หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 90

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 90
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ผู้บรรยาย
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 90
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 90
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 18 กรกฎาคม 2556

พากันดูดีๆ นะ พระเราชีเรา พิจารณาปฏิสังขาโย แต่ละวันตื่นขึ้นมาเรารีบรู้กายรู้ใจของเรา รู้จักภาระหน้าที่ความรับผิดชอบทุกขณะลมหายใจเข้าออก จนเป็นอัตโนมัติในการดู ในการรู้ ในการทำความเข้าใจ ไม่ใช่ไปปล่อยปละละเลย ความขยันหมั่นเพียรของเรามีหรือไม่ ความรับผิดชอบของเรามีหรือไม่ ความสะอาด ความเป็นระเบียบ ที่พักที่อาศัย ที่หลับที่นอน ที่อยู่ที่กิน เราก็ต้องพยายามดู อันนี้เรื่องของกาย เรื่องของใจ การเกิดของใจซึ่งเป็นนามธรรม ลักษณะอาการของใจ เราต้องสร้างความรู้ตัว รู้ให้เท่าทัน ไม่ใช่ว่าไปผัดวันประกันพรุ่ง

ยิ่งบวชเข้ามาแล้วก็ยิ่งความเพียรภายใน ดูใจให้ได้ตลอดเวลา ความเสียสละมีถึงได้มาบวช เสียสละกาลเสียสละเวลา ภาระหน้าที่การงานทางสมมติ ความขยันหมั่นเพียรของเรา ความรับผิดชอบของเรา เราต้องพยายามสร้างขึ้นมาให้มีให้เกิดขึ้นที่ใจของเรา ความอ่อนน้อมถ่อมตน ความขยัน ความเสียสละ การทำความเข้าใจกับกิเลสหยาบกิเลสละเอียด

ปีนี้ก็ใกล้จะเข้าพรรษาเข้ามาเต็มที วันนี้วันอะไรนะ วันที่เท่าไรนะ วันที่ 18 19 20 21 22 เหลืออีก 4-5 วันเอง ก็จะเข้าพรรษาแล้ว ปีหนึ่งผ่านไปเร็วไวจัง ถ้าเราไม่สนใจกับกาลกับเวลาเท่าไรก็ไม่ได้ไปกังวล วันๆ ผ่านไปเร็วไว ในหลักธรรมท่านให้รู้ตัวทุกขณะลมหายใจเข้าออก ทุกขณะจิตทุกขณะลมหายใจเข้าออก ถึงเรียกว่าปัจจุบันธรรม แต่คนทั่วไปก็มีตั้งแต่ฝักใฝ่สนใจในภาพรวม ศรัทธามีอยู่ การแสวงหามีอยู่ แต่ไม่ได้เจริญสติเข้าไปอบรมไปละความเกิดที่ใจเท่าไร ก็เลยไม่รู้เท่าทันต้นเหตุ สร้างแต่เหตุแต่ไม่รู้ตัวว่าสร้างเหตุ เพราะว่าขันธ์ห้าเกิดอยู่ตลอดเวลา วิญญาณเกิดอยู่ตลอดเวลา การเกิดของเขานั่นแหละ ปิดบังตัวเขาไว้หมดเลย

ในหลักธรรมท่านให้มาสร้างความรู้ตัว มาเจริญสติแล้วก็รู้จักเอาไปใช้ เอาไปวิเคราะห์หาเหตุหาผลให้ใจรับรู้ความเป็นจริงเขาถึงจะปล่อยจะวางได้ แต่ก็ไม่เหลือวิสัย ก็พยายามนะ อย่าพากันปล่อยเวลาทิ้ง ค่อยสร้างสะสมบุญบารมีไปเรื่อยๆ ได้บ้างไม่ได้บ้างก็ทำ เพราะว่าคนเราจะบรรลุถึงเป้าหมายนั้น ถ้าไม่มีอานิสงส์ไม่มีบารมีที่เต็มเปี่ยม มันก็ยากอยู่ เพียงแค่ระดับของสมมติ ความเป็นอยู่ของเราถ้าไม่บริบูรณ์ มันก็ลำบาก ยิ่งมีพันธะภาระกับสิ่งโน้นสิ่งนี้ ถ้าไม่แก้ไขให้ดี มันก็ลำบากอีก

ในหลักธรรม แม้แต่เรื่องของการบวชเป็นพระ ท่านถึงมีกฎกติกาเอาไว้ เพียงแค่ทรัพย์สินเป็นหนี้เป็นสินเพียงแค่บาทเดียว ท่านก็ให้สลัดสละออก ไม่ให้มีหนี้มีสิน เพื่อไม่ให้กังวลใจ การบวชต้องไม่ให้มีหนี้มีสิน ถ้าคนเราไปก่อหนี้ก่อสิน ถ้าไม่สะสางให้มันหมดจดมันก็ยากอยู่ ยิ่งมาเพิ่มความอยากอีก อยากอันโน้นอยากอันนี้

ในหลักธรรมท่านให้ละความอยากความไม่อยาก มันตรงกันข้ามหมดเลย ทีนี้จะเอา จะมี จะเป็นก็เป็นเรื่องของปัญญา แต่ต้องคลายภายในให้เรียบร้อยเสียก่อน ความอยากแม้แต่นิดเดียวก็ไม่ให้เกิดขึ้นที่ใจ เปลี่ยนเป็นความรับผิดชอบของสติปัญญา ทำมากทำน้อยก็เป็นเรื่องของสติปัญญา แม้แต่เรื่องการขบการฉัน คนเราไม่เข้าใจความจริงอาจจะมองในด้านเดียว ความถูกต้องหรือระดับของสมมติ ขาดการคลี่คลายวิญญาณออกให้รับรู้ความเป็นจริง ก็เลยไม่เห็นตรงนี้ ก็เลยได้ตั้งแต่สร้างบารมี

การทำบุญให้ทาน ไปปฏิบัติธรรมที่โน่นที่นี่แทนที่จะลงที่ใจของตัวเรา บางคนไม่รู้เรื่องเลย ความรู้ตัวเป็นอย่างไร สติเป็นอย่างไร มันรู้อยู่ตั้งแต่ในภาพรวมว่าใจกับความคิดมันรวมกันมันหลงไปแล้ว บางทีก็ควบคุมได้ช่วงกลางช่วงปลาย บางทีก็ส่งเสริมมันไปเลย จะว่าง่ายก็ง่าย จะว่ายากก็ยาก แต่มันก็ไม่เหลือวิสัย ถ้าคนฝักใฝ่ เพียงแค่คลายวิญญาณออกจากขันธ์ห้าแยกรูปแยกนาม เพียงแค่เริ่มต้นก็ยังลำบากอยู่ ทีนี้การละกิเลสหยาบกิเลสละเอียดอีกก็ยิ่งลำบากอีก ถ้าคนไม่ฝักใฝ่จริงๆ แม้แต่เรื่องการกินการขบการฉัน ความอยากแม้แต่นิดเดียวนั้นท่านก็ยังไม่ให้เกิด

ความอยากมันเห็นได้ชัด กายหิว ใจเกิดความอยาก อันโน้นก็อร่อยอันนี้ก็อร่อย เอาน้อยๆ ก็กลัวไม่อิ่มมันว่างั้น เอาเยอะๆ เอาเยอะๆ เอาเยอะๆ ก็ ทานได้แค่อิ่มนั่นแหละ พิจารณาดู มองซ้ายมองขวา มองบน มองล่าง มองกลางใจของเรา ถ้าเราไม่เอาคนเบื้องหลังเป็นอย่างไร ถึงคนเบื้องหลังไหม ถ้าเราเอาไปแล้วก็ ไม่ได้ขบ ไม่ได้ฉัน ไม่ได้ทาน แล้วก็ไปทิ้งเปล่าๆ เราก็ต้องดู ไม่ใช่ว่าอยากจะได้ตั้งแต่ธรรม ความเสียสละไม่มี การทำความเข้าใจไม่มี มันเสียเวลา เราต้องสำรวจเราแก้ไขเรา ปรับปรุงตัวเรา ถ้าเราสอนเราไม่ได้ อย่าไปเที่ยวให้คนอื่นเขาสอนเสียเวลาเปล่า ไม่มีประโยชน์อะไร ไปอยู่ที่ดีถึงขนาดไหนมันก็ไม่เกิดประโยชน์ถ้าเราไม่แก้ไขตัวเรา

การทำบุญให้ทานนี้มาตั้งนาน ในหลักธรรมท่านชี้แนะแนวทางเอาไว้หมด ไม่ใช่ว่าทำวันหนึ่งวันเดียวครั้งหนึ่งครั้งเดียวมันจะรู้จะเห็น เราค่อยสร้างสะสมมาเรื่อยๆ สร้างสะสมมาเรื่อยๆ พระพุทธเจ้าท่านสอนเรื่องอะไร สอนเรื่องรูปเรื่องนาม เรื่องหลักของอริยสัจ สอนให้ทำความเข้าใจกับอัตตาอนัตตา สมมติวิมุตติ นั่นได้หมดนะ มันมีอยู่ในกายในใจของเราหมด เว้นเสียแต่ว่าเราจะขัดเกลากิเลสของเราหรือไม่เท่านั้นเอง

ส่วนมากก็ไม่ยอมขัด มีแต่เพิ่ม เพียงแค่ความอยากจะได้ธรรมอยากจะรู้ธรรม มันก็เพิ่มแล้ว ความอยากเล็กๆ น้อยๆ อยากให้ตัวเรา อยากให้คนอื่น ในทางกลับกัน ไม่อยากเอาอีก ผลักไสอีก ใจมันยังผลักไสอยู่ มันก็ยังไม่นิ่ง มีหลายสิ่งหลายอย่างที่เราจะต้องขัดเกลาตัวเรา ธรรมะไม่ได้อยู่ที่คนโน้นไม่ได้อยู่ที่คนนี้ ธรรมะก็อยู่ที่ใจของเรา ธรรมชาติก็มีอยู่ที่ใจของเรา แต่ใจของเรามันเอากิเลสเข้ามาปกปิดเอาไว้ ก็เลยไม่เป็นธรรมชาติ

พูดง่าย แต่การลงมือการละกิเลสนี้ต้องทุกอย่าง ความเพียรทุกอย่าง แม้แต่การเจริญสติ การสร้างสติ การสร้างความรู้ตัว ไม่ใช่ว่าพูดแต่ปาก พุทโธ พุทโธๆ ๆ ใจวิ่งไปไหนก็ไม่รู้ ความรู้ตัวก็ไม่มี ความรู้สึกรับรู้สัมผัส แล้วก็รู้กายแล้วก็รู้ใจ พยายามดูเรื่องของเราให้จบ ถ้าภายในจบ ข้างนอกก็มีแต่ประโยชน์ ยังประโยชน์ให้กับส่วนตัว ส่วนรวม ส่วนมากเรื่องของเราไม่จบ เอาแต่เรื่องของคนอื่น มาใส่ตัวเรา คนโน้นไม่ดีคนนี้ไม่ดี ก็ใจของเรามันไม่ดี มีกิเลสถึงไปว่าคนอื่น ถ้าใจของเราดีแล้ว ใครจะว่ายังไงมันก็ไม่โกรธ

เราอย่าห้ามคนว่านะ อย่าห้ามคนพูดนะ อย่าห้ามคนคิดนะ มันห้ามไม่ได้ เรามาห้ามของเราแก้ไขของเรา ทำใจของเราให้สะอาดให้บริสุทธิ์ รู้เห็นตามความเป็นจริง การเกิดเป็นทุกข์ก็ไม่เกิด การเป็นทาสของกิเลสก็ไม่เอามันเป็นทุกข์ คนทั่วไปชอบโกหก ใครพูดตอแหลแล้วชอบนัก อันโน้นอันนี้หลอกๆ ด้วยอำนาจของกิเลสมารยาสาไถย แม้แต่ตัวเรายังหลอกเรา ความคิดมาหลอกเราตลอดเวลา จิตยังหลอกเราตลอดเวลา จะเรียกว่าจิตหลอกจิต มันก็เอาสิ่งดีๆ มาหลอก

ตัวเราหลอกเรายังไม่พอ คนอื่นมาหลอกเราอีก เพราะว่าาความเป็นจริงภายในไม่พอ มันก็หลอกมาเอาบุญนั่นแหละ มาวัดมันก็หลอกมาเอาบุญนี่แหละ มาทำบุญนี่แหละ แต่มันก็หลอกมาในทางที่ดี สูงขึ้นไปเราก็ต้องจัดการให้มันหมด ถึงสร้างบุญสร้างกุศล สร้างคุณงามความดีแต่ไม่หลงไม่ยึด คนเราจะขึ้นสู่ที่สูงได้ก็ ไต่เต้าจากการสร้างคุณงามความดีนี่แหละ ความเสียสละความอดทน การให้การเอาออกการคลาย ถ้าถึงจุดหมายเราก็ยิ่งสนุก สร้างคุณงามความดี เพราะว่าใจก็ไม่ได้ทุกข์ ใจเป็นบุญเต็มเปี่ยม บุญก็ไม่พร่อง ใจมันอิ่มมันเต็ม ไม่มีความอยากความหิวโหยอะไร ส่วนมากก็วิ่งไปทำ ไปฟัง แต่การกระทำการลงมือการละไม่ค่อยจะมี มันก็ยาก

คนที่มีบุญ เขาจะแก้ไขตัวเอง กายวิเวกเป็นอย่างนี้ ใจวิเวกเป็นอย่างนี้ ไม่จำเป็นต้องไปให้คนมากมากมายอะไร อยู่คนเดียวแก้ไขตัวเรา อยู่หลายคนแก้ไขตัวเรา หมดความสงสัยหมดความลังเล คนทั่วไปนี้ถ้าไม่เอาพูดจนปากเปียกปากแฉะมันก็ไม่เอา เพียงแค่งานระดับสมมติมันก็ไม่มีความเสียสละมันก็ยิ่งยากเข้าไปอีก งานกับส่วนรวมส่วนตัว ที่พักที่อาศัย ที่หลับที่นอนมันก็ยังไม่รู้จักดูแลก็ยาก อยากให้ได้ตั้งแต่ธรรม ไปวิ่งหาที่วัดโน้นไปหาที่วัดนี้ ไม่ดูวัดใจสักทีว่ามันเป็นยังไง แล้วก็ไปโทษหลวงพ่อองค์โน้นเป็นอย่างนี้ หลวงพ่อองค์นี้เป็นอย่างนี้ บาปกินกะลาไม่รู้จัก แล้วใจของเรานะมีมลทินเป็นบาป

คนอื่นจะดีแต่ชั่วก็เรื่องของคนอื่นเขา เรามาแก้ไขเรามาปรับปรุงตัวเราให้มันดี เพชรตกอยู่ในโคลนตม มันก็ยังเป็นเพชรอยู่เหมือนเดิม มาล้างใจของเราก็เหมือนกัน ความสะอาดก็บริสุทธิ์มีอยู่เดิม เพียงแค่ความหลงมาครอบงำ ความเกิดมาครอบงำ กิเลสมาครอบงำ ไม่ยอมมาขัดมาเกลา ขัดเกลาอยู่ได้ตั้งแต่เปลือก แค่กระพี้ มันจะไปถึงแก่นได้สักเมื่อไหร่ ถ้าไม่เอากับมันจริงๆ จังๆ

ยิ่งพระเราชีเราก็พยายาม ได้เท่าไหร่ก็ดี ความขยันหมั่นเพียรให้ติดตามตัวเรา ถ้าบวชเข้ามาแล้วมีความตั้งแต่ความเกียจคร้าน ไม่มีความรับผิดชอบ ไม่มีความเสียสละ ช่วยเหลือไม่ได้เลยนะ ต้องคนขยันเข้ามาบวช คนเสียสละความรับผิดชอบฝักใฝ่สนใจ ความรู้ตัวไม่มีก็สร้างขึ้นมา ความเสียสละไม่มี เราก็ต้องพยายามทำ นอนดึกตื่นดึก อย่างน้อยๆ ก็ให้รู้จักมาทำวัตรสวดมนต์

หลวงพ่อก็วางรูปแบบรูปแผน วางแผนเอาไว้หมดนะ จนสภาพร่างกายจะไปไม่ไหวแล้ว แต่ก่อนมีกำลังนี่ก็อยากให้ทุกคนเข้าถึงจุดหมายปลายทางกันหมด อะไรก็ฝักใฝ่หามาทำให้ด้วยสติด้วยปัญญา แม้แต่หนังสือสวดมนต์ได้มาเล่มเดียวก็มาขยายแล้วขยายอีก ขยายแล้วขยายอีก อยากให้ทุกคนได้มาอ่าน มาสวดมาท่อง มาทำความเข้าใจกับความหมายในสิ่งที่สวดที่ท่อง จนสภาพกำลังกายจะไม่เหลืออะไรแล้ว ยังพากันมาเกียจคร้าน

อยากจะให้ทุกคนได้มีความสุข ได้เข้าถึงความหมายในกายของตัวเราเอง อะไรก็วางไว้ให้ สมมติก็ไม่ให้ลำบาก สมัยก่อนจะอยู่จะกินแม้แต่ถ้วยชามก็ยังไม่มี จะใส่กับข้าวกับปลายังไปขุดเอาตามหลุมศพมาล้างเลย ที่พักที่อาศัยหรือที่หลับที่นอน ถนนหนทาง อุตส่าห์สร้างทำไว้ให้ทุกคนได้มีความสุข สมมติ อาหารตาก็ทำให้ อาหารใจก็ทำให้ ความเป็นอยู่ ยังจะพากันมาเกียจคร้าน มาเหลาะๆ แหละๆ ใช้การไม่ได้ ถ้าจะเอาล่ะพูดนิดเดียวก็ไปทำมา ไม่บอกยากนะ ต้องมาจากในส่วนเรื่องของใจ

ความอยากไป อยากมี อยากเป็น อยากดี อยากดัง อยากเด่น ตัดออกให้มันหมด อย่าให้มันมี ความอยากเล็กๆ น้อยๆ ไม่ได้อยากให้ตัวเราเอง การน้อมที่จะเข้ามาสู่ภายในใจของเราก็ต้องตัดออก อะไรๆ ที่จะนำความวุ่นวายมาให้ เราก็ต้องพยายามละพยายามดับอย่าให้มี ทีนี้ก็จะไปโทษตั้งแต่คนโน้นนำความทุกข์มาให้ความวุ่นวายมาให้ มันเกิดจากตัวของเราทั้งนั้นแหละ หลวงพ่อก็ไม่ได้ไปว่าใครหรอก ไม่โทษใครหรอก ก็โทษหลวงพ่อนี่แหละ ถ้าหลวงพ่อไม่สร้างไม่ทำ ไม่มาอยู่ที่นี่ก็คงจะไม่มีใครมาอยู่ด้วยหรอก มาอยู่แล้วก็พยายามรู้จักแก้ไขตัวเอง ปรับปรุงตัวเอง อย่าพากันหลงระเริง เสียดายเวลา

ตั้งใจรับพรกัน

ขอให้ญาติโยมเราทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสทั้งลมหายใจของเราให้ชัดเจน ตามสบาย วางกายให้สบาย แล้วก็หยุดความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ เอาไว้ ชั่วครั้งชั่วคราว หลวงพ่อเพียงแค่เล่า ชี้แนะแนวทางให้ ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจมายาวๆ ความรู้สึกรับรู้ เวลาลมวิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเรานั่นแหละ เขาเรียกว่า ‘สติรู้กาย’ ถ้าเรารู้ให้ต่อเนื่อง เขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ ถ้าเราสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่องไปเรื่อยๆ ถ้าความรู้ตัวของเราพลั้งเผลอเริ่มขึ้นมาใหม่ การเจริญสติให้ต่อเนื่องตรงนี้พวกเราก็ขาดการทำความเพียรกันมากเลยทีเดียว ถ้าเราสร้างความรู้ตัวได้ต่อเนื่อง อยู่ปัจจุบันธรรมทุกขณะลมหายใจเข้าออก

ส่วนใจนั้น เขาเกิดๆ ดับๆ อยู่แล้ว ความคิดหรือว่าอาการของขันธ์ห้าเขาก็เกิดๆ ดับๆ อยู่แล้ว ถ้าเรามีความรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน ใจจะเกิดจะก่อตัวปรุงแต่งก็จะรู้เท่าทัน นั่นแหละก็จะเห็น ความรู้ตัวที่เราสร้างขึ้นมานี้นี่เป็นส่วนหนึ่ง ส่วนใจนั้นก็เป็นส่วนหนึ่ง ทีนี้อาการบางทีความคิดที่เราไม่ตั้งใจคิด อยู่เฉยๆ ก็มีความคิดผุดขึ้นมา เรื่องโน้นบ้างเรื่องนี้บ้าง บางทีก็เป็นเรื่องอดีต บางทีก็เป็นเรื่องอนาคต บางทีก็เป็นกุศลหรือว่าอกุศล เราไม่ปรารถนาที่จะให้มันเกิด มันก็ก่อตัวขึ้นมานั่นแหละ อาการของใจ อาการของขันธ์ห้า มันมีกันทุกคน เว้นเสียแต่ว่าเราจะรู้เท่าทันหรือไม่

ส่วนมากไม่สนใจ คิดก็รู้ ทำก็รู้ แต่ความเกิด ความหลง ตัวจิตกับขันธ์ห้านั้นเขามีอยู่ตลอด เขาส่งเสริมอยู่ตลอด เราไปยึดเอาความคิดตรงนั้นมาเป็นความคิดที่ของเราที่แท้จริง แล้วเป็นนี่เราคิดเราทำกายเราจริงๆ นี่แหละ ถ้าเราเจริญสติเข้าไปสังเกตเข้าไปวิเคราะห์รู้ไม่เท่าทัน ก็รู้จักควบคุม รู้จักดับ รู้จักอดทนอดกลั้น ใจของเราเกิดกิเลสหยาบกิเลสละเอียด เราก็รู้จักค่อยลดค่อยละ ค่อยขัดค่อยเกลาไปเรื่อยๆ

รู้ไม่เท่าทันต้นเหตุ ก็รู้จักดับเอาไว้ จนกว่าจะเห็นใจกับอาการของใจก่อตัวเข้าไปรวมกัน เขาจะแยกออกจากกัน ซึ่งเรียกว่าแยกรูปแยกนาม ใจของเราก็จะพลิกจากสมมติมาหาวิมุตติเหมือนกับหลังมือกับฝ่ามือ แต่ก่อนมือเราคว่ำอยู่ เราหงายขึ้นมา หลังมือกับฝ่ามือก็อยู่ด้วยกัน จิตอาการของความคิดก็เหมือนกัน ถ้าเขาแยกได้เขาก็อยู่ร่วมกัน แต่เขาก็อยู่กันคนละชั้น คือข้างบนกับข้างล่าง สมมติกับวิมุตติ เราก็จะเข้าใจคำว่าสมมติวิมุตติ เข้าใจกับคำว่าความว่าง

ทีนี้ใจของเราเกิดกิเลสเราก็รู้จักละกิเลส ถ้าไม่เห็นตรงนี้ก็ปฏิบัติธรรมยังไงๆ มันก็เพียงแค่ดับแค่ควบคุม แต่ยังเดินปัญญาขั้นสูงไม่ได้ ละกิเลสไม่ได้เด็ดขาดหมดจด ก็วิ่งหาตั้งแต่ธรรมอยู่นั่นแหละ ทั้งที่ใจปรารถนาแสวงหาธรรมมันปิดกั้นพวกมันเองเอาไว้ กิเลสมารต่างๆ เขาก็ไม่ยอมแพ้ เขาก็หาเหตุหาผลมาต่อสู้เหมือนกัน สติปัญญาของเราต้องชี้เหตุชี้ผล หาเหตุหาผลเหมือนกัน กำลังฝ่ายไหนมันจะมาก เราต้องต่อสู้กันซักตั้งสักพักหนึ่ง จนมันคลาย ถ้ามันคลายได้นั่นแหละถึงจะเปิดทางให้ เพียงแค่แยกได้คลายได้นะ เพียงแค่เริ่มต้น

ทีนี้การทำความเข้าใจในรายละเอียดต่างๆ การดับการละอีก หลายอย่าง มันต้องมีส่วนประกอบมากมายเหมือนกับบันไดมันก็ต้องมีส่วนประกอบ ทั้งลูกบันไดทั้งแม่บันได ก่อนที่จะขัดเกลาออกได้ทุกจุดทุกชิ้นทุกอันได้ ความเพียรต้องความเห็น ความเพียรต้องถูกต้อง ตามทำความเข้าใจให้รู้แจ้งเห็นจริง ปัญญาแนวทางนั้นพระพุทธองค์ท่านชี้แนะไว้หมด เว้นเสียแต่ว่าพวกเราจะเข้าถึงหรือไม่เท่านั้นเอง อย่าไปปิดกั้นตัวเราเอง จงแก้ไขตัวเราเอง อยู่ตลอดเวลา

ทุกสิ่งทุกอย่างก็ล้วนแต่มีเหตุมีผล อย่าไปหาเหตุหาผลกับคนโน้นคนนี้ เหตุผลการเกิดการดับของวิญญาณ ของอาการของวิญญาณในกายเนื้อของเราในขันธ์ห้าของเรา มีอยู่หมด กิเลสหยาบกิเลสละเอียด ท่านถึงบัญญัติเอาไว้ในวิปัสสนาภูมิ กิเลสหยาบกิเลสละเอียด มลทิน ขันธ์ห้าต่างๆ มีหมด แต่เราไม่เห็น ไม่ทำความเข้าใจเท่านั้นเอง ไปหาแสวงหาตั้งแต่ภายนอกมาปกปิดตัวเองเอาไว้ เพราะว่ากิเลสมันก็ไม่แพ้ง่ายๆ เหมือนกัน ก็ต้องพยายามนะ พยายามทั้งพระทั้งโยมทั้งชี

สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเขาออกให้ชัดเจน เพียงแค่การสร้างความรู้ตัวก็ยัง ความเพียรตรงนี้ก็น้อยเต็มที ภายใน 1 นาที 2 นาที 5 นาที 10 นาที เป็นชั่วโมง เป็นวัน เป็นเดือน เป็นปีโน่น จนเป็นอัตโนมัติโดยที่ไม่ต้องสร้าง ความหมายของหลักธรรม ไม่ใช่ว่าจะมาอยู่เพียงแค่ นิดๆ หน่อยๆ

สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกให้ชัดเจน พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปสร้างสานต่อ อันนี้เพียงแค่เล่าให้ฟังเท่านั้นเอง

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง