หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551 ลำดับที่ 053

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551 ลำดับที่ 053
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
พระธรรมเทศนาโดย (Dhamma Talk by)
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551 ลำดับที่ 053
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
ขอให้ญาติโยมเราทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจเข้าออกของตัวเราเองให้ต่อเนื่องกัน วางกายให้สบาย ทำใจให้สบาย ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ ให้ทั่วท้อง แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ

อย่าไปบังคับลมหายใจ การสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ กายของเราก็สงบตั้งมั่นขึ้น สบายขึ้น สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเรา เรามีความรู้สึกรับรู้อยู่ นั่นแหละให้เราพยายามสร้างความรู้สึกให้ต่อเนื่อง ความรู้สึกตัวทั่วพร้อม

ต่อไปข้างหน้าก็รู้ลักษณะของจิต รู้ลักษณะอาการของความคิด ขอให้เราทำความเข้าใจ แล้วก็เจริญสติให้ต่อเนื่องให้ได้ก็เพียงพอ ถ้ากำลังสติของเราต่อเนื่องเราก็จะรู้อะไรอีกเยอะ ส่วนมากจะไม่ค่อยอยากเจริญสติกันเท่าไร มีตั้งแต่ไปนึกเอาไปคิดเอา อันนั้นมันก็ถูกอยู่ในระดับของสมมติเท่านั้นเอง แต่ยังไม่ใช่ในระดับของหลักธรรม

ในหลักธรรมแล้ว ความรู้ตัวไม่มีเราต้องสร้างขึ้นมา แล้วก็พยายามสร้างให้ต่อเนื่อง แล้วก็เอาไปทำความเข้าใจกับจิต ลักษณะของจิต จิตที่สงบปราศจากกิเลสเป็นอย่างไร คำว่าปกติเป็นอย่างไร เข้าไปทำความเข้าใจกับอาการของขันธ์ห้าที่ผุดขึ้นมา จิตของเราเคลื่อนเข้าไปรวมได้อย่างไร ตรงนี้แหละอวิชชาโมหะ จิตของเราไปหลง

ถ้าเราสังเกตทันเมื่อไหร่ จิตของเราจะดีดออกซึ่งเรียกว่าแยก ‘แยกรู้แยกนาม’ จิตของเราก็จะหงาย เขาเรียกว่า ‘หงายของที่คว่ำ’ ก็จะโล่งก็จะโปร่งก็จะเบา เราก็จะเข้าใจคำว่า ‘อัตตากับอนัตตา’ ทันที เราก็จะเห็นรูปกับนาม กายของเรานี้ก้อนรูป ส่วนความคิดนั้นเป็นฝ่ายนามธรรม ก้อนรูปของเรานี้ก็อยู่ในอาการของขันธ์ห้าอยู่ขันธ์หนึ่ง นามธรรมที่เขาเกิดๆ ดับๆ นั้นก็อยู่ในอาการของขันธ์ห้าซึ่งเป็นฝ่ายนามธรรม

เราต้องหัดสังเกต หัดวิเคราะห์ หัดสำรวจ หัดทำความเข้าใจ เป็นคนขยันหมั่นเพียรตลอดเวลา ถ้าคนเราฝึกหัดปฏิบัติจิตของตัวเองแล้วเป็นคนเกียจคร้านรับรองยากที่จะเข้าใจ ต้องเป็นคนขยัน ขยันทั้งภายนอกขยันภายใน ขยันทำความเข้าใจรู้จักขวนขวายในสิ่งที่ถูก ไม่ปล่อยปละละเลย สมมติภายนอกเราก็ทำให้เรียบร้อย ให้ดีก็ จะส่งถึงวิมุตติส่งผลถึงทางด้านจิตใจ

ที่พักที่อาศัยความเป็นอยู่ของเรา การศึกษาการเล่าเรียนการทำความเข้าใจ รู้ลึกถึงความหมาย ความหมายภาษาธรรมภาษาโลก ลักษณะอาการต่างๆ เราต้องเก็บรายละเอียด ความคิดเล็กๆ น้อยๆ ความอยากเล็กๆ น้อยๆ พวกนิวรณรรมต่างๆ มลทินต่างๆ เขาเกิดอย่างไร จะเอาตั้งแต่ธรรมแต่ไม่รู้จัก จะเอาอย่างไรไปอย่างไร ไปฝึกก็ไปฝึกอย่างนั้นแหละ ความรู้ตัวทั่วพร้อมเป็นลักษณะอย่างไร ก็ยังไม่ได้สร้างขึ้นมาให้ต่อเนื่อง

เราต้องสร้างให้ต่อเนื่อง ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ความรู้ตัวหรือว่าสติของเราพลั้งเผลอไปสักกี่เที่ยว จิตของเราส่งออกไปภายนอกสักกี่เรื่อง เป็นกุศลหรือว่าอกุศล มีความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิตของเราสักกี่เที่ยว เราดับได้ไหมเราควบคุมได้ไหม

เพียงแค่เราเจริญสติให้ต่อเนื่องก็ยังไม่ทำให้ต่อเนื่องกัน นานๆ ทีถึงจะระลึกได้ที มันก็เลยไม่ทัน บางทีจิตก็เป็นบุญอยู่จิตก็สงบอยู่ จิตที่สงบถ้ายังแยกยังคลายไม่ได้ก็เปรียบเสมือนกับขันที่ยังคว่ำอยู่ ถ้าแยกคลายได้ก็เพียงแค่เริ่มต้นเท่านั้นเอง เริ่มต้นวิปัสสนา คือความรู้แจ้งเห็นจริง สัมมาทิฏฐิในข้อแรก ความรู้จริงเห็นจริงก็จะเปิดทางให้

ถ้าเราขาดตามทำความเข้าใจอีก เขาก็จะซึมเข้าสู่สภาพเดิมอีก กิเลสมารต่างๆ ไม่ใช่ว่าจะหักล้างกันได้ง่ายๆ เราก็ต้องพยายามหาเหตุหาผล ตามทำความเข้าใจ จนจิตของเรารู้เห็นตามความเป็นจริง ทุกสิ่งทุกอย่างนั่นแหละ เขาถึงจะยอมรับความเป็นจริงได้

จิตนี้ก็แปลก ถ้าไม่ได้ฝึกหัดปฏิบัติขัดเกลา รู้จักอดรู้จักข่ม รู้จักให้อภัยทาน มันก็ยากที่จะหยุดยากที่จะคลายได้ เพราะว่าเขาอยู่รวมกันมาไม่รู้ว่ากี่ภพกี่กัปกี่กัลป์ เราต้องพยายามสร้างตบะบารมีของเราให้เต็มเปี่ยม ศรัทธาของเรามีความเต็มเปี่ยมหรือไม่ ความเสียสละอย่างยิ่งยวด เสียสละกิเลสจากหยาบๆ ไปหาละเอียด มีสัจจะกับตัวเราเอง มีความเพียร มีความอ่อนน้อมถ่อมตน มีความกตัญญูกตเวที มองโลกในทางที่ดีคิดดี

แล้วก็การเจริญสติ การสำรวจ การทำความเข้าใจของเราก็ต้องมีอยู่ตลอดเวลา ไม่ใช่ว่าจะไปเที่ยวให้ตั้งแต่คนโน้นเขาพร่ำสอนคนนี้เขาพร่ำสอน เราต้องพร่ำสอนตัวเราเองตลอดเวลาตั้งแต่ตื่นขึ้นมา จะทำอะไรไม่ให้จิตของเราเกิดความอยาก ทุกเรื่อง เกิดความทะเยอทะยานอยาก ทุกคน จิตทุกดวงนี่ตั้งความหวังเอาไว้ ทั้งอยากด้วยทั้งหวังด้วย มันทุกข์อยู่ในตัวแล้ว

ในหลักธรรมนั้น ท่านให้ละความอยากละหวังออกให้มันหมด ให้ทำด้วยสติทำด้วยปัญญา ทำด้วยเหตุด้วยผล แล้วก็รู็จักรับผิดชอบด้วยเหตุด้วยผล รู้จักบริหารด้วยเหตุผล ด้วยสติด้วยปัญญาที่แท้จริง มันถึงจะถูก

จะทำมากทำน้อยก็เป็นเรื่องของปัญญา ไม่ใช่ว่าเกิดจากความทะเยอทะยานอยากของตัวจิต เกิดจากความทะเยอทะยานอยากจากจิต ทั้งเกิดด้วย ทั้งยึดด้วย ทั้งหลงด้วย หลงขันธ์ห้าก็ยังไม่พอ ไปหลงเอาทุกสิ่งทุกอย่างอีก

ในการทำวัตรสวดมนต์ ขันธ์ห้าเป็นของหนัก ทำไมถึงหนัก เราแยกแยะสังเกต จนจิตแยกออกจากขันธ์ห้าได้เราถึงจะรู้ว่าขันธ์ห้าหนัก ถ้าแยกได้มันก็จะเบาก็จะโล่ง เดินเหินเหมือนกับจะเหาะเลยทีเดียว แต่กายสมมติก็มีอยู่ อันนี้ก็เพียงเล่าให้ฟังเท่านั้นแหละ พวกท่านจงพากันไปเก็บรายละเอียด

การสร้างความรู้ตัวเป็นลักษณะอย่างนี้ สติความรู้ตัวของเราพลั้งเผลอเป็นลักษณะอย่างนี้ จิตของเราเกิดความกังวลเกิดความฟุ้งซ่านเราก็รู้จักดับ ถ้าเราเอาจริงๆ แล้วไม่เหลือวิสัยหรอก เราก็พยายามทำไปเรื่อยๆ

อย่าไปเกียจคร้าน อย่าไปพลั้งเผลอ กิเลสมารก็คอยเล่นงานเราตลอดเวลานั่นแหละ ถ้าพลั้งเผลอเมื่อไหร่มันก็เล่นเอาๆ มันก็เล่นงานตั้งแต่เราลงมือปฏิบัตินั่นแหละ เราไม่เข้าใจ ในรายละเอียดมันก็ยาก ก็ต้องพยายามเอา

ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี ต้องสอนตัวเองให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น อย่าไปเกียจคร้าน รู้จักรับผิดชอบทั้งภายนอกทั้งภายใน มีความเสียสละอยู่ตลอดเวลา ก็ต้องพยายามกันนะ

เอาล่ะ วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอา

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง