หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551 ลำดับที่ 021
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551 ลำดับที่ 021
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
เจริญธรรมญาติโยมทุกคนทุกท่าน ขอให้ญาติโยมจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกของตัวเราเอง ให้ต่อเนื่องกันสักพักสักระยะเสียก่อน นั่งตามสบาย ไม่ต้องพนมมือ นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย ฟังไปด้วยแล้วก็น้อมสร้างความรู้สึกสัมผัสของลมหายใจ มีความรู้สึกรับรู้เวลาลมหายใจเข้าหายใจออก
สูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ ให้ทั่วท้องสัก 2-3 เที่ยว อย่าไปบังคับลมหายใจ การสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ กายของเราก็รู้สึกว่าสบายขึ้น จิตก็สงบตั้งมั่นขึ้น สัมผัสของลมหายใจที่ปลายจมูกของเราก็จะเด่นชัด นั่นแหละให้เราพยายามสร้างความรู้สึกตรงนี้ แล้วก็พยายามสร้างให้ต่อเนื่อง ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ ยืนเดินนั่งนอน กินอยู่ขับถ่าย จนกว่าเราจะรู้จิต รู้ลักษณะของจิต รู้ฐานของจิต
เวลาจิตเกิด จิตก่อตัวส่งออกไปภายนอกเป็นอย่างไร เราควบคุมจิตของเราได้ระดับไหน แต่ละวันตื่นขึ้นมา จิตของเราปกติดีอยู่หรือไม่ จิตของเราสงบหรือว่าจิตของเราฟุ้งซ่าน จิตของเราเกิดกิเลสสักกี่เที่ยวสักกี่ครั้ง เราดับได้หรือไม่ เราละได้หรือไม่ ความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิตของเราสักกี่อย่าง เรื่องอะไรบ้าง เราต้องเป็นคนหัดสังเกต สังเกตไม่ทันก็รู้จักควบคุมเอาไว้ แล้วก็หมั่นสร้างอานิสงส์สร้างบารมีให้มีให้เกิดขึ้นในใจของเรา หมั่นสร้างคุณงามความดี คิดในทางกุศล แล้วก็การกระทำของเราก็ต้องถึงพร้อมถึงจะเกิดประโยชน์
ทุกคนก็มีบุญถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ แล้วก็มีโอกาสได้พบพระพุทธศาสนา มีโอกาสได้ศึกษาเล่าเรียน ปัญญาทางโลกก็เป็นอัจฉริยะกัน ก็เต็มเปี่ยมกันทุกคน ปัญญาทางธรรมเราต้องน้อมต้องสร้างขึ้นมา สร้างหรือว่าเจริญสติ เข้าไปสำรวจ เข้าไปละกิเลส เข้าไปคลายความหลง เข้าไปแยกรูปแยกนาม แยกจิตแยกความคิด รอบรู้ในกองสังขารของตัวเราเอง
อย่าไปปล่อยวันเวลาทิ้ง เสียดายเวลา ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ความรู้ตัวเราต่อเนื่องกันหรือไม่ จิตของเราเกิดกิเลสหรือไม่ เราก็ต้องพยายามเอา การสร้างบุญสร้างบารมีเราสร้างได้ตลอดเวลาตั้งแต่ตื่นขึ้นมา เราละความเกียจคร้าน เพิ่มความขยันหมั่นเพียร หมั่นสำรวจตรวจตราดู เรามีความอ่อนน้อมถ่อมตน มีความกตัญญูกตเวที เรามีความเสียสละอย่างยิ่งยวดหรือไม่ มองโลกในทางที่ดี แล้วก็คิดดี การกระทำของเราก็ต้องถึงพร้อม
ถ้าเราหมั่นสำรวจดูอยู่บ่อยๆ ก็เหมือนกับเราได้เข้าวัด ได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าอยู่ตลอดเวลา ไม่ต้องไปแสวงหาไกลหรอก หาธรรมะหาอยู่ในกายของเรานี่แหละ นั่งดูเดินดูนอนดู แล้วการกระทำของเราก็ให้ถึงพร้อม มีความสุขสนุกในการสร้างบุญสร้างบารมี ตื่นขึ้นมาเราก็ได้สร้างบุญให้กับตัวเอง ได้ทำบุญให้กับพี่กับน้อง กับลูกกับหลาน กับเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน ถ้าคนรู้จักสร้างบุญนะ ถ้าคนไม่รู้จักสร้างบุญก็คิดเรื่อยเปื่อยไป ฟุ้งซ่านไป กังวลไป สารพัดอย่าง เราก็ต้องหาเหตุหาผล เจริญสติเข้าไปรู้เหตุรู้ผล
ถ้าหาด้วยตัวจิตแสวงหานั้นยิ่งห่างไกล ยิ่งไม่เจอ เราต้องรู้ให้ชัดเจน อะไรคือสติความรู้สึกตัวที่เราสร้างขึ้นมา อะไรคือลักษณะของจิต จิตที่ปราศจากการเกิด ปราศจากกิเลส ปราศจากความยึดมั่นถือมั่น จิตที่สงบนิ่ง สงบด้วยการบังคับเอาไว้ หรือว่าสงบด้วยการเจริญสติเข้าไปทำความเข้าใจจนจิตรู้เห็นยอมรับตามความเป็นจริง แล้วก็ปล่อยวางด้วยปัญญา ก็ต้องพยายามกันเอา
ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี การได้ยินได้ฟังการได้อ่านทุกคนมีกันเต็มเปี่ยม แต่การลงมือสังเกตให้ต่อเนื่อง ตามดูให้ต่อเนื่องว่าอะไรเป็นอะไร ตรงนี้แหละ ไม่ค่อยจะทำให้ต่อเนื่องกันเท่าไร ขณะที่นั่งฟังอยู่นี่ บางทีก็มันยังคิดไปนั่นบ้างคิดไปนี่บ้าง มันยังไม่นิ่งเลย เราก็ต้องพยายามเคี่ยวเข็ญ ซึ่งพระพุทธองค์ท่านก็บอกว่า ขนาบแล้วขนาบอีกๆ ด้วยการสร้างตบะสร้างบารมี
จิตของเราเกิดความโลภ เราก็พยายามละความโลภด้วยการบริจาคด้วยการให้ ให้ทั้งภายนอกให้ทั้งภายใน ให้อภัยทาน จิตของเราเกิดความโกรธเราก็รู้จักดับความโกรธ ให้อภัยทานอโหสิกรรม จิตของเรามีความแข็งกระด้าง มีมานะมีทิฏฐิ เราก็พยายามสร้างความอ่อนน้อมถ่อมตนให้มีให้เกิดขึ้น จิตของเรามีความอิจฉาริษยา เราก็พยายามดับ น้อมกายของเราเข้าไปด้วยความเมตตาด้วยความรัก ทำในสิ่งที่ตรงกันข้ามกับกิเลสต่างๆ
สักวันหนึ่งเราก็จะมีความสุข ไปที่ไหนก็มีความสุข อยู่ก็มีความสุข ไปก็มีความสุข ทุกสิ่งในชีวิตประจำวันของเรา เราต้องวิเคราะห์เราต้องพิจารณา จะมีมากมีน้อย เราก็ต้องพิจารณาให้หมด ไม่ใช่ว่าฉันมีเยอะๆ เรามีเยอะๆ แล้วไม่ทุกข์ ไม่ใช่
การเกิดของจิต การเกิดของความคิด นั่นแหละเป็นทุกข์ การเกิดก็เป็นทุกข์ เกิดเป็นมนุษย์ก็เป็นทุกข์ กายเนื้อของเราประกอบขึ้นมาด้วยอะไร เขาทำหน้าที่อย่างไร มีวิญญาณเข้ามาครอบครองได้อย่างไร เรามองเห็นอยู่ในภาพรวมว่าเป็นของเราหมด แต่ในหลักธรรมแล้ว เราต้องจำแนกแจกแจง
ถ้าถึงวาระเวลาแล้วก็ต้องได้พลัดพรากจากกัน แม้แต่กายของเราก็ต้องกลับคืนกลับสู่สภาวะเดิม คือดินน้ำลมไฟ ส่วนจิตหรือว่าวิญญาณของเราก็ต้องไปตามวิบากของกรรม ถ้าเราสร้างกุศลกรรมเอาไว้ดี เราก็ไปในทางที่ดี ถ้าสร้างอกุศลกรรม ถ้าจิตยังไปหลงยึดมั่นถือมั่น หรือว่าวิบากกรรมตัวไหนมันมีกำลังมากกว่า ก็มาเป็นเครื่องนำทาง
ท่านถึงบอกว่าให้ละอกุศลกรรม ให้เจริญกุศลกรรมให้มากๆ สูงขึ้นไปก็สร้างกุศล แต่ไม่ให้ยึดมั่นถือมั่น สร้างคุณงามความดีเพื่อเกิดประโยชน์ ทำจิตให้สะอาด ให้บริสุทธิ์ ให้หมดจด ดับความเกิด ไม่ต้องกลับมาเกิดกัน ก็พยายามหมั่นสร้างสะสมทีละเล็กทีละน้อยไปเรื่อยๆ ไม่จำเป็นว่าต้องสร้างใหญ่ๆ อย่างเดียว
กำลังกายกำลังใจ กำลังสติกำลังปัญญา น้อมเข้ามาในกองกุศลก็เป็นบุญทั้งนั้น ก็พยายามเอานะ อย่าพากันปล่อยวันเวลาทิ้ง เสียดายเวลา
เอาล่ะ วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันสร้างสานต่อ ไปทำความเข้าใจกันเอานะ
สูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ ให้ทั่วท้องสัก 2-3 เที่ยว อย่าไปบังคับลมหายใจ การสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ กายของเราก็รู้สึกว่าสบายขึ้น จิตก็สงบตั้งมั่นขึ้น สัมผัสของลมหายใจที่ปลายจมูกของเราก็จะเด่นชัด นั่นแหละให้เราพยายามสร้างความรู้สึกตรงนี้ แล้วก็พยายามสร้างให้ต่อเนื่อง ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ ยืนเดินนั่งนอน กินอยู่ขับถ่าย จนกว่าเราจะรู้จิต รู้ลักษณะของจิต รู้ฐานของจิต
เวลาจิตเกิด จิตก่อตัวส่งออกไปภายนอกเป็นอย่างไร เราควบคุมจิตของเราได้ระดับไหน แต่ละวันตื่นขึ้นมา จิตของเราปกติดีอยู่หรือไม่ จิตของเราสงบหรือว่าจิตของเราฟุ้งซ่าน จิตของเราเกิดกิเลสสักกี่เที่ยวสักกี่ครั้ง เราดับได้หรือไม่ เราละได้หรือไม่ ความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิตของเราสักกี่อย่าง เรื่องอะไรบ้าง เราต้องเป็นคนหัดสังเกต สังเกตไม่ทันก็รู้จักควบคุมเอาไว้ แล้วก็หมั่นสร้างอานิสงส์สร้างบารมีให้มีให้เกิดขึ้นในใจของเรา หมั่นสร้างคุณงามความดี คิดในทางกุศล แล้วก็การกระทำของเราก็ต้องถึงพร้อมถึงจะเกิดประโยชน์
ทุกคนก็มีบุญถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ แล้วก็มีโอกาสได้พบพระพุทธศาสนา มีโอกาสได้ศึกษาเล่าเรียน ปัญญาทางโลกก็เป็นอัจฉริยะกัน ก็เต็มเปี่ยมกันทุกคน ปัญญาทางธรรมเราต้องน้อมต้องสร้างขึ้นมา สร้างหรือว่าเจริญสติ เข้าไปสำรวจ เข้าไปละกิเลส เข้าไปคลายความหลง เข้าไปแยกรูปแยกนาม แยกจิตแยกความคิด รอบรู้ในกองสังขารของตัวเราเอง
อย่าไปปล่อยวันเวลาทิ้ง เสียดายเวลา ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ความรู้ตัวเราต่อเนื่องกันหรือไม่ จิตของเราเกิดกิเลสหรือไม่ เราก็ต้องพยายามเอา การสร้างบุญสร้างบารมีเราสร้างได้ตลอดเวลาตั้งแต่ตื่นขึ้นมา เราละความเกียจคร้าน เพิ่มความขยันหมั่นเพียร หมั่นสำรวจตรวจตราดู เรามีความอ่อนน้อมถ่อมตน มีความกตัญญูกตเวที เรามีความเสียสละอย่างยิ่งยวดหรือไม่ มองโลกในทางที่ดี แล้วก็คิดดี การกระทำของเราก็ต้องถึงพร้อม
ถ้าเราหมั่นสำรวจดูอยู่บ่อยๆ ก็เหมือนกับเราได้เข้าวัด ได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าอยู่ตลอดเวลา ไม่ต้องไปแสวงหาไกลหรอก หาธรรมะหาอยู่ในกายของเรานี่แหละ นั่งดูเดินดูนอนดู แล้วการกระทำของเราก็ให้ถึงพร้อม มีความสุขสนุกในการสร้างบุญสร้างบารมี ตื่นขึ้นมาเราก็ได้สร้างบุญให้กับตัวเอง ได้ทำบุญให้กับพี่กับน้อง กับลูกกับหลาน กับเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน ถ้าคนรู้จักสร้างบุญนะ ถ้าคนไม่รู้จักสร้างบุญก็คิดเรื่อยเปื่อยไป ฟุ้งซ่านไป กังวลไป สารพัดอย่าง เราก็ต้องหาเหตุหาผล เจริญสติเข้าไปรู้เหตุรู้ผล
ถ้าหาด้วยตัวจิตแสวงหานั้นยิ่งห่างไกล ยิ่งไม่เจอ เราต้องรู้ให้ชัดเจน อะไรคือสติความรู้สึกตัวที่เราสร้างขึ้นมา อะไรคือลักษณะของจิต จิตที่ปราศจากการเกิด ปราศจากกิเลส ปราศจากความยึดมั่นถือมั่น จิตที่สงบนิ่ง สงบด้วยการบังคับเอาไว้ หรือว่าสงบด้วยการเจริญสติเข้าไปทำความเข้าใจจนจิตรู้เห็นยอมรับตามความเป็นจริง แล้วก็ปล่อยวางด้วยปัญญา ก็ต้องพยายามกันเอา
ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี การได้ยินได้ฟังการได้อ่านทุกคนมีกันเต็มเปี่ยม แต่การลงมือสังเกตให้ต่อเนื่อง ตามดูให้ต่อเนื่องว่าอะไรเป็นอะไร ตรงนี้แหละ ไม่ค่อยจะทำให้ต่อเนื่องกันเท่าไร ขณะที่นั่งฟังอยู่นี่ บางทีก็มันยังคิดไปนั่นบ้างคิดไปนี่บ้าง มันยังไม่นิ่งเลย เราก็ต้องพยายามเคี่ยวเข็ญ ซึ่งพระพุทธองค์ท่านก็บอกว่า ขนาบแล้วขนาบอีกๆ ด้วยการสร้างตบะสร้างบารมี
จิตของเราเกิดความโลภ เราก็พยายามละความโลภด้วยการบริจาคด้วยการให้ ให้ทั้งภายนอกให้ทั้งภายใน ให้อภัยทาน จิตของเราเกิดความโกรธเราก็รู้จักดับความโกรธ ให้อภัยทานอโหสิกรรม จิตของเรามีความแข็งกระด้าง มีมานะมีทิฏฐิ เราก็พยายามสร้างความอ่อนน้อมถ่อมตนให้มีให้เกิดขึ้น จิตของเรามีความอิจฉาริษยา เราก็พยายามดับ น้อมกายของเราเข้าไปด้วยความเมตตาด้วยความรัก ทำในสิ่งที่ตรงกันข้ามกับกิเลสต่างๆ
สักวันหนึ่งเราก็จะมีความสุข ไปที่ไหนก็มีความสุข อยู่ก็มีความสุข ไปก็มีความสุข ทุกสิ่งในชีวิตประจำวันของเรา เราต้องวิเคราะห์เราต้องพิจารณา จะมีมากมีน้อย เราก็ต้องพิจารณาให้หมด ไม่ใช่ว่าฉันมีเยอะๆ เรามีเยอะๆ แล้วไม่ทุกข์ ไม่ใช่
การเกิดของจิต การเกิดของความคิด นั่นแหละเป็นทุกข์ การเกิดก็เป็นทุกข์ เกิดเป็นมนุษย์ก็เป็นทุกข์ กายเนื้อของเราประกอบขึ้นมาด้วยอะไร เขาทำหน้าที่อย่างไร มีวิญญาณเข้ามาครอบครองได้อย่างไร เรามองเห็นอยู่ในภาพรวมว่าเป็นของเราหมด แต่ในหลักธรรมแล้ว เราต้องจำแนกแจกแจง
ถ้าถึงวาระเวลาแล้วก็ต้องได้พลัดพรากจากกัน แม้แต่กายของเราก็ต้องกลับคืนกลับสู่สภาวะเดิม คือดินน้ำลมไฟ ส่วนจิตหรือว่าวิญญาณของเราก็ต้องไปตามวิบากของกรรม ถ้าเราสร้างกุศลกรรมเอาไว้ดี เราก็ไปในทางที่ดี ถ้าสร้างอกุศลกรรม ถ้าจิตยังไปหลงยึดมั่นถือมั่น หรือว่าวิบากกรรมตัวไหนมันมีกำลังมากกว่า ก็มาเป็นเครื่องนำทาง
ท่านถึงบอกว่าให้ละอกุศลกรรม ให้เจริญกุศลกรรมให้มากๆ สูงขึ้นไปก็สร้างกุศล แต่ไม่ให้ยึดมั่นถือมั่น สร้างคุณงามความดีเพื่อเกิดประโยชน์ ทำจิตให้สะอาด ให้บริสุทธิ์ ให้หมดจด ดับความเกิด ไม่ต้องกลับมาเกิดกัน ก็พยายามหมั่นสร้างสะสมทีละเล็กทีละน้อยไปเรื่อยๆ ไม่จำเป็นว่าต้องสร้างใหญ่ๆ อย่างเดียว
กำลังกายกำลังใจ กำลังสติกำลังปัญญา น้อมเข้ามาในกองกุศลก็เป็นบุญทั้งนั้น ก็พยายามเอานะ อย่าพากันปล่อยวันเวลาทิ้ง เสียดายเวลา
เอาล่ะ วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันสร้างสานต่อ ไปทำความเข้าใจกันเอานะ