หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2550 ลำดับที่ 018

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2550 ลำดับที่ 018
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
พระธรรมเทศนาโดย (Dhamma Talk by)
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2550 ลำดับที่ 018
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2550
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
ขอให้ญาติโยมเราทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความระลึกรู้สัมผัสของลมหายใจเข้าออกของตัวเรา ตามความเป็นจริง เราต้องพยายามน้อมเข้าไปสำรวจตั้งแต่ตื่นขึ้นมา นั่งตามสบายนะคุณโยม ไม่ต้องพนมมือ นั่งตามสบาย

ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียกสร้างความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเรา แม้แต่ลมหายใจเราก็ไม่บังคับ การสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ ก็เพื่อที่จะหยุดความคิด ดับอารมณ์ต่างๆ ความรู้สึกสัมผัสของลมที่วิ่งเข้ากระทบปลายจมูกก็จะเด่นชัด ความรู้สึกตรวจนั่นแหละ เขาเรียกว่า ‘สติ’

ทำอย่างไรถึงจะให้รู้สึกให้ต่อเนื่อง แล้วเราก็ต้องสร้างความรู้สึกขึ้นมา แล้วก็พยายามสร้างให้ต่อเนื่อง ถ้าพลั้งเผลอเราก็เริ่มใหม่ๆ จนกําลังความรู้ตัวตรงนี้แหละมีมาก เราก็จะรู้เท่าทันจิต รู้เท่าทันความคิด เวลาจิตเกิด ความรู้ตัวอยู่ปัจจุบันก็จะรู้ รู้ลักษณะของจิต ลึกลงไปรู้ลักษณะอาการของจิต เวลาเขาเกิดเขาก่อตัว เขาเริ่มก่อตัวอย่างไร เขาจะปรุงแต่งไปอย่างไร อันนี้สำหรับรู้ตัวจิตโดยตรง

ส่วนอาการของขันธ์ห้าที่จะผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิตนั้น เราก็รู้ พยายามสร้างความรู้สึกให้รู้ให้ทันเวลาเขาก่อตัวอย่างไร เขาเกิดอย่างไรจิตของเราจะเคลื่อนเข้าไปรวมเอง ถ้าเรารู้ทันตรงนั้นปุ๊บก็จะดีดตัว เขาจะแยกดีดออกจากอาการของความคิดตรงนั้น ก็จะเห็นเป็นคนละส่วนกัน จิตก็จะว่าง กายก็จะเบา อาการของความคิดก็จะเกิดๆ ดับๆ เกิดๆ ดับๆ นั่นแหละสภาวธรรม

ความไม่เที่ยงของขันธ์ห้า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เขาเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป จิตของเราเข้าไปร่วมเป็นตัวเดียวกัน จนเป็นสิ่งเดียวกัน จนเรารู้ว่าเราคิดเราทำทั้งที่จิตของเราก็ไปรวมอยู่กับอาการของความคิดนั้นเป็นสิ่งเดียวกัน อันนี้เป็นจุดละเอียดที่สุด โมหะ ตัวโมหะ ตัวความหลง หลงเข้าไปยึดว่าเป็นความคิดของตัวเอง

ยาก ถ้าเราไม่มีความเพียรที่ต่อเนื่องกันจริงๆ ก็ยาก แล้วก็มีศรัทธาสร้างตบะบารมีให้เต็มที่ บางคนก็รู้แล้วเห็นแล้ว แต่ยังขาดการตามทำความเข้าใจ เขาก็ซึมเข้าไปหา เขาก็เข้าไปร่วมกันเหมือนเดิม เราต้องตามทำความเข้าใจให้ได้ละเอียดทุกเรื่องในชีวิตประจำวันของเรา ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา

ทุกคนก็มีจิตฝักใฝ่ในบุญกุศลกัน สร้างอานิสงส์ สร้างบุญสร้างบารมีกันอยู่ตลอดเวลา อย่าพากันเกียจคร้าน จงพากันขยันหมั่นเพียร ถ้าเรารู้จักวิธีดู รู้จักแก้ไขตัวเอง มีไม่มากที่จะดู รู้กายรู้จิต รู้การกระทำ รู้สมมติรู้วิมุตติ รอบรู้ในโลก โลกภายนอกโลกธรรมแปด รอบรู้กองสังขารของตัวเราเอง รอบรู้ในทวารของเรา เขาทำหน้าที่อย่างไร รอบรู้ในดวงวิญญาณ หรือว่าดวงจิตของเราทำหน้าที่อย่างไร

เราต้องสร้างผู้รู้ หรือว่าสร้างสตินี่แหละ เข้ามาสํารวจเข้ามาตรวจตราดู สร้างบ่อยๆ น้อมเข้าไปดูอยู่บ่อยๆ บุคคลผู้รู้มีสติมีปัญญา เพียงแค่มองเห็นแนวทาง และก็สร้างความรู้ตัวเข้าไปสํารวจตรวจตราดูตัวเรา ไม่ให้จิตของเราเป็นทาสของอารมณ์ ไม่ให้จิตของเราเป็นทาสของกิเลส แม้แต่ความอยากแม้แต่นิดเดียวก็ไม่ให้เกิดขึ้นที่จิต ไม่ต้องไปเอาตัวใหญ่ๆ

อยากมีอยากเป็น อยากไปอยากมา ดับความอยาก อยากไม่เอา อยากเอาอยากไม่เอา จิตต้องหาความเป็นกลางของจิตให้เจอ สติไม่มี ความรู้สึกรู้ตัวไม่มีเราต้องสร้างขึ้นมา จิตของเราไม่สงบ เราก็ต้องควบคุมให้สงบ จิตของเราหลงอะไร เราก็ต้องสังเกตดูรู้ให้จิตของเราคลายคลายความหลง แล้วก็ทำความเข้าใจ แล้วก็ละกิเลส จากหยาบๆ ไปหาละเอียด

มันมีอะไรบ้าง พวกมลทินต่างๆ ที่เป็นเครื่องกางกั้นจิตของเราไม่ได้รับความสงบ จิตของเรามีความกำหนัดยินดีในราคะรูปรสกลิ่นเสียงหรือไม่ ขณะอยู่ปัจจุบันนี้เลย จิตของเรามีความอาฆาตพยาบาท เราก็พยายามอโหสิกรรม

ความระลึกรู้ตัวของเราพลั้งเผลอ เราก็พยายามเริ่มต้นขึ้นมาใหม่ ทำความเข้าใจให้เด่นชัด จิตของเรามีความฟุ้งซ่าน เราก็รู้จักดับฟุ้งซ่าน เรื่องอะไร วิตกวิจารณ์เรื่องอะไร เราก็รู้จักดับรู้จักแก้ จิตของเรามีความลังเลสงสัยในสิ่งต่างๆ หรือว่าทิฐิ ความคิดที่มันผุดขึ้นมาโต้แย้ง ทำไปแล้วจะได้อะไร จะรู้อะไร จะเห็นอะไร สารพัดอย่างที่มันผุดขึ้นมาปรุง เราก็ต้องพยายามดับ พยายามข่ม

ช่วงใหม่ๆ ก็อาจจะอึดอัด การฝึกหัดปฏิบัติจิต เพราะว่าความเคยชิน จิตของเรามันอิสระแบบโลกๆ ถ้าเรามาควบคุมเขา ใหม่ๆ เขาก็อึดอัด เขาก็หาทางหลีกเลี่ยงเหมือนกัน บางทีเขาก็หลอกตัวเอง จิตหลอกจิต ขันธ์ห้ามาหลอกจิต มันหลอกกันสลับซับซ้อน

จิตนี้ก็แปลก ถ้าไม่ได้ฝึกหัดปฏิบัติจริงๆ ไม่ขัดเกลาจริงๆ ยากที่เขาจะคลาย ขนาดเขาแยกได้แล้ว เราทำความเข้าใจจนถ่องแท้แล้ว เขาก็ยังหาโอกาสที่จะมาหลอกกันจนได้ เพราะว่าจิตกับขันธ์ห้า เขาอยู่ด้วยกันมาไม่รู้กี่กัปกี่กัลป์ ไม่ใช่เฉพาะมาอยู่กันแค่วันสองวัน แล้วก็มายึดติดในกายเนื้ออีก

ทำอย่างไรเราถึงจะเข้าใจในเรื่องอัตตา ในเรื่องอนัตตา ถ้าเราแยกรูปแยกนามได้ ตามดูได้ว่าจะเข้าใจอัตตาอนัตตา เข้าใจเรื่องสมมติ เข้าใจเรื่องวิมุตติ ก็จะมองเห็นทางทะลุโปร่ง สัมมาทิฐิก็จะเปิดทางให้ กิเลสมีเท่าไหร่ก็ขัดเกลาออกให้มันหมด ทำความเข้าใจกับสมมติกับวิมุตติ มีให้เป็นทำให้เป็นเอาให้เป็น

ไม่ใช่ว่าทำด้วยทิฐิทำด้วยมานะ ทำด้วยอำนาจของกิเลส อย่าพากันปล่อยวันเวลาทิ้งเสียดายเวลา เสียดายโอกาส พูดน้อยนอนน้อย ปฏิบัติให้มากๆ ทำความเข้าใจให้มากๆ ขณะที่เรายังมีกําลังอยู่ ถ้าเราหมดกําลังแล้ว เราก็จะทำอะไรไม่ได้ ทั้งภายนอกสมมติ เราก็ทำหน้าที่ของเราให้ดีเท่าที่จะทำได้ ทำเพื่อยังประโยชน์ของสมมติให้เกิดประโยชน์

ส่วนทรัพย์ภายในเราก็พยายามสร้างทำให้มีให้เกิดขึ้น ไม่เสียทีเสียเที่ยวที่ได้เกิดมา ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี ก็ต้องพยายามกันนะ พากันขยันหมั่นเพียรกัน สภาพของหลวงพ่อก็รู้สึกว่าจะเหนื่อยเหนื่อยลงทุกวันแล้ว สภาพกายก็เหนื่อย การเต้นของหัวใจมันก็เหนื่อย ทุกสิ่งทุกอย่างมันก็เริ่มจะใกล้จุดจบของเขาแล้วแหละ ก็ต้องประคับประคองดูแลเขาไปจนถึงวาระสุดท้ายของเขานั่นแหละ ไม่รู้จะไปได้ถึงวันไหนก็ไม่รู้

ขณะที่ยังมีกําลังกายอยู่นี้ ก็จะพยายามสร้างอานิสงส์ พาญาติโยมสร้างให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ มันก็สร้างมาตลอดนั่นแหละ ทั้งภายนอกภายใน ภายในก็ทำ ข้างนอกก็สร้างเพื่อยังให้เกิดประโยชน์ต่อสมมติต่อสังคมเท่าที่จะทำได้

ก็ให้พากันขยันหมั่นเพียร รู้จักช่วยกัน รู้จักแก้ไข มีอะไรก็ให้ช่วยกันทำ เพื่อที่พวกเรานั่นแหละได้รับความสงบได้รับความสุข คนอื่นมาก็ได้รับความสงบความสุข อย่าพากันเกียจคร้าน ให้พากันทำทุกสิ่งทุกอย่าง หลวงพ่อก็ดีใจ ภูมิใจด้วยที่ทุกคนก็ขยันหมั่นเพียรกัน รู้จักหน้าที่ รู้จักรับผิดชอบ ไปอยู่ที่ไหนก็จะมีตั้งแต่ความสุขความเจริญ ไม่เป็นบุคคลที่เก้อเขิน เป็นบุคคลที่กล้าหาญในสิ่งที่ควรกล้าหาญ ละอายในสิ่งที่ควรละอาย ก็ต้องพยายามดำเนินกันต่อไป

เอาล่ะ วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างต่อ ทำความเข้าใจกันเอานะ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง