หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 102
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 102
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 102
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 24 สิงหาคม 2556
เจริญธรรมญาติโยมทุกคนทุกท่าน ขอให้ญาติโยมจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเราให้ชัดเจน นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย แล้วก็หยุดความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ ที่เกิดจากใจเอาไว้ชั่วครั้งชั่วคราว ซึ่งเราหยุดไม่ได้ ละไม่ได้เด็ดขาด ก็ขอให้หยุดเอาไว้ขณะที่กําลังนั่งฟังอยู่นี่แหละ ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียก ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ สัก 2-3 เที่ยว กายของเราก็รู้สึกว่าสบายขึ้นเยอะ ใจของเราก็จะสงบตั้งมั่นขึ้น สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราก็จะชัดเจน
ความรู้สึกรับรู้เวลาลมหายใจเข้า เวลาลมหายใจออก เขาเรียกว่ารู้ตัวอยู่ปัจจุบัน เราพยายามสร้างความรู้สึกตรงนี้แหละ ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ พยายามฝึกให้เกิดความเคยชิน ความรู้สึกพลั้งเผลอเริ่มต้นใหม่ ความรู้สึกพลั้งเผลอเริ่มต้นใหม่ ส่วนการเกิดการดับของใจนั้นมีอยู่ทุกคน มีอยู่ตลอด อยู่ในกายเนื้อของเรา อยู่ในขันธ์ห้าของเรา ซึ่งมีส่วนรูปธรรมคือร่างกายของเรามาห่อหุ้ม ส่วนนามธรรมตัววิญญาณ ความคิดอารมณ์ต่างๆ ถ้าเราอยากจะรู้เหตุรู้ผลจริงๆ เราก็ต้องสร้างความรู้ตัวหรือว่าเจริญสติลงอยู่ที่กายของเรา รู้ให้เท่าทันการเกิดการดับของใจของเรา ขณะนี้ใจของเราปกติ ขณะนี้ใจของเราสงบ ใจของเราเกิดกิเลสได้อย่างไร
กายของเราทำหน้าที่อย่างไร ทวารทั้งหกทำหน้าที่อย่างไร เรามีความรับผิดชอบระดับไหน เรามีความขยันหมั่นเพียรระดับไหน ใจของเราเกิด ทำไมถึงเกิด กิเลส ทำไมถึงเป็นทาสของกิเลส ความอยาก ความทะเยอทะยานอยาก ซึ่งเป็นยางเหนียว เราก็มาวิเคราะห์หาเหตุหาผล แล้วก็รู้จักการเจริญพรหมวิหารเข้าไปทดแทน ใจของเราเกิดความโลภ เราก็พยายามละความโลภ เกิดความโกรธ เราก็พยายามละความโกรธ หมั่นศึกษาตัวเรานั่นแหละ ลึกลงไป ก็หมั่นศึกษาใจของเรา
ส่วนมากมีตั้งแต่ใจส่งออกไปภายนอก ปิดกั้นตัวเองอยู่ตลอดเวลา อาจจะถูกต้องอยู่ในระดับของสมมติ แต่ในหลักธรรมการเกิดนั่นแหละคือความหลง เกิดทางกายเนื้อหรือว่าเกิดอยู่ในภพของมนุษย์นี่ก็หลงมาเกิดอยู่ในภพของมนุษย์ มีขันธ์ห้ามีวิญญาณเข้ามาครอบครอง ถ้าเรามาเจริญสติเข้าไปจนรู้เท่าทันการเกิดของวิญญาณ จนวิญญาณของเราคลายออกจากขันธ์ห้า ซึ่งเรียกว่าแยก แยกรูปแยกนาม หรือว่าพลิกจากสมมติไปหาวิมุตติ หงายของที่คว่ำแล้วก็ตามทำความเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของเรา จนเป็นอัตโนมัติในการดู ในการรู้ ในการทำความเข้าใจ
เราก็จะมองเห็นชีวิตของเราว่า การเกิดเป็นทุกข์ มีตั้งแต่ความว่างเปล่า เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป แต่นัยน์ตาเนื้อของเราก็มองเห็นเป็นรูปธรรม แต่ตาปัญญา ตาสติที่เราสร้างขึ้นมา เขาก็จะมองเห็นความเป็นจริงว่าไม่มีอะไรที่เป็นสาระแก่นสารอะไร ก็ต้องพยายามดำเนินชีวิตตามคําสอนของพระพุทธองค์ ส่วนมากก็จะปล่อยปละละเลย อยากจะได้บุญอยากจะได้ธรรม แต่ไม่รู้จักเจริญสติ ไม่รู้จักสติ ไม่รู้จักละกิเลส มีตั้งแต่พอกพูนกิเลส มันก็เลยยากที่จะเข้าถึงตัวใจที่แท้จริงตามธรรมดาตามธรรมชาติที่จริง ใจถ้าไม่มีกิเลส เขาก็ว่าง ถ้าไม่เกิด เขาก็นิ่ง
แต่เวลานี้เขาเกิดด้วย เขาหลงด้วยมาไม่รู้กี่ภพกี่ชาติ กี่วัน กี่เดือน กี่ปี เราจะมาคลายแค่ชั่วโมง สองชั่วโมง แค่วัน แค่นาที เป็นไปไม่ได้ เราก็ต้องพยายามเจริญสติเข้าไปอบรมใจของเรา ว่าอันนั้นผิดอันนี้ถูก อบรมใจของเราเน้นลงอยู่ที่กายของเรา ทำความเข้าใจให้ถูกต้อง วิญญาณของเราทำหน้าที่อย่างนี้ กายทำหน้าที่อย่างนี้ ทวารทั้งหกทำหน้าที่อย่างนี้ เป็นเรื่องของเราทุกคน เป็นเรื่องของตัวเราแท้ๆ ไม่ใช่เรื่องของคนอื่น ที่จะทำความเข้าใจกับชีวิตของเรา
ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา เรามีความขยันหมั่นเพียรเพียงพอหรือไม่ เรามีความเสียสละ เรามีความอดทน เรามีความอดทน เรามีขันติอยู่ในระดับไหน ระดับกาย ระดับวาจา ระดับใจ วาจาของเราเป็นยังไง ใจของเราเป็นยังไง กายของเราเป็นอย่างไร สะสางภายในให้จบ ทำความเข้าภายในให้เรียบร้อย ทีนี้เราก็ล้นออกไปสู่สังคมสู่สมมติสู่โลกธรรม ท่านถึงบอกว่าให้รอบรู้ในขันธ์ห้าของพวกเรา ขันธ์ห้าของเรานี้มีอะไรบ้าง รอบรู้ในกองสังขาร ส่วนรูปส่วนนาม รอบรู้ในโลกธรรม
เราต้องเจริญสตินี่แหละ เข้าไปรอบรู้ เข้าไปหมั่นพร่ำสอนใจของเรา ค่อยเพียร ค่อยเปลี่ยน ค่อยไป พลั้งเผลอเริ่มขึ้นมาใหม่ แก้ไขตัวเราใหม่อยู่ตลอดเวลา อย่าไปโทษคนโน้น อย่าไปโทษคนนี้ จงโทษตัวเราเอง แก้ไขตัวเราเอง ปรับปรุงตัวเราเอง พระพุทธองค์ท่านสอนเรื่องอะไร สอนเรื่องทุกข์ เรื่องดับทุกข์ อยู่ในกายของเรานี่แหละ จะไปแสวงหาที่ไหน ถ้าไม่แสวงหาในกายของเรานี่แหล่ะได้บ้างไม่ได้บ้างก็ค่อยหล่อหลอมกันไป
วันนี้ก็มีเด็กนักเรียนลูกๆ หลานๆ โรงเรียนไทยรัฐของเรา เข้ามาตั้งแต่เมื่อคืนนี้แหละ คณะครูบาอาจารย์พาลูกหลานมา ก็เป็นสิ่งที่ดี มาหาประสบการณ์ คอยอบรมๆ ที่ละเล็กทีละน้อยก็ค่อยๆจะรู้ ทราบถึงไปทีละเล็กทีละน้อย การได้ออกจากบ้าน มานอนวัดมาค้างคืนที่วัด ถึงจะไม่รู้เรื่องอะไร ก็รู้สึกว่าตื่นเต้น เพราะว่าเด็กๆ เปลี่ยนสถานที่ เห็นอะไรก็ใหญ่โตยิ่งใหญ่ หาประสบการณ์สร้างสิ่งดีๆ หล่อหลอมลงไป สักวันหนึ่งก็คงจะ เข้าใจในชีวิต เหมือนกับเราสมัยเป็นเด็กๆ ไปโน่นไปนี่ก็รู้สึกว่าตื่นตาตื่นใจตะลึง นอนไม่หลับ ดีใจ ที่จะได้เปลี่ยนบรรยากาศจะให้เข้าใจในธรรมเลยก็เป็นไปไม่ได้หรอก เพราะว่าต้องอาศัยกาลอาศัยเวลาอาศัยอบรม ตั้งแต่พ่อแม่โน่นแหละ พ่อแม่อบรมมาดี ช่วยชี้แนะแนวทางให้ ก็ส่งเสริมส่งมาทางครูบาอาจารย์ก็ช่วยกันอบรม ครูบาอาจารย์ก็หาวิธีหาอุบายทุกอย่าง ที่จะนำลูกหลานเข้ามาฝึกได้บ้างไม่ได้บ้าง ก็แล้วแต่วิบากกรรมของแต่ละบุคคล ถ้าเรานำพาไปในทางที่ดี ก็หล่อหลอมไปในทางที่ดี ถ้านำพาไปในทางที่ไม่ดี ก็หล่อหลอมไปในทางที่ไม่ดี ถ้ามีอุปนิสัยในทางที่ไม่ดีนั้นก็เป็นวิบากของกรรมติดตามตัวมา
ถ้าไม่รู้จะแก้ไขอยู่ปัจจุบัน มันก็ยากอยู่ เราก็มาแก้ไขเสีย มาทำความเข้าใจเสีย เด็กๆ พากันมานอนวัด ก็พยายาม อย่าไปกลั่นแกล้งกัน อย่างเมื่อวานนี้ก็พากันทำโน่น ช่วยกันทำโน่นทำนี่ ไปตามถนนหนทางก็แหย่กัน เต้นเข้าวง เต้นร้องกระหวีดกระวายอยู่ ก็พยายามหัดอยู่ในความสงบ อยู่ในความเป็นระเบียบเรียบร้อย เห็นปากกา เห็นดินสอ เต็มเกลื่อนถนนพากันไม่รู้จักรักษา เก็บได้เยอะอยู่เมื่อวานนี้ ก็ต้องพยายามอะไรที่จะเป็นระเบียบเรียบร้อย ทำบุญให้กับตัวเรา ทำบุญให้กับพ่อกับแม่ ทำบุญให้กับครูบาอาจารย์ ไปโรงเรียนเราก็รู้จักเก็บขยะ ไม่ใช่ว่าทิ้งไปเกลื่อน อยู่ที่บ้านเราก็รู้จักช่วยพ่อช่วยแม่ ตื่นขึ้นมาไม่ต้องให้พ่อแม่ได้ปลุกได้เรียก รู้จักทำความสะอาดถูบ้านถูเรือน มีความรับผิดชอบ ล้างถ้วยล้างชาม รู้จักซักเสื้อซักผ้า รู้จักขยันหมั่นเพียร ไม่เห็นแก่ตัว นั่นแหละ เราก็ได้ทำบุญให้กับตัวเรา เรานั่นแหละได้ ไม่มีใครได้หรอก
เราขยันหมั่นเพียรครูบาอาจารย์ก็ดีใจ พ่อแม่ก็ดีใจ บุญก็เกิดขึ้นกับพ่อกับแม่ ครูบาอาจารย์ก็เป็นแค่เพียงแผนที่ผู้ชี้แนะแนวทางให้ ถ้าพวกเราไม่หล่อหลอมตัวเราเองมันก็ยาก เราเป็นนักเรียน เราก็ตั้งใจเรียน แล้วก็มีความรับผิดชอบ มีความเสียสละ ไม่เอารัดเอาเปรียบเพื่อน ขยันหมั่นเพียร ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา มาโรงเรียน เห็นเศษกระดาษ เห็นเศษขยะ เราก็พยายามเก็บ ห้องส้วมห้องน้ำ เวลาเข้าห้องน้ำ เราก็พยายามเดินดู ห้องไหนมันสกปรก เราก็เข้าห้องนั้น เราได้กําไร ได้ขอทำความสะอาดด้วย ดูแลด้วย ได้กําไร ไม่ใช่ว่าไปสร้างตั้งแต่ความสกปรกรกรุงรังให้ นั่นแหละเราก็ได้ จะได้ ได้บุญ
ถ้าคนรู้จักก็บุญ รู้จักปัดกวาดทำความสะอาดที่นั่นบ้างที่นี่บ้าง แม้ตั้งแต่ที่พักที่อาศัยของเราที่หลับที่นอน เราก็รู้จักรักษาให้เป็นระเบียบ รู้จักทำความเข้าใจ เคารพในตัวของเรา เคารพในพ่อแม่ เคารพในครูบาอาจารย์ ความกตัญญูกตเวที พยายามสร้างขึ้นมาให้ละอายในสิ่งที่ควรละอาย ให้กล้าหาญในสิ่งที่ควรกล้าหาญ มันถึงจะถูกต้อง หล่อหลอมลงไปทีละเล็กทีละน้อย เหมือนกับเราปลูกผลหมากรากไม้ เราจะเร่งให้ออกดอกออกผลวันเดียวก็ไม่ได้ มันก็ต้องอาศัยการอาศัยเวลา อาศัยความเพียรที่ถูกต้อง
ลูกหลานของเราก็เหมือนกัน ก็มาจากพ่อจากแม่ พ่อแม่อบรมดี ก็ส่งผลถึงลูกที่ดี ถ้าพ่อแม่บ่นให้กันทุกวัน ว่าให้กันทุกวัน ก็หล่อหลอมลงไปถึงเด็ก มันจะไปโทษเด็กก็ไม่ได้ ต้องโทษตัวเราเอง อยู่กับเด็กอยู่กับลูกกับหลาน แม้แต่คําหยาบวาจาเราก็ไม่พูดในสิ่งที่ไม่ดี พูดเฉพาะสิ่งที่ดีๆ ทำเฉพาะสิ่งที่ดีๆ ก็จะซึมซับเข้าไปสู่นั้นแหละเป็นการฝากทรัพย์ภายในไว้ให้ลูกให้หลาน เป็นการฝากทรัพย์ภายในไว้ให้เด็ก ส่งต่อกันไป เด็กก็จะกลายเป็นผู้ใหญ่ที่ดีในวันข้างหน้า
ถ้าประพฤติปฏิบัติไม่ดีก็ยกให้เป็นกรรม วิบากกรรมของแต่ละบุคคลสร้างมาไม่เหมือนกัน ถ้าเราอยากจะรู้จักธรรมก็ต้องเจริญสติ ก็ไปทำความเข้าใจแยกรูปแยกนาม รู้ใน กายในขั้นธ์ห้าของเรามีอะไรบ้างที่พระพุทธองค์ท่านบอกว่าเป็นกองเป็นขันธ์ อะไรคือกองอะไรคือขันธ์ กองวิญญาณ กองนาม กองรูปเป็นอย่างไร การละกิเลสเป็นอย่างไร หน้าตาของกิเลส อาการเกิดความอยากเป็นอย่างไร ตัววิญญาณที่แท้จริงเป็นอย่างไร เราต้องศึกษาให้ละเอียด ไม่ใช่ว่าไปปล่อยปละละเลย
แต่ละวันแต่ละวันตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ลักษณะของสติคําว่ารู้ตัวอยู่ปัจจุบันเป็นอย่างไร การได้ยินได้ฟัง ได้อ่าน การได้อบรม ทุกคน อบรมมาทุกวัน แต่ขาดการเจริญสติที่เข้าไปอบรมใจ เพียงแค่สติรู้ตัวให้ต่อเนื่องกันสักนาที สองนาที ก็ทั้งยากลําบาก เพียงแค่การเจริญให้ต่อเนื่อง ก็ยังทำกันไม่ได้ จะไปอบรมใจได้ยังไง ใจเขาเกิดอยู่ตลอดเวลา เราก็ต้องพยายามอย่างน้อยๆ ก็ให้อยู่ในกองบุญ ให้อยู่ในคุณงามความดีก็ยังดี
แต่ละวันตื่นขึ้นมาเราได้สร้างประโยชน์อะไรบ้าง ในหลักธรรมความอยาก ความไม่อยาก การเกิดของจิตของวิญญาณ อยากไปอยากมา ไม่อยากไปไม่อยากมา มันก็คลาดเคลื่อนเสียแล้ว ถ้าเราไม่รู้จักควบคุม รู้จักดับ รู้จักสร้างตบะ สร้างบารมี กิเลสหยาบ กิเลสละเอียด มีอยู่ในกายของเราหมด แม้แต่เรื่องการกินการขบการฉัน ความอยากที่เกิดจากตัววิญญาณเราก็ต้องดับ เปลี่ยนจากความอยากให้เป็นความต้องการของสติปัญญา สติปัญญาของเราถ้าตามทำความเข้าใจ อบรมใจของเราอยู่ตลอดเวลา ถ้าเขารู้แจ้งเห็นจริงหมด เขาจะกลายเป็นมหาสติ มหาปัญญา จนเต็มรอบ จนสติ สมาธิ ปัญญา เขาจะรักษาเรา นั่นแหละคือธรรมรักษา ความดีของดีมีอยู่ในกายของเราหมด เว้นเสียแต่ว่าพวกเราจะดำเนินให้ถึงจุดหมายปลายทางกันหรือไม่ เท่านั้นเอง
ลองสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจให้ชัดเจน ให้ต่อเนื่องกัน สักพัก ระยะหนึ่งนะ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอานะ
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 24 สิงหาคม 2556
เจริญธรรมญาติโยมทุกคนทุกท่าน ขอให้ญาติโยมจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเราให้ชัดเจน นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย แล้วก็หยุดความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ ที่เกิดจากใจเอาไว้ชั่วครั้งชั่วคราว ซึ่งเราหยุดไม่ได้ ละไม่ได้เด็ดขาด ก็ขอให้หยุดเอาไว้ขณะที่กําลังนั่งฟังอยู่นี่แหละ ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียก ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ สัก 2-3 เที่ยว กายของเราก็รู้สึกว่าสบายขึ้นเยอะ ใจของเราก็จะสงบตั้งมั่นขึ้น สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราก็จะชัดเจน
ความรู้สึกรับรู้เวลาลมหายใจเข้า เวลาลมหายใจออก เขาเรียกว่ารู้ตัวอยู่ปัจจุบัน เราพยายามสร้างความรู้สึกตรงนี้แหละ ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ พยายามฝึกให้เกิดความเคยชิน ความรู้สึกพลั้งเผลอเริ่มต้นใหม่ ความรู้สึกพลั้งเผลอเริ่มต้นใหม่ ส่วนการเกิดการดับของใจนั้นมีอยู่ทุกคน มีอยู่ตลอด อยู่ในกายเนื้อของเรา อยู่ในขันธ์ห้าของเรา ซึ่งมีส่วนรูปธรรมคือร่างกายของเรามาห่อหุ้ม ส่วนนามธรรมตัววิญญาณ ความคิดอารมณ์ต่างๆ ถ้าเราอยากจะรู้เหตุรู้ผลจริงๆ เราก็ต้องสร้างความรู้ตัวหรือว่าเจริญสติลงอยู่ที่กายของเรา รู้ให้เท่าทันการเกิดการดับของใจของเรา ขณะนี้ใจของเราปกติ ขณะนี้ใจของเราสงบ ใจของเราเกิดกิเลสได้อย่างไร
กายของเราทำหน้าที่อย่างไร ทวารทั้งหกทำหน้าที่อย่างไร เรามีความรับผิดชอบระดับไหน เรามีความขยันหมั่นเพียรระดับไหน ใจของเราเกิด ทำไมถึงเกิด กิเลส ทำไมถึงเป็นทาสของกิเลส ความอยาก ความทะเยอทะยานอยาก ซึ่งเป็นยางเหนียว เราก็มาวิเคราะห์หาเหตุหาผล แล้วก็รู้จักการเจริญพรหมวิหารเข้าไปทดแทน ใจของเราเกิดความโลภ เราก็พยายามละความโลภ เกิดความโกรธ เราก็พยายามละความโกรธ หมั่นศึกษาตัวเรานั่นแหละ ลึกลงไป ก็หมั่นศึกษาใจของเรา
ส่วนมากมีตั้งแต่ใจส่งออกไปภายนอก ปิดกั้นตัวเองอยู่ตลอดเวลา อาจจะถูกต้องอยู่ในระดับของสมมติ แต่ในหลักธรรมการเกิดนั่นแหละคือความหลง เกิดทางกายเนื้อหรือว่าเกิดอยู่ในภพของมนุษย์นี่ก็หลงมาเกิดอยู่ในภพของมนุษย์ มีขันธ์ห้ามีวิญญาณเข้ามาครอบครอง ถ้าเรามาเจริญสติเข้าไปจนรู้เท่าทันการเกิดของวิญญาณ จนวิญญาณของเราคลายออกจากขันธ์ห้า ซึ่งเรียกว่าแยก แยกรูปแยกนาม หรือว่าพลิกจากสมมติไปหาวิมุตติ หงายของที่คว่ำแล้วก็ตามทำความเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของเรา จนเป็นอัตโนมัติในการดู ในการรู้ ในการทำความเข้าใจ
เราก็จะมองเห็นชีวิตของเราว่า การเกิดเป็นทุกข์ มีตั้งแต่ความว่างเปล่า เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป แต่นัยน์ตาเนื้อของเราก็มองเห็นเป็นรูปธรรม แต่ตาปัญญา ตาสติที่เราสร้างขึ้นมา เขาก็จะมองเห็นความเป็นจริงว่าไม่มีอะไรที่เป็นสาระแก่นสารอะไร ก็ต้องพยายามดำเนินชีวิตตามคําสอนของพระพุทธองค์ ส่วนมากก็จะปล่อยปละละเลย อยากจะได้บุญอยากจะได้ธรรม แต่ไม่รู้จักเจริญสติ ไม่รู้จักสติ ไม่รู้จักละกิเลส มีตั้งแต่พอกพูนกิเลส มันก็เลยยากที่จะเข้าถึงตัวใจที่แท้จริงตามธรรมดาตามธรรมชาติที่จริง ใจถ้าไม่มีกิเลส เขาก็ว่าง ถ้าไม่เกิด เขาก็นิ่ง
แต่เวลานี้เขาเกิดด้วย เขาหลงด้วยมาไม่รู้กี่ภพกี่ชาติ กี่วัน กี่เดือน กี่ปี เราจะมาคลายแค่ชั่วโมง สองชั่วโมง แค่วัน แค่นาที เป็นไปไม่ได้ เราก็ต้องพยายามเจริญสติเข้าไปอบรมใจของเรา ว่าอันนั้นผิดอันนี้ถูก อบรมใจของเราเน้นลงอยู่ที่กายของเรา ทำความเข้าใจให้ถูกต้อง วิญญาณของเราทำหน้าที่อย่างนี้ กายทำหน้าที่อย่างนี้ ทวารทั้งหกทำหน้าที่อย่างนี้ เป็นเรื่องของเราทุกคน เป็นเรื่องของตัวเราแท้ๆ ไม่ใช่เรื่องของคนอื่น ที่จะทำความเข้าใจกับชีวิตของเรา
ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา เรามีความขยันหมั่นเพียรเพียงพอหรือไม่ เรามีความเสียสละ เรามีความอดทน เรามีความอดทน เรามีขันติอยู่ในระดับไหน ระดับกาย ระดับวาจา ระดับใจ วาจาของเราเป็นยังไง ใจของเราเป็นยังไง กายของเราเป็นอย่างไร สะสางภายในให้จบ ทำความเข้าภายในให้เรียบร้อย ทีนี้เราก็ล้นออกไปสู่สังคมสู่สมมติสู่โลกธรรม ท่านถึงบอกว่าให้รอบรู้ในขันธ์ห้าของพวกเรา ขันธ์ห้าของเรานี้มีอะไรบ้าง รอบรู้ในกองสังขาร ส่วนรูปส่วนนาม รอบรู้ในโลกธรรม
เราต้องเจริญสตินี่แหละ เข้าไปรอบรู้ เข้าไปหมั่นพร่ำสอนใจของเรา ค่อยเพียร ค่อยเปลี่ยน ค่อยไป พลั้งเผลอเริ่มขึ้นมาใหม่ แก้ไขตัวเราใหม่อยู่ตลอดเวลา อย่าไปโทษคนโน้น อย่าไปโทษคนนี้ จงโทษตัวเราเอง แก้ไขตัวเราเอง ปรับปรุงตัวเราเอง พระพุทธองค์ท่านสอนเรื่องอะไร สอนเรื่องทุกข์ เรื่องดับทุกข์ อยู่ในกายของเรานี่แหละ จะไปแสวงหาที่ไหน ถ้าไม่แสวงหาในกายของเรานี่แหล่ะได้บ้างไม่ได้บ้างก็ค่อยหล่อหลอมกันไป
วันนี้ก็มีเด็กนักเรียนลูกๆ หลานๆ โรงเรียนไทยรัฐของเรา เข้ามาตั้งแต่เมื่อคืนนี้แหละ คณะครูบาอาจารย์พาลูกหลานมา ก็เป็นสิ่งที่ดี มาหาประสบการณ์ คอยอบรมๆ ที่ละเล็กทีละน้อยก็ค่อยๆจะรู้ ทราบถึงไปทีละเล็กทีละน้อย การได้ออกจากบ้าน มานอนวัดมาค้างคืนที่วัด ถึงจะไม่รู้เรื่องอะไร ก็รู้สึกว่าตื่นเต้น เพราะว่าเด็กๆ เปลี่ยนสถานที่ เห็นอะไรก็ใหญ่โตยิ่งใหญ่ หาประสบการณ์สร้างสิ่งดีๆ หล่อหลอมลงไป สักวันหนึ่งก็คงจะ เข้าใจในชีวิต เหมือนกับเราสมัยเป็นเด็กๆ ไปโน่นไปนี่ก็รู้สึกว่าตื่นตาตื่นใจตะลึง นอนไม่หลับ ดีใจ ที่จะได้เปลี่ยนบรรยากาศจะให้เข้าใจในธรรมเลยก็เป็นไปไม่ได้หรอก เพราะว่าต้องอาศัยกาลอาศัยเวลาอาศัยอบรม ตั้งแต่พ่อแม่โน่นแหละ พ่อแม่อบรมมาดี ช่วยชี้แนะแนวทางให้ ก็ส่งเสริมส่งมาทางครูบาอาจารย์ก็ช่วยกันอบรม ครูบาอาจารย์ก็หาวิธีหาอุบายทุกอย่าง ที่จะนำลูกหลานเข้ามาฝึกได้บ้างไม่ได้บ้าง ก็แล้วแต่วิบากกรรมของแต่ละบุคคล ถ้าเรานำพาไปในทางที่ดี ก็หล่อหลอมไปในทางที่ดี ถ้านำพาไปในทางที่ไม่ดี ก็หล่อหลอมไปในทางที่ไม่ดี ถ้ามีอุปนิสัยในทางที่ไม่ดีนั้นก็เป็นวิบากของกรรมติดตามตัวมา
ถ้าไม่รู้จะแก้ไขอยู่ปัจจุบัน มันก็ยากอยู่ เราก็มาแก้ไขเสีย มาทำความเข้าใจเสีย เด็กๆ พากันมานอนวัด ก็พยายาม อย่าไปกลั่นแกล้งกัน อย่างเมื่อวานนี้ก็พากันทำโน่น ช่วยกันทำโน่นทำนี่ ไปตามถนนหนทางก็แหย่กัน เต้นเข้าวง เต้นร้องกระหวีดกระวายอยู่ ก็พยายามหัดอยู่ในความสงบ อยู่ในความเป็นระเบียบเรียบร้อย เห็นปากกา เห็นดินสอ เต็มเกลื่อนถนนพากันไม่รู้จักรักษา เก็บได้เยอะอยู่เมื่อวานนี้ ก็ต้องพยายามอะไรที่จะเป็นระเบียบเรียบร้อย ทำบุญให้กับตัวเรา ทำบุญให้กับพ่อกับแม่ ทำบุญให้กับครูบาอาจารย์ ไปโรงเรียนเราก็รู้จักเก็บขยะ ไม่ใช่ว่าทิ้งไปเกลื่อน อยู่ที่บ้านเราก็รู้จักช่วยพ่อช่วยแม่ ตื่นขึ้นมาไม่ต้องให้พ่อแม่ได้ปลุกได้เรียก รู้จักทำความสะอาดถูบ้านถูเรือน มีความรับผิดชอบ ล้างถ้วยล้างชาม รู้จักซักเสื้อซักผ้า รู้จักขยันหมั่นเพียร ไม่เห็นแก่ตัว นั่นแหละ เราก็ได้ทำบุญให้กับตัวเรา เรานั่นแหละได้ ไม่มีใครได้หรอก
เราขยันหมั่นเพียรครูบาอาจารย์ก็ดีใจ พ่อแม่ก็ดีใจ บุญก็เกิดขึ้นกับพ่อกับแม่ ครูบาอาจารย์ก็เป็นแค่เพียงแผนที่ผู้ชี้แนะแนวทางให้ ถ้าพวกเราไม่หล่อหลอมตัวเราเองมันก็ยาก เราเป็นนักเรียน เราก็ตั้งใจเรียน แล้วก็มีความรับผิดชอบ มีความเสียสละ ไม่เอารัดเอาเปรียบเพื่อน ขยันหมั่นเพียร ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา มาโรงเรียน เห็นเศษกระดาษ เห็นเศษขยะ เราก็พยายามเก็บ ห้องส้วมห้องน้ำ เวลาเข้าห้องน้ำ เราก็พยายามเดินดู ห้องไหนมันสกปรก เราก็เข้าห้องนั้น เราได้กําไร ได้ขอทำความสะอาดด้วย ดูแลด้วย ได้กําไร ไม่ใช่ว่าไปสร้างตั้งแต่ความสกปรกรกรุงรังให้ นั่นแหละเราก็ได้ จะได้ ได้บุญ
ถ้าคนรู้จักก็บุญ รู้จักปัดกวาดทำความสะอาดที่นั่นบ้างที่นี่บ้าง แม้ตั้งแต่ที่พักที่อาศัยของเราที่หลับที่นอน เราก็รู้จักรักษาให้เป็นระเบียบ รู้จักทำความเข้าใจ เคารพในตัวของเรา เคารพในพ่อแม่ เคารพในครูบาอาจารย์ ความกตัญญูกตเวที พยายามสร้างขึ้นมาให้ละอายในสิ่งที่ควรละอาย ให้กล้าหาญในสิ่งที่ควรกล้าหาญ มันถึงจะถูกต้อง หล่อหลอมลงไปทีละเล็กทีละน้อย เหมือนกับเราปลูกผลหมากรากไม้ เราจะเร่งให้ออกดอกออกผลวันเดียวก็ไม่ได้ มันก็ต้องอาศัยการอาศัยเวลา อาศัยความเพียรที่ถูกต้อง
ลูกหลานของเราก็เหมือนกัน ก็มาจากพ่อจากแม่ พ่อแม่อบรมดี ก็ส่งผลถึงลูกที่ดี ถ้าพ่อแม่บ่นให้กันทุกวัน ว่าให้กันทุกวัน ก็หล่อหลอมลงไปถึงเด็ก มันจะไปโทษเด็กก็ไม่ได้ ต้องโทษตัวเราเอง อยู่กับเด็กอยู่กับลูกกับหลาน แม้แต่คําหยาบวาจาเราก็ไม่พูดในสิ่งที่ไม่ดี พูดเฉพาะสิ่งที่ดีๆ ทำเฉพาะสิ่งที่ดีๆ ก็จะซึมซับเข้าไปสู่นั้นแหละเป็นการฝากทรัพย์ภายในไว้ให้ลูกให้หลาน เป็นการฝากทรัพย์ภายในไว้ให้เด็ก ส่งต่อกันไป เด็กก็จะกลายเป็นผู้ใหญ่ที่ดีในวันข้างหน้า
ถ้าประพฤติปฏิบัติไม่ดีก็ยกให้เป็นกรรม วิบากกรรมของแต่ละบุคคลสร้างมาไม่เหมือนกัน ถ้าเราอยากจะรู้จักธรรมก็ต้องเจริญสติ ก็ไปทำความเข้าใจแยกรูปแยกนาม รู้ใน กายในขั้นธ์ห้าของเรามีอะไรบ้างที่พระพุทธองค์ท่านบอกว่าเป็นกองเป็นขันธ์ อะไรคือกองอะไรคือขันธ์ กองวิญญาณ กองนาม กองรูปเป็นอย่างไร การละกิเลสเป็นอย่างไร หน้าตาของกิเลส อาการเกิดความอยากเป็นอย่างไร ตัววิญญาณที่แท้จริงเป็นอย่างไร เราต้องศึกษาให้ละเอียด ไม่ใช่ว่าไปปล่อยปละละเลย
แต่ละวันแต่ละวันตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ลักษณะของสติคําว่ารู้ตัวอยู่ปัจจุบันเป็นอย่างไร การได้ยินได้ฟัง ได้อ่าน การได้อบรม ทุกคน อบรมมาทุกวัน แต่ขาดการเจริญสติที่เข้าไปอบรมใจ เพียงแค่สติรู้ตัวให้ต่อเนื่องกันสักนาที สองนาที ก็ทั้งยากลําบาก เพียงแค่การเจริญให้ต่อเนื่อง ก็ยังทำกันไม่ได้ จะไปอบรมใจได้ยังไง ใจเขาเกิดอยู่ตลอดเวลา เราก็ต้องพยายามอย่างน้อยๆ ก็ให้อยู่ในกองบุญ ให้อยู่ในคุณงามความดีก็ยังดี
แต่ละวันตื่นขึ้นมาเราได้สร้างประโยชน์อะไรบ้าง ในหลักธรรมความอยาก ความไม่อยาก การเกิดของจิตของวิญญาณ อยากไปอยากมา ไม่อยากไปไม่อยากมา มันก็คลาดเคลื่อนเสียแล้ว ถ้าเราไม่รู้จักควบคุม รู้จักดับ รู้จักสร้างตบะ สร้างบารมี กิเลสหยาบ กิเลสละเอียด มีอยู่ในกายของเราหมด แม้แต่เรื่องการกินการขบการฉัน ความอยากที่เกิดจากตัววิญญาณเราก็ต้องดับ เปลี่ยนจากความอยากให้เป็นความต้องการของสติปัญญา สติปัญญาของเราถ้าตามทำความเข้าใจ อบรมใจของเราอยู่ตลอดเวลา ถ้าเขารู้แจ้งเห็นจริงหมด เขาจะกลายเป็นมหาสติ มหาปัญญา จนเต็มรอบ จนสติ สมาธิ ปัญญา เขาจะรักษาเรา นั่นแหละคือธรรมรักษา ความดีของดีมีอยู่ในกายของเราหมด เว้นเสียแต่ว่าพวกเราจะดำเนินให้ถึงจุดหมายปลายทางกันหรือไม่ เท่านั้นเอง
ลองสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจให้ชัดเจน ให้ต่อเนื่องกัน สักพัก ระยะหนึ่งนะ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอานะ