หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551 ลำดับที่ 038
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551 ลำดับที่ 038
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
ขอให้ญาติโยมเราทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกของตัวเราเองให้ต่อเนื่องกัน เรามีความรู้ตัวที่ต่อเนื่องกันตั้งแต่ตื่นขึ้นมาแล้วหรือยัง
การเจริญสติ ความหมายของการสร้างความรู้ตัวก็เพื่อที่จะรู้เท่าทันจิต รู้เท่าทันความคิด รอบรู้ในกองสังขารของตัวเราเองนั่นแหละ คำว่ากองสังขารคืออารมณ์ของความนึกคิดปรุงแต่ง เขาเกิดอย่างไร จิตของเราเข้าไปหลงเข้าไปร่วมได้อย่างไร อะไรคือส่วนรูปธรรม อะไรคือส่วนนามธรรมที่เขาเกิดๆ ดับๆ
เพียงแค่การสร้างความรู้ตัวตั้งแต่ตื่นขึ้นมา พวกเราก็ยังไม่ได้สร้างกันเลย น้อยคนที่จะสนใจ กว่าจะได้ระลึกได้ทีก็นานๆ ที จิตเกิดความทุกข์ทีถึงจะเข้าไปดับเข้าไปดูเข้าไปรู้ ไม่ทันหรอก จิตปกติก็รู้ว่าปกติ จิตก่อตัวจิตเกิดก็รู้ เราก็รู้จักดับ ความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิต เราก็หัดสังเกตดู เขาเกิดอย่างไร จิตของเราเคลื่อนเข้าไปรวมได้อย่างไร
ทำความเข้าใจกับโลก โลกภายนอก โลกธรรมแปด ลาภยศสรรเสริญ สุขทุกข์นินทาต่างๆ เสื่อมลาภเสื่อมยศต่างๆ เราก็ต้องดู กายของเราทำหน้าที่อย่างไร คำว่าขันธ์ห้ามีอะไรบ้าง ทำไมท่านถึงเรียกว่าขันธ์ห้า ที่พระพุทธองค์ท่านว่า ‘ขันธ์ห้าเป็นของหนัก’ ขันธ์ห้านี่เป็นกองๆ แต่มันทำไมถึงรวมเป็นอันเดียวกัน เป็นรูปร่างกายของเรา ทำไมท่านถึงว่าเป็นกองๆ นี่แหละ เราต้องเจริญสติ สร้างความรู้ตัวเข้าไปสังเกต เข้าไปวิเคราะห์ เข้าไปแยก
เหมือนกับเชือก เรามองเห็นเป็นเส้นเดียว เชือกเส้นใหญ่ๆ เรามองเห็นเป็นเส้นเดียว ถ้าเราจับฉีกออกมาก็จะออกมาเป็นเกลียวใครเกลียวมัน มีอยู่ 5 เกลียว แต่ถ้าเรามองเห็นในภาพรวมคือเชือกเส้นใหญ่ กายของเราก็เหมือนเชือกนั่นแหละ ถ้าเราเจริญสติ สร้างความรู้ตัวเข้าไปสังเกต เข้าไปวิเคราะห์ เข้าไปรู้เห็นการเกิดการดับของความคิดของขันธ์ห้า เข้าไปรู้เห็นความว่างความสงบ ลักษณะของจิต ฐานของจิต เราก็จะเห็นเหมือนกับเกลียวเชือกนั่นแหละ เป็นกองใครกองมันอยู่
เราขาดการสังเกต ขาดการแยก เราก็เลยมองรู้ว่า คิดเราก็รู้ ทำเราก็รู้ มันรู้อยู่ในภาพรวมเท่านั้นเอง ทั้งที่จิตของทุกคนก็เป็นบุญอยู่ เป็นบุญเป็นกุศลบ้าง แต่ละวันตื่นขึ้นมาอยากจะสร้างบุญสร้างอานิสงส์ให้กับตัวเอง จะสร้างได้มากสร้างได้น้อย สร้างได้ถูกทางผิดทาง ถ้าสร้างผิดทางนี่ก็ห่างไกลดวงจิต ถ้าสร้างถูกทางก็ใกล้ดวงจิตเข้าไป เราจะไปเร่งก็ไม่ได้ หมั่นสังเกต หมั่นวิเคราะห์ หมั่นสร้างบารมี หมั่นสะสมอานิสงส์ อบรมสติปัญญาของตัวเราเองอยู่ตลอดเวลา
ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา อย่าให้คนอื่นบังคับ เราต้องบังคับตัวเองแก้ไขตัวเอง การสร้างความรู้ตัว การเจริญสติที่ต่อเนื่องกันเป็นลักษณะอย่างนี้ แม้ตั้งแต่ความพลั้งเผลอของสติ เราก็ต้องพยายามสร้างให้ต่อเนื่อง
ความปกติของกาย ความปกติของจิต จิตไม่เกิดก็รู้ว่าจิตไม่เกิด จิตปกติก็รู้ว่าปกติ เวลาตากระทบรูปจิตยังปกติ หูกระทบเสียงจิตยังปกติ จะลุกจะก้าวจะเดิน เอาตั้งแต่ตื่นขึ้นมา สติจะพลั้งเผลอ ช่วงใหม่ๆ ความรู้ตัวจะพลั้งเผลอ เราก็ต้องพยายามสร้างขึ้นมาๆ เพียงแค่สร้างกับประคับประคองความรู้ตัวให้ได้ให้ต่อเนื่อง ไม่ต้องไปกังวลว่าจะไม่ได้คิด ไม่ต้องไปกังวลว่าจะไม่ได้มีปัญญา ไม่ต้องไปกังวลว่าจะไม่รู้ไม่เห็น เพียงแค่เราสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่อง
ส่วนการก่อตัวของจิต การก่อตัวของขันธ์ห้านั้น เขามีอยู่ประจำ เขาเกิดไม่รู้ว่ากี่ภพกี่ชาติแล้ว กี่กัปกี่กัลป์แล้ว เรารู้ต้นเหตุไม่ทันเราก็ดับ ดับขณะที่เขาเกิดนั่นแหละ เราอาจจะดับได้ช่วงต้นช่วงกลางช่วงปลาย เขาเรียกว่า ‘สมถะ’ ขณะลืมตาอยู่นี่แหละ
ยืนเดินนั่งนอนให้เป็นเพียงแค่อิริยาบถ แล้วก็ทำความเข้าใจกับลักษณะภาษาธรรม สักแต่ว่าดูสักแต่ว่ารู้สักแต่ว่าฟังเป็นอย่างไร พรหมวิหารความเมตตาเป็นอย่างไร มองโลกในทางที่ดีคิดดี การกระทำของเราก็ต้องถึงพร้อม ถึงจะเกิดประโยชน์
ไม่ใช่ว่าไปเที่ยวให้คนนั้นสอน ไปเที่ยวให้คนนี้สอน เราต้องสอนตัวเอง แก้ไขตัวเองอยู่ตลอดเวลา ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา เราไม่เข้าใจเราถึงแสวงหาสถานที่ แสวงหาครูบาอาจารย์ ถ้าเรารู้จักวิธีการเจริญสติแล้ว เราก็พยายามสร้าง เราจะไปให้คนอื่นสร้างแทนก็ไม่ได้ เราต้องสร้างเองทำเอง
เรารู้ไม่ทันต้นเหตุเราก็ดับ ดับแล้วก็ว่างๆ สังเกตใหม่ ถ้าเราทำอย่างนี้อยู่เรื่อยๆ จนให้เกิดความเคยชิน มีตั้งแต่ความต่อเนื่องกัน ความเสียสละ บารมี ศรัทธาของเรามีเต็มที่เต็มเปี่ยมหรือไม่ ความเสียสละของเรายิ่งยวดหรือไม่ ในหลักธรรมนั้นท่านให้คลายออกให้หมด ถ้ามีร้อยเปอร์เซ็นต์ก็ต้องคลายออกทั้งร้อยเปอร์เซ็นต์ มีปัญญาเต็มร้อยเต็มพัน เราก็ต้องเอาออกให้หมด ให้เหลืออยู่ที่ฐานเดิม คือความว่าง ความบริสุทธิ์
แต่สภาพจิตของทุกคน ปัญญาเก่า ทิฏฐิ ความคิดเห็นเก่าๆ มันเยอะ แล้วก็ขันธมารหรือว่าขันธ์ห้ามันก็ไม่ยอมเหมือนกัน กำลังฝ่ายไหนจะมาก กำลังฝ่ายกุศลกับฝ่ายอกุศล กับการสร้างตบะบารมี ความอดทนอดกลั้น สัจจะ วิริยะความเพียร ไม่เอารัดเอาเปรียบคนอื่น มีความเมตตา มีความอ่อนน้อมถ่อมตน รู้จักสำรวมกายอินทรีย์ของตัวเองอยู่ตลอดเวลา
ถ้าเราหมั่นวิเคราะห์หมั่นพิจารณาดูอยู่อย่างนี้ สักวันหนึ่งเราก็คงจะเดินถึงจุดหมายปลายทาง งานภายนอกเราก็ทำให้ดีที่สุด งานภายในเราก็พยายามชำระสะสางกิเลส เอาออกให้มันหมด คลายออกให้มันหมด จนจิตไม่มีการไปไม่มีการมา ไม่มีการเกิด มีตั้งแต่สติปัญญาไปเกิดแทน ไปทำหน้าที่แทน
เราก็จะมองเห็นทาง ยิ่งเราแยกจิตออกจากความคิด หรือว่าแยกรูปแยกนามได้เมื่อไหร่นั่นแหละ วิปัสสนาจะเปิดทางให้ สัมมาทิฏฐิความรู้แจ้งเห็นจริงจะเปิดทาง ไม่ใช่ว่าไปนึกเอาไปคิดเอา ว่าจะเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ ถ้าเรารู้เราเห็นแล้ว กำลังความรู้ตัวของเราก็จะเพิ่มเป็นทวีคูณ
ถ้าเราเกียจคร้านในการทำความเข้าใจ ในการตามดู ในการตามละ เขาก็จะซึมเข้าสู่สภาพเดิม จิตของแต่ละดวงนี้ถ้าไม่มีความขยันหมั่นเพียรจริงๆ ก็ยากที่จะเข้าใจ แม้ตั้งแต่ความอยากแม้แต่นิดเดียว ไม่ต้องไปเอาตัวโตๆ หรอก อยากคิด อยากมาอยากมี อยากเป็นอยากไป ไม่อยากมาไม่อยากมี ไม่อยากเป็นไม่อยากไป เราก็ต้องดับ ปรับสภาพให้จิตรับรู้ เพราะว่าเขาเป็นธาตุรู้ แต่เวลานี้เขายังหลง ทั้งหลงด้วยทั้งเกิดด้วย สารพัดอย่าง ก็ต้องพยายามกันนะ
เอาล่ะ วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอา
การเจริญสติ ความหมายของการสร้างความรู้ตัวก็เพื่อที่จะรู้เท่าทันจิต รู้เท่าทันความคิด รอบรู้ในกองสังขารของตัวเราเองนั่นแหละ คำว่ากองสังขารคืออารมณ์ของความนึกคิดปรุงแต่ง เขาเกิดอย่างไร จิตของเราเข้าไปหลงเข้าไปร่วมได้อย่างไร อะไรคือส่วนรูปธรรม อะไรคือส่วนนามธรรมที่เขาเกิดๆ ดับๆ
เพียงแค่การสร้างความรู้ตัวตั้งแต่ตื่นขึ้นมา พวกเราก็ยังไม่ได้สร้างกันเลย น้อยคนที่จะสนใจ กว่าจะได้ระลึกได้ทีก็นานๆ ที จิตเกิดความทุกข์ทีถึงจะเข้าไปดับเข้าไปดูเข้าไปรู้ ไม่ทันหรอก จิตปกติก็รู้ว่าปกติ จิตก่อตัวจิตเกิดก็รู้ เราก็รู้จักดับ ความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิต เราก็หัดสังเกตดู เขาเกิดอย่างไร จิตของเราเคลื่อนเข้าไปรวมได้อย่างไร
ทำความเข้าใจกับโลก โลกภายนอก โลกธรรมแปด ลาภยศสรรเสริญ สุขทุกข์นินทาต่างๆ เสื่อมลาภเสื่อมยศต่างๆ เราก็ต้องดู กายของเราทำหน้าที่อย่างไร คำว่าขันธ์ห้ามีอะไรบ้าง ทำไมท่านถึงเรียกว่าขันธ์ห้า ที่พระพุทธองค์ท่านว่า ‘ขันธ์ห้าเป็นของหนัก’ ขันธ์ห้านี่เป็นกองๆ แต่มันทำไมถึงรวมเป็นอันเดียวกัน เป็นรูปร่างกายของเรา ทำไมท่านถึงว่าเป็นกองๆ นี่แหละ เราต้องเจริญสติ สร้างความรู้ตัวเข้าไปสังเกต เข้าไปวิเคราะห์ เข้าไปแยก
เหมือนกับเชือก เรามองเห็นเป็นเส้นเดียว เชือกเส้นใหญ่ๆ เรามองเห็นเป็นเส้นเดียว ถ้าเราจับฉีกออกมาก็จะออกมาเป็นเกลียวใครเกลียวมัน มีอยู่ 5 เกลียว แต่ถ้าเรามองเห็นในภาพรวมคือเชือกเส้นใหญ่ กายของเราก็เหมือนเชือกนั่นแหละ ถ้าเราเจริญสติ สร้างความรู้ตัวเข้าไปสังเกต เข้าไปวิเคราะห์ เข้าไปรู้เห็นการเกิดการดับของความคิดของขันธ์ห้า เข้าไปรู้เห็นความว่างความสงบ ลักษณะของจิต ฐานของจิต เราก็จะเห็นเหมือนกับเกลียวเชือกนั่นแหละ เป็นกองใครกองมันอยู่
เราขาดการสังเกต ขาดการแยก เราก็เลยมองรู้ว่า คิดเราก็รู้ ทำเราก็รู้ มันรู้อยู่ในภาพรวมเท่านั้นเอง ทั้งที่จิตของทุกคนก็เป็นบุญอยู่ เป็นบุญเป็นกุศลบ้าง แต่ละวันตื่นขึ้นมาอยากจะสร้างบุญสร้างอานิสงส์ให้กับตัวเอง จะสร้างได้มากสร้างได้น้อย สร้างได้ถูกทางผิดทาง ถ้าสร้างผิดทางนี่ก็ห่างไกลดวงจิต ถ้าสร้างถูกทางก็ใกล้ดวงจิตเข้าไป เราจะไปเร่งก็ไม่ได้ หมั่นสังเกต หมั่นวิเคราะห์ หมั่นสร้างบารมี หมั่นสะสมอานิสงส์ อบรมสติปัญญาของตัวเราเองอยู่ตลอดเวลา
ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา อย่าให้คนอื่นบังคับ เราต้องบังคับตัวเองแก้ไขตัวเอง การสร้างความรู้ตัว การเจริญสติที่ต่อเนื่องกันเป็นลักษณะอย่างนี้ แม้ตั้งแต่ความพลั้งเผลอของสติ เราก็ต้องพยายามสร้างให้ต่อเนื่อง
ความปกติของกาย ความปกติของจิต จิตไม่เกิดก็รู้ว่าจิตไม่เกิด จิตปกติก็รู้ว่าปกติ เวลาตากระทบรูปจิตยังปกติ หูกระทบเสียงจิตยังปกติ จะลุกจะก้าวจะเดิน เอาตั้งแต่ตื่นขึ้นมา สติจะพลั้งเผลอ ช่วงใหม่ๆ ความรู้ตัวจะพลั้งเผลอ เราก็ต้องพยายามสร้างขึ้นมาๆ เพียงแค่สร้างกับประคับประคองความรู้ตัวให้ได้ให้ต่อเนื่อง ไม่ต้องไปกังวลว่าจะไม่ได้คิด ไม่ต้องไปกังวลว่าจะไม่ได้มีปัญญา ไม่ต้องไปกังวลว่าจะไม่รู้ไม่เห็น เพียงแค่เราสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่อง
ส่วนการก่อตัวของจิต การก่อตัวของขันธ์ห้านั้น เขามีอยู่ประจำ เขาเกิดไม่รู้ว่ากี่ภพกี่ชาติแล้ว กี่กัปกี่กัลป์แล้ว เรารู้ต้นเหตุไม่ทันเราก็ดับ ดับขณะที่เขาเกิดนั่นแหละ เราอาจจะดับได้ช่วงต้นช่วงกลางช่วงปลาย เขาเรียกว่า ‘สมถะ’ ขณะลืมตาอยู่นี่แหละ
ยืนเดินนั่งนอนให้เป็นเพียงแค่อิริยาบถ แล้วก็ทำความเข้าใจกับลักษณะภาษาธรรม สักแต่ว่าดูสักแต่ว่ารู้สักแต่ว่าฟังเป็นอย่างไร พรหมวิหารความเมตตาเป็นอย่างไร มองโลกในทางที่ดีคิดดี การกระทำของเราก็ต้องถึงพร้อม ถึงจะเกิดประโยชน์
ไม่ใช่ว่าไปเที่ยวให้คนนั้นสอน ไปเที่ยวให้คนนี้สอน เราต้องสอนตัวเอง แก้ไขตัวเองอยู่ตลอดเวลา ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา เราไม่เข้าใจเราถึงแสวงหาสถานที่ แสวงหาครูบาอาจารย์ ถ้าเรารู้จักวิธีการเจริญสติแล้ว เราก็พยายามสร้าง เราจะไปให้คนอื่นสร้างแทนก็ไม่ได้ เราต้องสร้างเองทำเอง
เรารู้ไม่ทันต้นเหตุเราก็ดับ ดับแล้วก็ว่างๆ สังเกตใหม่ ถ้าเราทำอย่างนี้อยู่เรื่อยๆ จนให้เกิดความเคยชิน มีตั้งแต่ความต่อเนื่องกัน ความเสียสละ บารมี ศรัทธาของเรามีเต็มที่เต็มเปี่ยมหรือไม่ ความเสียสละของเรายิ่งยวดหรือไม่ ในหลักธรรมนั้นท่านให้คลายออกให้หมด ถ้ามีร้อยเปอร์เซ็นต์ก็ต้องคลายออกทั้งร้อยเปอร์เซ็นต์ มีปัญญาเต็มร้อยเต็มพัน เราก็ต้องเอาออกให้หมด ให้เหลืออยู่ที่ฐานเดิม คือความว่าง ความบริสุทธิ์
แต่สภาพจิตของทุกคน ปัญญาเก่า ทิฏฐิ ความคิดเห็นเก่าๆ มันเยอะ แล้วก็ขันธมารหรือว่าขันธ์ห้ามันก็ไม่ยอมเหมือนกัน กำลังฝ่ายไหนจะมาก กำลังฝ่ายกุศลกับฝ่ายอกุศล กับการสร้างตบะบารมี ความอดทนอดกลั้น สัจจะ วิริยะความเพียร ไม่เอารัดเอาเปรียบคนอื่น มีความเมตตา มีความอ่อนน้อมถ่อมตน รู้จักสำรวมกายอินทรีย์ของตัวเองอยู่ตลอดเวลา
ถ้าเราหมั่นวิเคราะห์หมั่นพิจารณาดูอยู่อย่างนี้ สักวันหนึ่งเราก็คงจะเดินถึงจุดหมายปลายทาง งานภายนอกเราก็ทำให้ดีที่สุด งานภายในเราก็พยายามชำระสะสางกิเลส เอาออกให้มันหมด คลายออกให้มันหมด จนจิตไม่มีการไปไม่มีการมา ไม่มีการเกิด มีตั้งแต่สติปัญญาไปเกิดแทน ไปทำหน้าที่แทน
เราก็จะมองเห็นทาง ยิ่งเราแยกจิตออกจากความคิด หรือว่าแยกรูปแยกนามได้เมื่อไหร่นั่นแหละ วิปัสสนาจะเปิดทางให้ สัมมาทิฏฐิความรู้แจ้งเห็นจริงจะเปิดทาง ไม่ใช่ว่าไปนึกเอาไปคิดเอา ว่าจะเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ ถ้าเรารู้เราเห็นแล้ว กำลังความรู้ตัวของเราก็จะเพิ่มเป็นทวีคูณ
ถ้าเราเกียจคร้านในการทำความเข้าใจ ในการตามดู ในการตามละ เขาก็จะซึมเข้าสู่สภาพเดิม จิตของแต่ละดวงนี้ถ้าไม่มีความขยันหมั่นเพียรจริงๆ ก็ยากที่จะเข้าใจ แม้ตั้งแต่ความอยากแม้แต่นิดเดียว ไม่ต้องไปเอาตัวโตๆ หรอก อยากคิด อยากมาอยากมี อยากเป็นอยากไป ไม่อยากมาไม่อยากมี ไม่อยากเป็นไม่อยากไป เราก็ต้องดับ ปรับสภาพให้จิตรับรู้ เพราะว่าเขาเป็นธาตุรู้ แต่เวลานี้เขายังหลง ทั้งหลงด้วยทั้งเกิดด้วย สารพัดอย่าง ก็ต้องพยายามกันนะ
เอาล่ะ วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอา