพร้อม การสำรวจ การสำรวมกายอินทรีย์ของเราอยู่ตลอดเวลา ตา ทวารทั้งหกของเราทำหน้าที่อย่างไร วิญญาณของเราทำหน้าที่อย่างไร
เป็นหน้าที่ของทุกคนเลยทีเดียวที่จะต้องศึกษาตัวเราเอง ไม่ใช่หน้าที่ของคนอื่น เราไม่เข้าใจแนวทางเราไม่เข้าใจวิธี วิธีแนวทางนั้นพระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบมาตั้งนานแล้ว ตั้ง 2,000 กว่าปี ท่านถึงได้เอามาเปิดเผยแล้วก็ชี้แนะอุบายวิธีแนวทางให้เดินถึงจุดหมายปลายทาง
การฝึกหัดปฏิบัติจะไปแสวงหานอกกายหาไม่เจอ หาธรรม ‘ตัวใจ’ นั่นแหละคือตัวธรรม แต่เวลานี้เขายังเกิดอยู่เขายังหลงอยู่ ถ้าเราแยกรูปแยกนามไม่ได้ สติปัญญาในทางโลกิยะเราก็จะว่าเราไม่หลง ถ้าเราไม่ได้เจริญสติหรือว่าสร้างความรู้สึกให้ต่อเนื่อง เราก็ว่าเรามีสติมีปัญญาอยู่ แต่เป็นสติปัญญาของโลกิยะ ไม่ใช่สติปัญญาของโลกุตระที่จะเข้าไปแยกเข้าไปคลาย เข้าไปทำความเข้าใจ แล้วก็รู้จักชำระสะสางกิเลสออกจากใจของเรา
ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาทุกเรื่องเลยทีเดียว ความทะเยอทะยานอยาก ความโกรธ ความโลภ ความยินดียินร้าย กิเลสหยาบกิเลสละเอียดที่มาปกปิดห่อหุ้มตัวใจของเราเอาไว้ เราก็ต้องพยายามขัดเกลา ไม่เห็นแก่ตัว ละความเห็นแก่ตัวออกจากใจของเรา ละความโลภด้วยการคลายด้วยการละ ละความโกรธด้วยการให้อภัย ทำในสิ่งตรงกันข้ามกับกิเลสที่เกิดขึ้นจากใจของเรา แล้วก็รู้จักดับ
แต่ละวันตื่นขึ้นมาเรามีความผิดชอบ เรามีความเสียสละ เรามีความอ่อนน้อมถ่อมตน เราต้องพยายามดำเนิน มีความรับผิดชอบ เป็นบุคคลที่มีความเป็นระเบียบกับตัวเรา หมั่นพร่ำสอนตัวเรา หมั่นพร่ำสอนกายหมั่นพร่ำสอนใจของเรา เราจะดำเนินอย่างไรไปอย่างไรมาอย่างไร ชีวิตของเราถึงจะมีความสุขทั้งสมมติทั้งวิมุตติ แต่อำนาจของกิเลสมันก็มาปิดบังเอาไว้ โมหะความไม่รู้ความหลงก็มาปกปิดเอาไว้ สารพัดอย่าง เราก็ต้องแก้ไขตัวเรา ถ้าเราไม่แก้ไขตัวเราไม่มีใครจะแก้ไขให้เราได้เลยนอกจากตัวของเราเอง
การทำบุญให้ทาน ทานทางด้านวัตถุทานพวกเรามีโอกาสได้ทำอยู่ตลอดเวลา หลวงพ่อก็พาทำอยู่ตลอดเวลา ทานภายนอกทานภายใน การกำจัดกิเลส เราต้องเพ่งโทษตัวเอง แก้ไขตัวเองปรับปรุงตัวเราเองอยู่ตลอดเวลา ไม่ใช่ว่าจะไปอยู่ที่โน้นฉันจะรู้ธรรมไปอยู่ที่นี้ฉันจะรู้ธรรม แต่การกระทำ การละ การปฏิบัติให้ถูกต้องถูกตรง ถ้ามันไม่มีก็ยากที่จะเข้าใจ
เพียงแค่การเจริญสติให้ต่อเนื่องก็ยังไม่ค่อยจะทำกัน ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ความรู้ตัวเป็นอย่างไร ความรู้ตัวที่ต่อเนื่องกันเป็นอย่างไร จะลุกจะก้าวจะเดินใจยังปกติดีอยู่หรือไม่ ทำกับข้าวกับปลา เข้าห้องส้วมห้องน้ำ ใจของเราเป็นอย่างไร
ปัญญาของโลกิยะมีทั้งร้อยก็คลายออกทั้งร้อย หนุนกำลังสติปัญญาเข้าไปวิเคราะห์จนเต็มรอบหมด จนเป็นปัญญาของโลกุตระ ใจยังเกิดอยู่เราก็ต้องดับ เพียงแค่เกิดนั้นเขาก็ปิดบังอำพรางตัวของเขาเอง เกิดยังไม่พอก็ยังไปหลงเอาความคิดหลงอารมณ์อยู่ ถ้าเราไม่คลายออกจากความคิด ออกจากอารมณ์หรือว่าแยกรูปแยกนามไม่ได้ เราก็จะไม่เข้าใจในคำสอนของพระพุทธองค์
คำสอนของท่านสอนเรื่องอัตตา คำว่าลักษณะของอัตตาเป็นอย่างไร ลักษณะของอนัตตาเป็นอย่างไร หลักของอริยสัจ ใจที่ส่งออกไปภายนอกเป็นอย่างไร นิวรณธรรมที่เป็นเครื่องกางกั้นใจของเราไม่ให้รับความสงบ หลายสิ่งหลายอย่างที่จะต้องศึกษาค้นคว้า ขอให้เรามีความเพียรอย่าไปท้อแท้ในชีวิต ล้มแล้วก็ลุกขึ้นมาใหม่ ล้มแล้วก็ลุกขึ้นมาใหม่แก้ไขปรับปรุงตัวเราเอง ทุกคนก็ไม่ปรารถนาที่จะให้ความทุกข์เกิดขึ้นที่ใจที่กายของตัวเราเอง ทุกคนก็ปรารถนาที่จะหาทางดับทุกข์ หาทางหลุดพ้นด้วยกันทั้งนั้น แต่จะถึงช้าหรือถึงเร็ว จะเข้าใจแนวทางหรือไม่เข้าใจแนวทาง ก็ขึ้นอยู่ความเพียรที่ถูกต้องของแต่ละบุคคล
ถ้าเราเข้าใจอยู่ที่ไหนก็เป็นการฝึกหัดปฏิบัติขัดเกลาตัวเราเองตลอดเวลา เราก็จะได้ฟังธรรมะของพระพุทธองค์อยู่ตลอดเวลา สติจะคอยตรวจสอบใจของเราตลอดเวลา รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส ก็จะเป็นอาจารย์คอยสอนเรา ตากระทบรูปใจของเราเป็นอย่างไร หูกระทบเสียงใจของเราเป็นอย่างไร ทวารกายของเราทำหน้าที่อย่างไร ตาเขาก็ทำหน้าที่ดูเราก็ห้ามไม่ได้ หูเขาก็ทำหน้าที่ฟังเราก็ห้ามไม่ได้ ซึ่งเป็นทางผ่านของรูปรสกลิ่นเสียงเข้าถึงตัววิญญาณ เราต้องไม่ให้ใจของเราเกิดความอยาก เกิดความยินดียินร้าย
ใหม่ๆ นี่เป็นการฝืนมากทีเดียว เพราะว่าจิตของปุถุชนคนทั่วไปนั้นชอบคิดชอบเที่ยวสารพัดอย่าง เขาก็หาเหตุหาผลมาแก้ต่างอยู่เหมือนกัน แต่กำลังสติปัญญาของเราก็หาเหตุหาผล ใจของเรารู้เห็นตามความเป็นจริง จนเขายอมรับความเป็นจริงได้นั่นแหละ แล้วก็ขัดเกลาละกิเลสออกจากใจได้นั่นแหละเขาถึงจะนิ่งได้ ก็ต้องพยายามกัน
สร้างความขยันมั่นเพียร เตรียมสร้างสะสมอานิสงส์ผลบุญของเราไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเต็มรอบ ความเสียสละของเราไม่เห็นแก่ตัว มีความขยันหมั่นเพียร มีความรับผิดชอบให้สูงยิ่งๆ ขึ้นไป สักวันหนึ่งเราคงจะเดินถึงจุดหมายปลายทาง ตราบใดที่เรายังตั้งใจเดินอยู่ เดินไม่ถึงจุดหมายปลายทางวันนี้ วันพรุ่งนี้เราต้องถึง ไม่ถึงวันพรุ่งนี้ มะรืนนี้ เดือนนี้เดือนหน้าปีหน้า ถ้ามันไม่ถึงเอาจริงๆ ก็จะไปต่อเอาภพหน้า เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างตราบใดที่ใจยังเกิดอยู่เขาก็ต้องเกิด เราก็ต้องแก้ไขจนกว่าจะดับความเกิดได้ ไม่ต้องกลับมาเกิดกันคือเข้าสู่ความสะอาด ความบริสุทธิ์ ความหลุดพ้นนั่นแหละ ถึงจะได้หยุดพักกัน
เอาล่ะ วันนี้หลวงพ่อก็เจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อ ทำความเข้าใจกันเอานะ