หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551 ลำดับที่ 009
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551 ลำดับที่ 009
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
เจริญธรรมญาติโยมทุกคนทุกท่าน ขอให้ญาติโยมจงเจริญสติ สร้างความระลึกรู้การหายใจเข้าออกของตัวเราเอง ให้ต่อเนื่องกันสักพัก สักระยะหนึ่งเสียก่อน ทำใจของเราให้สบาย ทำกายของเราให้สบายทุกคน นั่งตามอิริยาบถให้สบายที่สุด อย่าไปเกร็งร่างกาย แล้วก็สูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ สัก 2-3 เที่ยว
ความรู้สึกสัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเรา เวลาลมหายใจเข้าก็มีความรู้สึกรับรู้อยู่ ลมหายใจออกก็มีความรู้สึกรับรู้อยู่ อันนี้เราพยายามหัดสร้างความรู้ตัว ให้เกิดความเคยชิน ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา การระลึกรู้ลมหายใจเข้าออก ซึ่งเรียกว่าอานาปานสติ ความรู้ตัว แล้วก็พยายามรู้ให้ต่อเนื่อง รู้จิต รู้ลักษณะของจิต รู้ลักษณะของความคิด รู้เท่าทันความคิด รู้เท่าทันอารมณ์ รู้จักดับรู้จักระงับ
การสร้างอานิสงส์ สร้างตบะ สร้างบารมีก็มีกันทุกคน อย่างพวกเรามาวัดอย่างนี้ พวกเราก็มาสร้างบารมี ถ้าเราไม่มีความเสียสละ วางภาระหน้าที่การงานต่างๆ พวกเราก็มาไม่ได้ มีความเสียสละในการทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ เราก็พลอยได้รับประโยชน์นั้นด้วย คนอื่นก็พลอยได้รับประโยชน์ด้วย นี่แหละเป็นการสร้างบารมี ถ้าเราไม่มีความเสียสละเราก็ทำไม่ได้
ญาติโยมที่มาจากวังม่วง คณะคุณหมอคณะพยาบาลท่านก็พากันมา มาฝึกหัดปฏิบัติ มาช่วย ช่วยการช่วยงาน ช่วยทำโน้นบ้างทำนี้บ้าง เมื่อวานนี้ก็ช่วยกันขนหินขนปูน ก็หนักอยู่ ทั้งที่ไม่เคยทำ ถ้าไม่มีความเสียสละความอดทนก็คงจะยาก
เราพยายามสร้างอานิสงส์สร้างบารมี ถ้าเราไม่ทำอย่างนี้เราก็จะไม่รู้การทำงานผสมปูนเป็นอย่างไร การทำงานกรรมกรเป็นอย่างไร เราก็จะได้รู้ ถ้าเราไม่ทำเราก็ไม่รู้ ว่ามันหนักไหม เหนื่อยไหม เราก็จะได้ความเข้มแข็งด้วย ได้ความอดทนด้วย ได้ขันติ ได้วิริยะ ได้ความเพียร ละความเกียจคร้าน เพิ่มความขยันหมั่นเพียรให้กับตัวเรา เราก็ได้ ไม่ใช่ว่าไม่ได้ ได้ตั้งแต่คิดว่าจะออกมาจากบ้าน ว่าเราจะมาเปลี่ยนบรรยากาศ เปลี่ยนสถานที่
ตามความเป็นจริงทุกสิ่งก็เป็นการฝึกหัดปฏิบัติขัดเกลาตัวเราเองหมด ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ยืนเดินนั่งนอน กินอยู่ขับถ่าย ถ้าเรารู้จักเอา ถ้าเรารู้จักพิจารณา ไม่ทำด้วยทิฏฐิ ไม่ทำด้วยมานะของตัวเรา คำว่าทิฏฐิหรือว่ามานะ ทิฏฐิคือความเห็น ความเห็นว่าจะเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ ไม่เป็นอย่างนั้นไม่เป็นอย่างนี้ เพราะว่าเรายังหาความเป็นกลางไม่เจอ เราก็เลยนึกคิดเอาตามทิฏฐิของตัวเราเอง
ตามความเป็นจริงแนวทางมีอยู่ พระพุทธองค์ท่านใดค้นพบแล้วก็มาเปิดเผย เราต้องพยายามปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระพุทธองค์เสียก่อน ให้รู้ให้เห็น ทิฏฐิมานะของเราต่างๆ ที่เกิดขึ้นให้ดับเอาไว้ แล้วก็ปฏิบัติตามคำสอนของผู้รู้ จนกว่าจะเข้าถึง รู้ด้วย เห็นด้วย เข้าถึงด้วย ทำความเข้าใจได้ด้วย ความสงสัยต่างๆ ก็จะหมดไป ความกังวลความลังเลต่างๆ ก็จะหมดไป ก็มีตั้งแต่จะเพิ่มความเพียรให้ทวีคูณ สูงยิ่งๆ ขึ้นไป
การสร้างความระลึกรู้ตัวเป็นลักษณะอย่างนี้ แล้วก็พยายามสร้างให้ต่อเนื่อง เรารู้ไม่เท่าทันจิตเราก็ใช้สมถะเข้าไปควบคุมเข้าไปดับ ให้จิตของเราอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ให้อยู่กับลมหายใจบ้าง หรือว่าอยู่การเดินบ้าง ใหม่ๆ ก็อาจจะอึดอัด เพราะความเคยชิน จิตของคนเราชอบเที่ยว ชอบคิด ชอบปรุง ชอบแต่ง ชอบส่งออกไปภายนอก บางทีก็อาการของขันธ์ห้าเข้ามาปรุงแต่งจิต
ตรงนี้แหละสำคัญ เพราะว่าจิตของเราเข้าไปหลง ไปรวมกับความคิดกับอารมณ์จนเป็นสิ่งเดียวกัน เราก็เลยรู้เมื่อเราคิดแล้ว รู้เมื่อเราทำแล้ว มันหลงอยู่ในความรู้ตรงนั้นอยู่ เพราะว่าเรายังขาดการแยกการสังเกต รู้ให้ทันตั้งแต่ต้นเหตุ ว่าวิญญาณหรือว่าดวงจิตของเรานั้นไปรวมกับความคิดได้อย่างไร ซึ่งภาษาธรรมะท่านเรียกว่าไม่รอบรู้ในกองสังขาร ไม่รอบรู้ในอารมณ์
ถ้าเราสังเกตดูรู้ อาการของความคิดที่จะผุดก่อตัวขึ้นมา จิตของเราจะเคลื่อนเข้าไปรวมเอง ถ้ากำลังสติของเรารู้ทันตั้งแต่ต้นเหตุเขาก็จะแยกออกจากกัน จิตของเราก็จะหงายขึ้นมา เขาเรียกว่าแยกรูปแยกนาม รับรู้ จิตเราก็จะว่าง โล่ง โปร่ง
ความรู้ตัวของเราก็จะตามดู เห็นการเกิดการดับของขันธ์ห้า ซึ่งเรียกว่ารู้สภาวธรรม เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป ที่ท่านเปรียบเทียบเอาไว้ เหมือนกับพยับแดด เวลาเราเดินไปตามถนน เหมือนกับมีตัวมีตน เวลาเราเข้าไปใกล้ๆ พยับแดดนั้นก็หายไป
อาการของขันธ์ห้าก็เหมือนกัน เขาเกิดขึ้นตั้งอยู่แล้วดับไป เวลาเขาดับไปแล้ว นั้นแหละ อนัตตา ความว่างเปล่าก็เข้ามาปรากฏ เรื่องใหม่ก็เข้ามา เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป เราไม่เห็นตรงนี้เราไม่รู้ตรงนี้ เราก็เลยไม่เข้าใจเรื่องอัตตาเรื่องอนัตตา นี่แหละ ถ้าเราแยกตรงนี้ได้ ทิฏฐิมานะต่างๆ ก็จะคลายไป กำลังสติก็จะตามทำความเข้าใจ รู้เห็นตามความเป็นจริง แล้วก็ค่อยละ
ต้องเป็นบุคคลที่มีความเพียร มีความเพียรตั้งแต่ตื่นขึ้นมา จนกระทั่งเรานอนหลับ ทุกอิริยาบถ ใหม่ๆ ทุกคนก็อาจจะไม่เข้าใจตรงนี้ เพราะว่าไปกังวลอยู่กับสิ่งโน้นบ้างสิ่งนี้บ้าง เราก็ต้องพยายามสร้างตบะ สร้างบารมี สร้างอานิสงส์ให้กับตัวเรา ถ้ายังไม่ถึงเวลาจริงๆ ก็คงจะยากที่จะแยกตรงนี้ได้ ถึงแยกได้ก็ยังตามทำความเข้าใจไม่ได้ละเอียด เพราะว่าวิบากกรรมหลายๆ สิ่งหลายๆ อย่างมาปิดกั้นเอาไว้ จนกว่าวิบากกรรมของเราจะคลายออกจากจิตจากใจ วิบากกรรมทางสมมติ คลายออกจากจิตจากใจของเรา เราก็ต้องพยายามหมั่นสร้างกุศลสร้างบารมี กำจัดกิเลสออกจากจิตจากใจของตัวเรา
แต่ละวันตื่นขึ้นมา เราก็รู้จักวิเคราะห์ตัวเรา เรามีความเสียสละเพียงพอหรือไม่ เรามีความตระหนี่เหนียวแน่นเราก็รู้จักละความตระหนี่เหนียวแน่น เรามีความโกรธเราก็พยายามดับความโกรธ พยายามให้อภัยทาน มองโลกในทางที่ดี แล้วก็คิดดี ไม่ใช่ว่าปฏิบัติจะเอาตั้งแต่ธรรม จะเอาตั้งแต่การหลุดพ้นอย่างเดียว
เราต้องควบคู่กันไป สมมติกับวิมุตติก็อยู่ร่วมกัน เหมือนกับต้นไม้ มีทั้งเปลือก มีทั้งกระพี้ มีทั้งแก่น เขาถึงอยู่รวมกันได้ ถ้าเราจะเอาตั้งแต่แก่น ไม่เอาเปลือก ไม่เอากระพี้ ต้นไม้เขาก็ตาย คนเราก็เหมือนกัน เรายังอยู่กับสังคม เรายังอยู่กับสมมติ เรายังอยู่กับปัจจัยสี่ เราก็ต้องทำความเข้าใจกับสมมติ อะไรคือสมมติ อะไรคือวิมุตติ อะไรคืออัตตา อะไรคืออนัตตา อะไรคือธรรม อะไรคือโลก
โลกกับธรรมเขาก็อยู่ร่วมกัน รูปกับนามก็อยู่ร่วมกัน จิตก็อาศัยกายนี้อยู่ กายก็เป็นกายของเราในทางสมมติ เป็นของเราจริงๆ ถ้าถึงวาระเวลาแล้วเขาก็ต้องแตกต้องดับไปตามสภาวะของเขา อันนี้ซึ่งเป็นส่วนรูปธรรม ในส่วนนามธรรมนั้น เราต้องมาทำความเข้าใจด้วยการเจริญสติเข้าไปสังเกต เข้าไปวิเคราะห์
เพียงแค่การสร้าง กับการรักษา กับการประคับประคองสติให้ต่อเนื่อง พวกเราก็ยังทำไม่ชำนาญ ต้องพยายามทำให้ชำนาญ แม้ตั้งแต่การหายใจเข้าออก พวกเราก็หายใจเข้าออกตั้งแต่เกิด ตั้งแต่ออกจากท้องแม่มานู่นแหละ การหายใจเข้าออกก็มีอยู่แล้ว ถ้าคนเราไม่หายใจก็เป็นอันว่าชีวิตนี้หมดสภาพ เราต้องพยายามหัดสังเกต
ใหม่ๆ ก็อาจจะไม่ต่อเนื่อง หรือบางทีก็อึดอัด ให้เราหัด พยายามหัดสังเกตการหายใจให้ธรรมชาติที่สุด ยืนเดินนั่งนอนกินอยู่ขับถ่าย จะทำอะไรเราอย่าไปทำด้วยความอยากที่เกิดจากตัวจิต หรือความอยากที่เกิดจากกิเลส เราพยายามดับ
แม้ตั้งแต่การรับประทานอาหาร เราก็ต้องพยายามดู กายหิวหรือว่าจิตเกิดความอยาก ทุกเรื่องในชีวิตของเรา เราต้องศึกษาให้ละเอียด ไม่ใช่ว่าเราจะศึกษาเรื่องหนึ่งเรื่องเดียวเท่านั้น ทุกเรื่องเลยทีเดียว ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา กายของเราทำหน้าที่อย่างไร ทวารทั้งหกของเราทำหน้าที่อย่างไร วิญญาณของเราทำหน้าที่อย่างไร เขาอาศัยกันอยู่ได้อย่างไร เขาจะแยกกันได้อย่างไร เราต้องตามทำความเข้าใจให้ละเอียด อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับความขยันหมั่นเพียรของตัวเรา
ถ้าเราไม่ขยันหมั่นเพียรให้ตัวเราแล้ว ก็ยากที่จะเข้าใจ ถึงจะไปฝึกหัดปฏิบัติที่โน้นบ้างที่นี่บ้าง ถ้าการกระทำของเราไม่ถูกต้อง หรือไม่ถูกตรง ก็ยิ่งยากเข้าไปอีก เราก็ต้องพยายาม เอาความเป็นกลางเป็นที่ตั้ง แต่เวลานี้จิตของเรายังไม่นิ่ง ความเป็นกลาง เพราะว่าจิตของเรายังเกิดอยู่ ยังหลงอยู่ หลงอยู่ในความคิด เราอาจจะว่าเราไม่หลง เราอาจจะไม่หลงอยู่ในระดับของสมมติ แต่ในระดับของวิมุตติ จิตของเรายังหลงอาการของขันธ์ห้า ยังเข้าไปรวมยังเข้าไปร่วมอยู่
เราก็ต้องพยายามศึกษาค้นคว้ากันไปให้ตลอด ให้ตลอดแนวทาง เหมือนกับเราขึ้นบันไดนั่นแหละ เราขึ้นจากขั้นแรกถึงขั้นสุดท้าย แล้วก็ขึ้นถึงตัวเรือน ถ้าเรามัวเล่นอยู่เราก็ไม่ถึงจุดหมายปลายทาง เราต้องพยายามขยันหมั่นเพียรกัน การเจริญสติที่ต่อเนื่องเป็นลักษณะอย่างนี้
เรารู้ตั้งแต่อาการของต้นเหตุของการเกิดการดับของจิตของความคิดไม่ทัน เราก็รู้จักระงับรู้จักดับเอาไว้ เราดับได้ระดับไหน ระดับต้นเหตุ ระดับกลาง ระดับปลาย หรือว่าระดับกายทางวาจา เราก็ต้องหมั่นวิเคราะห์พิจารณา ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา จิตของเราส่งออกไปข้างนอกภายนอกสักกี่เรื่อง เรื่องอะไรบ้าง เหตุจากภายนอกเข้ามาปรุงแต่งจิตของเราสักกี่อย่าง ทำให้จิตของเราเกิดสักกี่ครั้ง
แต่ละวันๆ เราเรียบเรียงดูความคิด ดูอารมณ์ของเราหรือไม่ หรือว่าส่งออกไป มีตั้งแต่วิ่ง มีตั้งแต่เกิดอยู่ ออกไปอยู่ตลอดเวลา เหนื่อย คิดมากก็เหนื่อย หลงความคิดหลงอารมณ์ก็หนัก ถ้าคนรู้จักปลดปลงปล่อยวาง ก็จะรู้จักปลดปลงปล่อยวาง ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะว่าง ก็จะเบา ก็จะโล่ง
อยู่กับสมมติก็ไม่ให้สมมติเข้าครอบงำ อยู่อย่างมีความสงบ อยู่อย่างมีความสุข อยู่ที่ไหนก็มีความสุข อยู่ที่ไหนเราก็จะได้ฟังธรรมอยู่ตลอดเวลา ยืนเดินนั่งนอนกินอยู่ขับถ่าย ก็เป็นการปฏิบัติธรรม รูปรสกลิ่นเสียงก็จะเป็นอาจารย์สอบอารมณ์เรา เรามีสติคอยตรวจสอบจิตของเราตลอดเวลา
ความปกตินั่นแหละคือสมาธิ ความปกตินั่นแหละคือศีล ศีลสมาธิ การแยกรูปแยกนาม นี่แหละคือตัววิปัสสนา แต่เรายังแยกไม่ได้เราก็จะเข้าสู่วิปัสสนาไม่ได้ ถ้าเราไปนึกไปคิด ไปพิจารณาไปวิเคราะห์ ถึงจะพิจารณาในธรรม แต่ก็ยังเป็นกิเลสธรรม ทำอย่างไรเราถึงจะให้จิตของเราตกกระแสธรรมได้
เราก็ต้องพยายามหมั่นอด หมั่นข่ม หมั่นสังเกต หมั่นวิเคราะห์ จนกว่าจิตของเราจะคลายออกจากความคิด ออกจากอารมณ์ อยู่ในความว่าง อยู่ในความโล่ง อยู่ในความโปร่ง รับรู้ รู้จักสะสางกิเลส จิตของเราจะเกิดกิเลสเราก็รู้จักระงับรู้จักดับ
ถ้าคนเราไม่รู้จักระงับรู้จักดับ มันก็เหมือนกับเพิ่มอาหารให้กิเลสอยู่ตลอดเวลา กิเลสเล็กๆ น้อยๆ เราก็อย่าให้เกิดขึ้นที่จิตของเรา ส่วนมากก็ตัวใหญ่ๆ นั้นไม่ค่อยเกิดหรอก นานๆ มันถึงจะเกิดที ไอ้ตัวเล็กๆ น้อยๆ การเกิดการดับของจิต เดี๋ยวก็คิดเรื่องโน้นบ้างเรื่องนี้บ้าง เรื่องอดีตบ้างเรื่องอนาคตบ้าง
บางคนบางท่านก็อาจจะไม่เข้าใจว่าคนเราก็ต้องคิด แต่ในหลักธรรมแล้วท่านให้คิดอยู่ แต่คิดด้วยสติคิดด้วยปัญญา ให้จิตของเรารับรู้ คลายจิตของเราออกจากความหลงให้ได้เสียก่อน ถึงค่อยคิด แล้วการกระทำของเราก็ต้องถึงพร้อม คิดเรื่องอดีตคิดเรื่องอนาคต คิดเรื่องภาระหน้าที่การงาน ถ้าสติปัญญาคิดจิตรับรู้ เรียกว่าปัญญารู้อยู่ปัจจุบัน แล้วการกระทำของเราก็ต้องถึงพร้อม ถึงจะเกิดประโยชน์
หลวงพ่อก็ขอบคุณทุกคนทุกท่าน ที่ได้มาฝึกหัดปฏิบัติ มีโอกาสก็ขอเชิญมาได้ตลอดเวลา มาฝึกทำกายวิเวก ทำจิตวิเวก ถ้าเราเข้าใจแนวทางแล้ว เราก็จะเอาไปใช้กับชีวิตประจำวันได้ตลอดเวลา ไม่ใช่ว่ามานั่งหลับตาอย่างเดียว มาเดินอย่างเดียว ทุกคน ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ภาระหน้าที่การงานทุกชนิด นั่นแหละคือการปฏิบัติธรรม
เรามีความรับผิดชอบที่สูงหรือไม่ รับผิดชอบต่อตัวเรา แล้วก็รับผิดชอบต่อส่วนรวม แล้วก็รับผิดชอบต่อสิ่งที่เราเข้าไปยุ่งเกี่ยว ก็จะมีตั้งแต่เกิดประโยชน์ อะไรคืออกุศล อะไรคือกุศล อกุศลเราก็ละ กุศลเราก็เจริญ อะไรคือส่วนรูปธรรม อะไรคือส่วนนามธรรม
ถ้าเราเข้าใจแล้วจะมีไม่มาก มีอยู่นิดเดียว แม้ตั้งแต่ความอยาก แม้แต่นิดเดียวก็อย่าให้เกิดขึ้นที่จิต แม้แต่จิตของเราส่งออกไปภายนอก แม้แต่นิดเดียวเราก็ไม่ให้ส่ง เราดับไม่ให้เกิดเลยแหละ เราต้องพยายามเอา ถ้าถึงวาระถึงเวลาแล้วทุกคนก็จะเข้าใจ
เราไม่รู้วันนี้วันพรุ่งนี้เราก็ต้องรู้ วันพรุ่งนี้เราไม่รู้วันมะรืนนี้เราก็ต้องรู้ ตราบใดที่เราฝักใฝ่ ตราบใดที่เราสนใจ ไม่เข้าใจในวันนี้ วันเดือนหน้าปีหน้า ถ้าเราไม่ถึงจุดหมายปลายทางจริงๆ ก็ต้องไปต่อเอาภพหน้า เพราะว่าจิตของคนเราทุกคนเดินเข้าไปถึงจุดหมายปลายทาง เดินเข้าไปถึงความหลุดพ้น ถ้าไม่หลุดพ้นจริงๆ ก็ไปต่อเอาภพหน้า ก็ต้องพยายามเอานะ
เอาล่ะ วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกัน อันนี้เพียงแค่เล่าให้ฟัง
ความรู้สึกสัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเรา เวลาลมหายใจเข้าก็มีความรู้สึกรับรู้อยู่ ลมหายใจออกก็มีความรู้สึกรับรู้อยู่ อันนี้เราพยายามหัดสร้างความรู้ตัว ให้เกิดความเคยชิน ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา การระลึกรู้ลมหายใจเข้าออก ซึ่งเรียกว่าอานาปานสติ ความรู้ตัว แล้วก็พยายามรู้ให้ต่อเนื่อง รู้จิต รู้ลักษณะของจิต รู้ลักษณะของความคิด รู้เท่าทันความคิด รู้เท่าทันอารมณ์ รู้จักดับรู้จักระงับ
การสร้างอานิสงส์ สร้างตบะ สร้างบารมีก็มีกันทุกคน อย่างพวกเรามาวัดอย่างนี้ พวกเราก็มาสร้างบารมี ถ้าเราไม่มีความเสียสละ วางภาระหน้าที่การงานต่างๆ พวกเราก็มาไม่ได้ มีความเสียสละในการทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ เราก็พลอยได้รับประโยชน์นั้นด้วย คนอื่นก็พลอยได้รับประโยชน์ด้วย นี่แหละเป็นการสร้างบารมี ถ้าเราไม่มีความเสียสละเราก็ทำไม่ได้
ญาติโยมที่มาจากวังม่วง คณะคุณหมอคณะพยาบาลท่านก็พากันมา มาฝึกหัดปฏิบัติ มาช่วย ช่วยการช่วยงาน ช่วยทำโน้นบ้างทำนี้บ้าง เมื่อวานนี้ก็ช่วยกันขนหินขนปูน ก็หนักอยู่ ทั้งที่ไม่เคยทำ ถ้าไม่มีความเสียสละความอดทนก็คงจะยาก
เราพยายามสร้างอานิสงส์สร้างบารมี ถ้าเราไม่ทำอย่างนี้เราก็จะไม่รู้การทำงานผสมปูนเป็นอย่างไร การทำงานกรรมกรเป็นอย่างไร เราก็จะได้รู้ ถ้าเราไม่ทำเราก็ไม่รู้ ว่ามันหนักไหม เหนื่อยไหม เราก็จะได้ความเข้มแข็งด้วย ได้ความอดทนด้วย ได้ขันติ ได้วิริยะ ได้ความเพียร ละความเกียจคร้าน เพิ่มความขยันหมั่นเพียรให้กับตัวเรา เราก็ได้ ไม่ใช่ว่าไม่ได้ ได้ตั้งแต่คิดว่าจะออกมาจากบ้าน ว่าเราจะมาเปลี่ยนบรรยากาศ เปลี่ยนสถานที่
ตามความเป็นจริงทุกสิ่งก็เป็นการฝึกหัดปฏิบัติขัดเกลาตัวเราเองหมด ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ยืนเดินนั่งนอน กินอยู่ขับถ่าย ถ้าเรารู้จักเอา ถ้าเรารู้จักพิจารณา ไม่ทำด้วยทิฏฐิ ไม่ทำด้วยมานะของตัวเรา คำว่าทิฏฐิหรือว่ามานะ ทิฏฐิคือความเห็น ความเห็นว่าจะเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ ไม่เป็นอย่างนั้นไม่เป็นอย่างนี้ เพราะว่าเรายังหาความเป็นกลางไม่เจอ เราก็เลยนึกคิดเอาตามทิฏฐิของตัวเราเอง
ตามความเป็นจริงแนวทางมีอยู่ พระพุทธองค์ท่านใดค้นพบแล้วก็มาเปิดเผย เราต้องพยายามปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระพุทธองค์เสียก่อน ให้รู้ให้เห็น ทิฏฐิมานะของเราต่างๆ ที่เกิดขึ้นให้ดับเอาไว้ แล้วก็ปฏิบัติตามคำสอนของผู้รู้ จนกว่าจะเข้าถึง รู้ด้วย เห็นด้วย เข้าถึงด้วย ทำความเข้าใจได้ด้วย ความสงสัยต่างๆ ก็จะหมดไป ความกังวลความลังเลต่างๆ ก็จะหมดไป ก็มีตั้งแต่จะเพิ่มความเพียรให้ทวีคูณ สูงยิ่งๆ ขึ้นไป
การสร้างความระลึกรู้ตัวเป็นลักษณะอย่างนี้ แล้วก็พยายามสร้างให้ต่อเนื่อง เรารู้ไม่เท่าทันจิตเราก็ใช้สมถะเข้าไปควบคุมเข้าไปดับ ให้จิตของเราอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ให้อยู่กับลมหายใจบ้าง หรือว่าอยู่การเดินบ้าง ใหม่ๆ ก็อาจจะอึดอัด เพราะความเคยชิน จิตของคนเราชอบเที่ยว ชอบคิด ชอบปรุง ชอบแต่ง ชอบส่งออกไปภายนอก บางทีก็อาการของขันธ์ห้าเข้ามาปรุงแต่งจิต
ตรงนี้แหละสำคัญ เพราะว่าจิตของเราเข้าไปหลง ไปรวมกับความคิดกับอารมณ์จนเป็นสิ่งเดียวกัน เราก็เลยรู้เมื่อเราคิดแล้ว รู้เมื่อเราทำแล้ว มันหลงอยู่ในความรู้ตรงนั้นอยู่ เพราะว่าเรายังขาดการแยกการสังเกต รู้ให้ทันตั้งแต่ต้นเหตุ ว่าวิญญาณหรือว่าดวงจิตของเรานั้นไปรวมกับความคิดได้อย่างไร ซึ่งภาษาธรรมะท่านเรียกว่าไม่รอบรู้ในกองสังขาร ไม่รอบรู้ในอารมณ์
ถ้าเราสังเกตดูรู้ อาการของความคิดที่จะผุดก่อตัวขึ้นมา จิตของเราจะเคลื่อนเข้าไปรวมเอง ถ้ากำลังสติของเรารู้ทันตั้งแต่ต้นเหตุเขาก็จะแยกออกจากกัน จิตของเราก็จะหงายขึ้นมา เขาเรียกว่าแยกรูปแยกนาม รับรู้ จิตเราก็จะว่าง โล่ง โปร่ง
ความรู้ตัวของเราก็จะตามดู เห็นการเกิดการดับของขันธ์ห้า ซึ่งเรียกว่ารู้สภาวธรรม เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป ที่ท่านเปรียบเทียบเอาไว้ เหมือนกับพยับแดด เวลาเราเดินไปตามถนน เหมือนกับมีตัวมีตน เวลาเราเข้าไปใกล้ๆ พยับแดดนั้นก็หายไป
อาการของขันธ์ห้าก็เหมือนกัน เขาเกิดขึ้นตั้งอยู่แล้วดับไป เวลาเขาดับไปแล้ว นั้นแหละ อนัตตา ความว่างเปล่าก็เข้ามาปรากฏ เรื่องใหม่ก็เข้ามา เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป เราไม่เห็นตรงนี้เราไม่รู้ตรงนี้ เราก็เลยไม่เข้าใจเรื่องอัตตาเรื่องอนัตตา นี่แหละ ถ้าเราแยกตรงนี้ได้ ทิฏฐิมานะต่างๆ ก็จะคลายไป กำลังสติก็จะตามทำความเข้าใจ รู้เห็นตามความเป็นจริง แล้วก็ค่อยละ
ต้องเป็นบุคคลที่มีความเพียร มีความเพียรตั้งแต่ตื่นขึ้นมา จนกระทั่งเรานอนหลับ ทุกอิริยาบถ ใหม่ๆ ทุกคนก็อาจจะไม่เข้าใจตรงนี้ เพราะว่าไปกังวลอยู่กับสิ่งโน้นบ้างสิ่งนี้บ้าง เราก็ต้องพยายามสร้างตบะ สร้างบารมี สร้างอานิสงส์ให้กับตัวเรา ถ้ายังไม่ถึงเวลาจริงๆ ก็คงจะยากที่จะแยกตรงนี้ได้ ถึงแยกได้ก็ยังตามทำความเข้าใจไม่ได้ละเอียด เพราะว่าวิบากกรรมหลายๆ สิ่งหลายๆ อย่างมาปิดกั้นเอาไว้ จนกว่าวิบากกรรมของเราจะคลายออกจากจิตจากใจ วิบากกรรมทางสมมติ คลายออกจากจิตจากใจของเรา เราก็ต้องพยายามหมั่นสร้างกุศลสร้างบารมี กำจัดกิเลสออกจากจิตจากใจของตัวเรา
แต่ละวันตื่นขึ้นมา เราก็รู้จักวิเคราะห์ตัวเรา เรามีความเสียสละเพียงพอหรือไม่ เรามีความตระหนี่เหนียวแน่นเราก็รู้จักละความตระหนี่เหนียวแน่น เรามีความโกรธเราก็พยายามดับความโกรธ พยายามให้อภัยทาน มองโลกในทางที่ดี แล้วก็คิดดี ไม่ใช่ว่าปฏิบัติจะเอาตั้งแต่ธรรม จะเอาตั้งแต่การหลุดพ้นอย่างเดียว
เราต้องควบคู่กันไป สมมติกับวิมุตติก็อยู่ร่วมกัน เหมือนกับต้นไม้ มีทั้งเปลือก มีทั้งกระพี้ มีทั้งแก่น เขาถึงอยู่รวมกันได้ ถ้าเราจะเอาตั้งแต่แก่น ไม่เอาเปลือก ไม่เอากระพี้ ต้นไม้เขาก็ตาย คนเราก็เหมือนกัน เรายังอยู่กับสังคม เรายังอยู่กับสมมติ เรายังอยู่กับปัจจัยสี่ เราก็ต้องทำความเข้าใจกับสมมติ อะไรคือสมมติ อะไรคือวิมุตติ อะไรคืออัตตา อะไรคืออนัตตา อะไรคือธรรม อะไรคือโลก
โลกกับธรรมเขาก็อยู่ร่วมกัน รูปกับนามก็อยู่ร่วมกัน จิตก็อาศัยกายนี้อยู่ กายก็เป็นกายของเราในทางสมมติ เป็นของเราจริงๆ ถ้าถึงวาระเวลาแล้วเขาก็ต้องแตกต้องดับไปตามสภาวะของเขา อันนี้ซึ่งเป็นส่วนรูปธรรม ในส่วนนามธรรมนั้น เราต้องมาทำความเข้าใจด้วยการเจริญสติเข้าไปสังเกต เข้าไปวิเคราะห์
เพียงแค่การสร้าง กับการรักษา กับการประคับประคองสติให้ต่อเนื่อง พวกเราก็ยังทำไม่ชำนาญ ต้องพยายามทำให้ชำนาญ แม้ตั้งแต่การหายใจเข้าออก พวกเราก็หายใจเข้าออกตั้งแต่เกิด ตั้งแต่ออกจากท้องแม่มานู่นแหละ การหายใจเข้าออกก็มีอยู่แล้ว ถ้าคนเราไม่หายใจก็เป็นอันว่าชีวิตนี้หมดสภาพ เราต้องพยายามหัดสังเกต
ใหม่ๆ ก็อาจจะไม่ต่อเนื่อง หรือบางทีก็อึดอัด ให้เราหัด พยายามหัดสังเกตการหายใจให้ธรรมชาติที่สุด ยืนเดินนั่งนอนกินอยู่ขับถ่าย จะทำอะไรเราอย่าไปทำด้วยความอยากที่เกิดจากตัวจิต หรือความอยากที่เกิดจากกิเลส เราพยายามดับ
แม้ตั้งแต่การรับประทานอาหาร เราก็ต้องพยายามดู กายหิวหรือว่าจิตเกิดความอยาก ทุกเรื่องในชีวิตของเรา เราต้องศึกษาให้ละเอียด ไม่ใช่ว่าเราจะศึกษาเรื่องหนึ่งเรื่องเดียวเท่านั้น ทุกเรื่องเลยทีเดียว ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา กายของเราทำหน้าที่อย่างไร ทวารทั้งหกของเราทำหน้าที่อย่างไร วิญญาณของเราทำหน้าที่อย่างไร เขาอาศัยกันอยู่ได้อย่างไร เขาจะแยกกันได้อย่างไร เราต้องตามทำความเข้าใจให้ละเอียด อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับความขยันหมั่นเพียรของตัวเรา
ถ้าเราไม่ขยันหมั่นเพียรให้ตัวเราแล้ว ก็ยากที่จะเข้าใจ ถึงจะไปฝึกหัดปฏิบัติที่โน้นบ้างที่นี่บ้าง ถ้าการกระทำของเราไม่ถูกต้อง หรือไม่ถูกตรง ก็ยิ่งยากเข้าไปอีก เราก็ต้องพยายาม เอาความเป็นกลางเป็นที่ตั้ง แต่เวลานี้จิตของเรายังไม่นิ่ง ความเป็นกลาง เพราะว่าจิตของเรายังเกิดอยู่ ยังหลงอยู่ หลงอยู่ในความคิด เราอาจจะว่าเราไม่หลง เราอาจจะไม่หลงอยู่ในระดับของสมมติ แต่ในระดับของวิมุตติ จิตของเรายังหลงอาการของขันธ์ห้า ยังเข้าไปรวมยังเข้าไปร่วมอยู่
เราก็ต้องพยายามศึกษาค้นคว้ากันไปให้ตลอด ให้ตลอดแนวทาง เหมือนกับเราขึ้นบันไดนั่นแหละ เราขึ้นจากขั้นแรกถึงขั้นสุดท้าย แล้วก็ขึ้นถึงตัวเรือน ถ้าเรามัวเล่นอยู่เราก็ไม่ถึงจุดหมายปลายทาง เราต้องพยายามขยันหมั่นเพียรกัน การเจริญสติที่ต่อเนื่องเป็นลักษณะอย่างนี้
เรารู้ตั้งแต่อาการของต้นเหตุของการเกิดการดับของจิตของความคิดไม่ทัน เราก็รู้จักระงับรู้จักดับเอาไว้ เราดับได้ระดับไหน ระดับต้นเหตุ ระดับกลาง ระดับปลาย หรือว่าระดับกายทางวาจา เราก็ต้องหมั่นวิเคราะห์พิจารณา ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา จิตของเราส่งออกไปข้างนอกภายนอกสักกี่เรื่อง เรื่องอะไรบ้าง เหตุจากภายนอกเข้ามาปรุงแต่งจิตของเราสักกี่อย่าง ทำให้จิตของเราเกิดสักกี่ครั้ง
แต่ละวันๆ เราเรียบเรียงดูความคิด ดูอารมณ์ของเราหรือไม่ หรือว่าส่งออกไป มีตั้งแต่วิ่ง มีตั้งแต่เกิดอยู่ ออกไปอยู่ตลอดเวลา เหนื่อย คิดมากก็เหนื่อย หลงความคิดหลงอารมณ์ก็หนัก ถ้าคนรู้จักปลดปลงปล่อยวาง ก็จะรู้จักปลดปลงปล่อยวาง ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะว่าง ก็จะเบา ก็จะโล่ง
อยู่กับสมมติก็ไม่ให้สมมติเข้าครอบงำ อยู่อย่างมีความสงบ อยู่อย่างมีความสุข อยู่ที่ไหนก็มีความสุข อยู่ที่ไหนเราก็จะได้ฟังธรรมอยู่ตลอดเวลา ยืนเดินนั่งนอนกินอยู่ขับถ่าย ก็เป็นการปฏิบัติธรรม รูปรสกลิ่นเสียงก็จะเป็นอาจารย์สอบอารมณ์เรา เรามีสติคอยตรวจสอบจิตของเราตลอดเวลา
ความปกตินั่นแหละคือสมาธิ ความปกตินั่นแหละคือศีล ศีลสมาธิ การแยกรูปแยกนาม นี่แหละคือตัววิปัสสนา แต่เรายังแยกไม่ได้เราก็จะเข้าสู่วิปัสสนาไม่ได้ ถ้าเราไปนึกไปคิด ไปพิจารณาไปวิเคราะห์ ถึงจะพิจารณาในธรรม แต่ก็ยังเป็นกิเลสธรรม ทำอย่างไรเราถึงจะให้จิตของเราตกกระแสธรรมได้
เราก็ต้องพยายามหมั่นอด หมั่นข่ม หมั่นสังเกต หมั่นวิเคราะห์ จนกว่าจิตของเราจะคลายออกจากความคิด ออกจากอารมณ์ อยู่ในความว่าง อยู่ในความโล่ง อยู่ในความโปร่ง รับรู้ รู้จักสะสางกิเลส จิตของเราจะเกิดกิเลสเราก็รู้จักระงับรู้จักดับ
ถ้าคนเราไม่รู้จักระงับรู้จักดับ มันก็เหมือนกับเพิ่มอาหารให้กิเลสอยู่ตลอดเวลา กิเลสเล็กๆ น้อยๆ เราก็อย่าให้เกิดขึ้นที่จิตของเรา ส่วนมากก็ตัวใหญ่ๆ นั้นไม่ค่อยเกิดหรอก นานๆ มันถึงจะเกิดที ไอ้ตัวเล็กๆ น้อยๆ การเกิดการดับของจิต เดี๋ยวก็คิดเรื่องโน้นบ้างเรื่องนี้บ้าง เรื่องอดีตบ้างเรื่องอนาคตบ้าง
บางคนบางท่านก็อาจจะไม่เข้าใจว่าคนเราก็ต้องคิด แต่ในหลักธรรมแล้วท่านให้คิดอยู่ แต่คิดด้วยสติคิดด้วยปัญญา ให้จิตของเรารับรู้ คลายจิตของเราออกจากความหลงให้ได้เสียก่อน ถึงค่อยคิด แล้วการกระทำของเราก็ต้องถึงพร้อม คิดเรื่องอดีตคิดเรื่องอนาคต คิดเรื่องภาระหน้าที่การงาน ถ้าสติปัญญาคิดจิตรับรู้ เรียกว่าปัญญารู้อยู่ปัจจุบัน แล้วการกระทำของเราก็ต้องถึงพร้อม ถึงจะเกิดประโยชน์
หลวงพ่อก็ขอบคุณทุกคนทุกท่าน ที่ได้มาฝึกหัดปฏิบัติ มีโอกาสก็ขอเชิญมาได้ตลอดเวลา มาฝึกทำกายวิเวก ทำจิตวิเวก ถ้าเราเข้าใจแนวทางแล้ว เราก็จะเอาไปใช้กับชีวิตประจำวันได้ตลอดเวลา ไม่ใช่ว่ามานั่งหลับตาอย่างเดียว มาเดินอย่างเดียว ทุกคน ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ภาระหน้าที่การงานทุกชนิด นั่นแหละคือการปฏิบัติธรรม
เรามีความรับผิดชอบที่สูงหรือไม่ รับผิดชอบต่อตัวเรา แล้วก็รับผิดชอบต่อส่วนรวม แล้วก็รับผิดชอบต่อสิ่งที่เราเข้าไปยุ่งเกี่ยว ก็จะมีตั้งแต่เกิดประโยชน์ อะไรคืออกุศล อะไรคือกุศล อกุศลเราก็ละ กุศลเราก็เจริญ อะไรคือส่วนรูปธรรม อะไรคือส่วนนามธรรม
ถ้าเราเข้าใจแล้วจะมีไม่มาก มีอยู่นิดเดียว แม้ตั้งแต่ความอยาก แม้แต่นิดเดียวก็อย่าให้เกิดขึ้นที่จิต แม้แต่จิตของเราส่งออกไปภายนอก แม้แต่นิดเดียวเราก็ไม่ให้ส่ง เราดับไม่ให้เกิดเลยแหละ เราต้องพยายามเอา ถ้าถึงวาระถึงเวลาแล้วทุกคนก็จะเข้าใจ
เราไม่รู้วันนี้วันพรุ่งนี้เราก็ต้องรู้ วันพรุ่งนี้เราไม่รู้วันมะรืนนี้เราก็ต้องรู้ ตราบใดที่เราฝักใฝ่ ตราบใดที่เราสนใจ ไม่เข้าใจในวันนี้ วันเดือนหน้าปีหน้า ถ้าเราไม่ถึงจุดหมายปลายทางจริงๆ ก็ต้องไปต่อเอาภพหน้า เพราะว่าจิตของคนเราทุกคนเดินเข้าไปถึงจุดหมายปลายทาง เดินเข้าไปถึงความหลุดพ้น ถ้าไม่หลุดพ้นจริงๆ ก็ไปต่อเอาภพหน้า ก็ต้องพยายามเอานะ
เอาล่ะ วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกัน อันนี้เพียงแค่เล่าให้ฟัง