หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 86
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 86
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 86
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 10 กรกฎาคม 2556
ดูดีๆ นะ พระเราชีเราเณรเรา กะประมาณในการขบฉันของตัวเราเองทุกเรื่อง ไม่ใช่ไปปล่อยปละละเลย ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา จะลุกจะก้าวจะเดิน ความอยาก ความหิว การแสวงหาด้วยสติ ด้วยปัญญา ด้วยเหตุด้วยผล เราก็ต้องทำความเข้าใจทุกเรื่อง ไม่ใช่ว่าปล่อยไป เราก็ต้องพยายามเจริญสติให้รู้เท่าทัน แล้วก็รู้จักแก้ไขปัญหา ส่วนมากก็มีตั้งแต่เพิ่มปัญหา ไม่ค่อยรู้จัก เพิ่มปัญหาโดยไม่รู้ตัว เพราะว่าเราขาดการวิเคราะห์พิจารณาลึกถึงรากโคนของใจของเรา ไปแก้ปัญหาเอาตั้งแต่ปลายเหตุ ปลายเหตุ กลางเหตุ แต่ไม่ถอนรากถอนโคนถึงต้นเหตุ มันก็เลยสร้างปัญหาโดยไม่รู้ตัว
เราก็ต้องพยายามทำความเข้าใจกับชีวิตของเรา ชีวิตของเรา เราต้องรีบแก้ไข ไม่ต้องไปให้คนอื่นเขาช่วยแก้ไขให้ เราแก้ไขของเรา วิเคราะห์ของเรา ทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด ความขยันหมั่นเพียร ยังสมมติ ทั้งสมมติทั้งวิมุตติ ทั้งสมมติทั้งวิมุตติ ทั้งโลกธรรม ทั้งจิตใจ เราก็ต้องพยายามทำความเข้าใจให้ถูกต้องทั้งสองทาง ทั้งโลกทั้งธรรม เพราะว่าโลกธรรมก็อาศัยกันอยู่ สมมติกับวิมุตติก็อาศัยกันอยู่ เราต้องมีศรัทธาแล้วก็มีปัญญารู้แจ้งแทงตลอดด้วย ถึงจะได้ไม่ทุกข์กับสมมติต่างๆ โลกเราทุกวันนี้ก็เปลี่ยนแปลงไปมากมายด้วยอำนาจของกิเลสของคน น้อยคนที่จะเข้าถึงแก่นแท้ของจิตของวิญญาณจริง ส่วนมากก็มีตั้งแต่เปลือก กระพี้ เราก็ต้องพยายามเข้าให้ถึงแก่นแท้ ทำความเข้าใจให้ถูกต้อง มองเห็นหนทางเดินของตัวเราเอง
อย่าไปลูบๆ คลำๆ แค่ปลายเหตุกลางเหตุ ความขยันเต็มเปี่ยม ศรัทธาเต็มเปี่ยม ปัญญาที่ถูกต้องเต็มเปี่ยมนั่นแหละไม่ต้องไปโทษคนโน้นโทษคนนี้ เราแก้ไขตัวเรา จบอยู่ที่เรา ไม่ได้จบอยู่ที่คนอื่น นอกนั้นก็เป็นการอนุเคราะห์สงเคราะห์ ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน แต่การจบต้องจบภายในใจของเรา ไม่ให้เกิด ถ้าไม่เกิดแล้วกิเลสมันก็เกาะกุมจิตใจของเราไม่ได้ นอกนั้นก็เป็นเรื่องของปัญญา ยังสมมติให้เกิดประโยชน์ เสียดายเวลานะ ถ้าไม่ทำความเข้าใจให้ดี
พระเราก็เหมือนกัน การบวชเป็นพระนี่ต้องสลัดสละออกให้มันหมดทุกอย่าง ไม่ใช่บวชเข้ามาแล้วก็มีตั้งแต่มาแสวงหาด้วยอำนาจของกิเลส ผิดถนัด ยิ่งเอาออก ยิ่งขัดเกลา จนไม่เหลือที่ใจของเราเมื่อไรนั่นแหละ ถึงจะรู้ว่าใจของเราเป็นพระ คำสอนแนวทางนั้นมีอยู่หมด แต่พวกเราจะดำเนินให้ถึงหรือไม่เท่านั้นเอง ก็ค่อยดำเนิน ค่อยปฏิบัติขัดเกลากันไป สติปัญญาเต็มเปี่ยมเมื่อไร เราก็คงจะถึงจุดหมายปลายทางกัน มันก็ต้องมาจากรากฐาน รากฐานที่ดีก็ส่งผลถึงอนาคตที่ดี มีความเสียสละ มีความอดทน รู้จักฝักใฝ่ รู้จักสนใจ รู้จักประมาณพิจารณาแก้ไขตัวเราเองอยู่ตลอดเวลา อยู่ด้วยกันหลายคนหลายท่าน ยิ่งเพิ่มความเสียสละ ความสมัครสมานสามัคคี
การทำเพื่อประโยชน์ของส่วนรวม ส่วนตัวอย่าให้มี อย่าเกียจคร้าน ถ้าเกียจคร้านแล้วไปอยู่ที่ไหนก็ไม่เจริญ รู้จักฝักใฝ่ รู้จักสนใจ รู้จักขวนขวาย รู้จักยังให้มีให้เกิดขึ้น แล้วก็รู้จักละ ท่านถึงบอกว่าให้รอบรู้ รอบรู้ในกาย รอบรู้ในใจ รอบรู้ในกองสังขารของตัวเราเอง บุคคลที่มีบุญมีวาสนา มีสติ มีปัญญา พูดนิดเดียว ไม่จำเป็นต้องพูดมากมาย ถ้าบุคคลไม่สนใจเอา จะพูดจนปากเปียกปากแฉะ เขาก็ไม่สนใจหรอก เสียเวลาเปล่า สอนตัวเองไม่ได้ ใช้ตัวเองไม่เป็น อย่าไปเที่ยวให้คนอื่นเขาสอน ไม่มีประโยชน์ ไม่มี เสียดายเวลา
ถ้ารู้จักสอนตัวเราเอง สอนให้ถูกต้อง ไม่จำเป็นต้องไปเที่ยวให้คนโน้นเขาสอน คนนี้เขาสอน แต่ส่วนมากก็สอนอยู่ สอนตัวเองอยู่ ถูกต้องอยู่ในระดับปลายเหตุ กลางเหตุ ไม่ลึกถึงโคนถึงต้น ก็เลยดับทุกข์ไม่สิ้นซาก ดับทุกข์ไม่จบ ไม่ทำความเข้าใจกับทุกข์ กายของเรานี่เป็นก้อนทุกข์ ใจของเรา การเกิดการดับของใจ การเกิดการดับของขันธ์ห้า ของความคิดนั้นมีตลอด เราไม่ได้สนใจในการวิเคราะห์ การทำบุญให้ทานนี่มีกันเต็มเปี่ยม เต็มร้อย แต่การละกิเลสให้หมดจดนั้นมีน้อย ไม่ค่อยจะสนใจกัน การเจริญสติก็ไม่ค่อยจะสนใจกัน ยิ่งไม่สนใจ ยิ่งไม่สร้าง ยิ่งไม่ทำแล้วก็ยิ่งห่างไกล ทั้งที่มองด้วยตาเนื้อเหมือนกับจะเข้าใจ ไม่ว่าพระว่าชีก็เหมือนกันหมด เพียงแค่ความขยันให้เต็มเปี่ยมมันก็ทั้งยาก ทุกสิ่งทุกอย่างมันก็ต้องทำความเข้าใจให้มันถูกต้อง มันไม่หลุด ในวันนี้ก็ต้องหลุดในวันหน้า ไม่หลุดพ้นจริงๆ ก็ไปต่อภพหน้าแค่นั้นแหละ
ตั้งใจรับพรกัน
ขอให้ญาติโยมเราทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบ ปลายจมูกของเราให้ชัดเจน เพียงแค่เรื่องการหายใจเข้าออก พวกเราก็ยังรู้ไม่ต่อเนื่อง ยังไม่ชำนาญเลย พยายามฝึกให้เกิดความเคยชิน ฝึกให้เกิดความชำนาญ ทำให้ต่อเนื่องรู้จักฝักใฝ่ รู้จักสร้างขึ้นมา ความรู้ตัวไม่มี เราก็ต้องสร้างขึ้นมา แล้วก็ความรู้ตัวไม่ต่อเนื่อง เราพยายามรู้ให้ต่อเนื่อง ในหลักธรรมท่านเรียกว่าสติ ความระลึกรู้ตัวอยู่ปัจจุบันธรรมทุกขณะลมหายใจเข้าออก ถ้ารู้ให้ต่อเนื่องก็เรียกว่าสัมปชัญญะ พยายามฝึก เพื่อที่จะรู้ลึกลงไปอีก เรามาเจริญสติมาสร้างผู้รู้ เพื่อที่จะไปรู้การเกิดการดับของวิญญาณ การเกิดการดับอาการของวิญญาณในกายของเรา ซึ่งเรียกว่าขันธ์ห้า
อาการลักษณะการก่อตัว การเกิด การคิด การปรุง การแต่ง เขาเกิดอย่างไร ทำไมเขาถึงเกิด ทำไมเขาถึงหลง ในเมื่อเกิดมาแล้ว เราต้องมาแจงแยกแยะให้ละเอียด ถ้าไม่หลงไม่เกิด ความเห็น ต้องทำความเห็นให้ถูกต้องก่อนที่จะหมดลมหายใจก่อนที่ธาตุขันธ์จะแตกจะดับ เป็นเรื่องของทุกคน ไม่ใช่เรื่องของคนอื่น เป็นเรื่องของเราหมด ทำหน้าที่ของเราให้ดี แก้ไขตัวเราให้ดี
การฝึกหัดปฏิบัติ ไปปฏิบัติธรรมที่นู่นที่นี่ก็เพื่อที่จะแสวงหาแนวทาง เราเข้าใจแนวทาง เรารู้จักวิธี เรารีบดูตัวเราตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ อันนี้สติรู้กายนะ การหายใจเข้าออกเป็นอย่างนี้นะ ใจปกติเป็นอย่างนี้นะ ใจเกิดกิเลส เรารู้จักละ รู้จักดับ ความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งใจของเราได้อย่างไร ใจของเรามีความอ่อนน้อมถ่อมตน หรือว่ามีความเกียจคร้าน ใจของเรามีความกังวล มีความฟุ้งซ่านอะไร สติความรู้ตัวที่เราสร้างขึ้นมานี่แหละ จะไปหมั่นอบรมใจของเรา แก้ไขใจของเราอยู่ตลอดเวลา เราต้องพยายามเข้าให้ถึงรากเหง้าที่แท้จริงของใจ เราต้องพยายาม
ถ้าเราไม่ฝึกฝนตัวเรา ไม่มีใครจะฝึกให้เราได้หรอก นอกจากตัวของเราเอง การไปได้ยิน ได้ฟัง ได้อ่าน การทำความเข้าใจในระดับของสมมตินั้นมีอยู่บ้าง แต่การลงมือจริงๆ เราก็ต้องพยายาม อย่าไปเสียดายอาลัยอาวรณ์กับกิเลสเล็กๆ น้อยๆ ความทะเยอทะยานอยากเล็กๆ น้อยๆ การพูดง่าย การลงมือทำเราต้องอาศัยความเพียร อาศัยเวลา แนวทางนั้นพระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบ แล้วก็ออกมาเปิดเผย
ถ้าเรารู้เราเห็นตั้งแต่ต้นเหตุ เราต้องพยายามทำความเข้าใจให้ถึงปลายเหตุทุกเรื่อง เราก็จะเข้าใจในคำสอนของพระพุทธองค์ ท่านสอนเรื่องอัตตา เรื่องอนัตตา เรื่องสมมติวิมุตติ สอนเรื่องหลักของอริยสัจที่มีอยู่ในกายของเรา มีหมดทุกคน เหมือนกันหมด แต่กิเลสจะมีมากมีน้อยต่างกัน การสร้างตบะสร้างบารมี อาจจะมีมา อาจจะมีมากมีน้อย มีต่างกัน เรามาสร้างขึ้นมาใหม่ มาทำความเข้าใจใหม่ คลายของเก่าออกให้มันหมด แล้วก็ดำเนินด้วยสติด้วยปัญญา ด้วยเหตุด้วยผล เข้าไปทดแทนให้เต็มเปี่ยมก็ต้องพยายามกัน
สิ่งพวกนี้บังคับกันไม่ได้เลย เราอนุเคราะห์กันได้ ช่วยเหลือกันได้ในระดับของสมมติ ความเป็นอยู่ระดับสมมติเท่านั้นเอง แต่เรื่องวิมุตติ การขัดเกลา เรื่องละกิเลสต้องขึ้นอยู่ที่ตัวของเรา ไม่ได้ขึ้นอยู่กับคนโน้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับคนนี้ ไปอยู่ที่นั่น ไปอยู่ที่นี่ นึกว่าจะเข้าใจในธรรม ถ้าการกระทำของเราไม่มี มันก็เหมือนเดิม จงพยายามมีความเพียร ขยันหมั่นเพียร ทุกอิริยาบถ ยืน เดิน นั่ง นอน กินอยู่ ขับถ่าย ขณะที่กำลังกายของเรายังแข็งแรงอยู่ ถ้าหมดกำลังกายแล้วก็หมดสภาพ เราต้องพยายามนะ ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี สิ่งเล็กๆ น้อยๆ ก็อย่าไปมองข้าม
ตื่นขึ้นมา อะไรคือสติความระลึกรู้ตัวเป็นอย่างไร การเอาไปใช้กับชีวิตเป็นอย่างไร ให้เรารีบแก้ไขเสีย ความอยากแม้แต่นิดๆ หน่อยๆ อย่าให้เกิดขึ้นที่ใจของเรา เราพยายามละความอยาก เปลี่ยนจากความอยากเป็นความต้องการ บริหารด้วยสติด้วยปัญญาให้ถูกต้อง แม้จะเล็กๆ น้อยๆ แล้วก็ความรับผิดชอบให้เต็มเปี่ยม รับผิดชอบตัวเรา ล้นออกไปสู่หมู่ สู่คณะ สู่สังคม
อะไรที่จะนำความทุกข์มาให้ อะไรที่จะนำความวุ่นวายมาให้ เราพยายามรีบตัด รีบแก้ไขเสียตั้งแต่ต้นเหตุ อย่าให้มี อะไรที่จะเรียบ เงียบ ง่าย นำความสุข นำความสงบมาให้ นั่นแหละคือหนทาง แนวทางของการศึกษาในหลักของธรรมะอยากจะร่ำอยากจะรวย อยากจะมีความสุข เราก็ต้องขยันหมั่นเพียรด้วยสติด้วยปัญญา ด้วยเหตุด้วยผล แล้วก็ทำให้ถูกต้องถูกตามวิธีการ เราไม่อยากได้มันก็ได้เอง เราไม่อยากมีก็มีเอง แต่ขอให้บริหารให้ดี ให้ถูกต้อง ให้อยู่ในบุญ ให้อยู่ในอานิสงส์ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะหลั่งไหลมาด้วยแรงบุญของพวกเราเอง ก็ต้องพยายามกัน
สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกให้ชัดเจน อยู่หลายคนก็เหมือนกับอยู่คนเดียว อยู่คนเดียว ขณะนี้ก็ให้รู้ว่าลมวิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจนกัน
ไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอานะ หลวงพ่อเพียงแค่เล่าให้ฟัง
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 10 กรกฎาคม 2556
ดูดีๆ นะ พระเราชีเราเณรเรา กะประมาณในการขบฉันของตัวเราเองทุกเรื่อง ไม่ใช่ไปปล่อยปละละเลย ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา จะลุกจะก้าวจะเดิน ความอยาก ความหิว การแสวงหาด้วยสติ ด้วยปัญญา ด้วยเหตุด้วยผล เราก็ต้องทำความเข้าใจทุกเรื่อง ไม่ใช่ว่าปล่อยไป เราก็ต้องพยายามเจริญสติให้รู้เท่าทัน แล้วก็รู้จักแก้ไขปัญหา ส่วนมากก็มีตั้งแต่เพิ่มปัญหา ไม่ค่อยรู้จัก เพิ่มปัญหาโดยไม่รู้ตัว เพราะว่าเราขาดการวิเคราะห์พิจารณาลึกถึงรากโคนของใจของเรา ไปแก้ปัญหาเอาตั้งแต่ปลายเหตุ ปลายเหตุ กลางเหตุ แต่ไม่ถอนรากถอนโคนถึงต้นเหตุ มันก็เลยสร้างปัญหาโดยไม่รู้ตัว
เราก็ต้องพยายามทำความเข้าใจกับชีวิตของเรา ชีวิตของเรา เราต้องรีบแก้ไข ไม่ต้องไปให้คนอื่นเขาช่วยแก้ไขให้ เราแก้ไขของเรา วิเคราะห์ของเรา ทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด ความขยันหมั่นเพียร ยังสมมติ ทั้งสมมติทั้งวิมุตติ ทั้งสมมติทั้งวิมุตติ ทั้งโลกธรรม ทั้งจิตใจ เราก็ต้องพยายามทำความเข้าใจให้ถูกต้องทั้งสองทาง ทั้งโลกทั้งธรรม เพราะว่าโลกธรรมก็อาศัยกันอยู่ สมมติกับวิมุตติก็อาศัยกันอยู่ เราต้องมีศรัทธาแล้วก็มีปัญญารู้แจ้งแทงตลอดด้วย ถึงจะได้ไม่ทุกข์กับสมมติต่างๆ โลกเราทุกวันนี้ก็เปลี่ยนแปลงไปมากมายด้วยอำนาจของกิเลสของคน น้อยคนที่จะเข้าถึงแก่นแท้ของจิตของวิญญาณจริง ส่วนมากก็มีตั้งแต่เปลือก กระพี้ เราก็ต้องพยายามเข้าให้ถึงแก่นแท้ ทำความเข้าใจให้ถูกต้อง มองเห็นหนทางเดินของตัวเราเอง
อย่าไปลูบๆ คลำๆ แค่ปลายเหตุกลางเหตุ ความขยันเต็มเปี่ยม ศรัทธาเต็มเปี่ยม ปัญญาที่ถูกต้องเต็มเปี่ยมนั่นแหละไม่ต้องไปโทษคนโน้นโทษคนนี้ เราแก้ไขตัวเรา จบอยู่ที่เรา ไม่ได้จบอยู่ที่คนอื่น นอกนั้นก็เป็นการอนุเคราะห์สงเคราะห์ ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน แต่การจบต้องจบภายในใจของเรา ไม่ให้เกิด ถ้าไม่เกิดแล้วกิเลสมันก็เกาะกุมจิตใจของเราไม่ได้ นอกนั้นก็เป็นเรื่องของปัญญา ยังสมมติให้เกิดประโยชน์ เสียดายเวลานะ ถ้าไม่ทำความเข้าใจให้ดี
พระเราก็เหมือนกัน การบวชเป็นพระนี่ต้องสลัดสละออกให้มันหมดทุกอย่าง ไม่ใช่บวชเข้ามาแล้วก็มีตั้งแต่มาแสวงหาด้วยอำนาจของกิเลส ผิดถนัด ยิ่งเอาออก ยิ่งขัดเกลา จนไม่เหลือที่ใจของเราเมื่อไรนั่นแหละ ถึงจะรู้ว่าใจของเราเป็นพระ คำสอนแนวทางนั้นมีอยู่หมด แต่พวกเราจะดำเนินให้ถึงหรือไม่เท่านั้นเอง ก็ค่อยดำเนิน ค่อยปฏิบัติขัดเกลากันไป สติปัญญาเต็มเปี่ยมเมื่อไร เราก็คงจะถึงจุดหมายปลายทางกัน มันก็ต้องมาจากรากฐาน รากฐานที่ดีก็ส่งผลถึงอนาคตที่ดี มีความเสียสละ มีความอดทน รู้จักฝักใฝ่ รู้จักสนใจ รู้จักประมาณพิจารณาแก้ไขตัวเราเองอยู่ตลอดเวลา อยู่ด้วยกันหลายคนหลายท่าน ยิ่งเพิ่มความเสียสละ ความสมัครสมานสามัคคี
การทำเพื่อประโยชน์ของส่วนรวม ส่วนตัวอย่าให้มี อย่าเกียจคร้าน ถ้าเกียจคร้านแล้วไปอยู่ที่ไหนก็ไม่เจริญ รู้จักฝักใฝ่ รู้จักสนใจ รู้จักขวนขวาย รู้จักยังให้มีให้เกิดขึ้น แล้วก็รู้จักละ ท่านถึงบอกว่าให้รอบรู้ รอบรู้ในกาย รอบรู้ในใจ รอบรู้ในกองสังขารของตัวเราเอง บุคคลที่มีบุญมีวาสนา มีสติ มีปัญญา พูดนิดเดียว ไม่จำเป็นต้องพูดมากมาย ถ้าบุคคลไม่สนใจเอา จะพูดจนปากเปียกปากแฉะ เขาก็ไม่สนใจหรอก เสียเวลาเปล่า สอนตัวเองไม่ได้ ใช้ตัวเองไม่เป็น อย่าไปเที่ยวให้คนอื่นเขาสอน ไม่มีประโยชน์ ไม่มี เสียดายเวลา
ถ้ารู้จักสอนตัวเราเอง สอนให้ถูกต้อง ไม่จำเป็นต้องไปเที่ยวให้คนโน้นเขาสอน คนนี้เขาสอน แต่ส่วนมากก็สอนอยู่ สอนตัวเองอยู่ ถูกต้องอยู่ในระดับปลายเหตุ กลางเหตุ ไม่ลึกถึงโคนถึงต้น ก็เลยดับทุกข์ไม่สิ้นซาก ดับทุกข์ไม่จบ ไม่ทำความเข้าใจกับทุกข์ กายของเรานี่เป็นก้อนทุกข์ ใจของเรา การเกิดการดับของใจ การเกิดการดับของขันธ์ห้า ของความคิดนั้นมีตลอด เราไม่ได้สนใจในการวิเคราะห์ การทำบุญให้ทานนี่มีกันเต็มเปี่ยม เต็มร้อย แต่การละกิเลสให้หมดจดนั้นมีน้อย ไม่ค่อยจะสนใจกัน การเจริญสติก็ไม่ค่อยจะสนใจกัน ยิ่งไม่สนใจ ยิ่งไม่สร้าง ยิ่งไม่ทำแล้วก็ยิ่งห่างไกล ทั้งที่มองด้วยตาเนื้อเหมือนกับจะเข้าใจ ไม่ว่าพระว่าชีก็เหมือนกันหมด เพียงแค่ความขยันให้เต็มเปี่ยมมันก็ทั้งยาก ทุกสิ่งทุกอย่างมันก็ต้องทำความเข้าใจให้มันถูกต้อง มันไม่หลุด ในวันนี้ก็ต้องหลุดในวันหน้า ไม่หลุดพ้นจริงๆ ก็ไปต่อภพหน้าแค่นั้นแหละ
ตั้งใจรับพรกัน
ขอให้ญาติโยมเราทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบ ปลายจมูกของเราให้ชัดเจน เพียงแค่เรื่องการหายใจเข้าออก พวกเราก็ยังรู้ไม่ต่อเนื่อง ยังไม่ชำนาญเลย พยายามฝึกให้เกิดความเคยชิน ฝึกให้เกิดความชำนาญ ทำให้ต่อเนื่องรู้จักฝักใฝ่ รู้จักสร้างขึ้นมา ความรู้ตัวไม่มี เราก็ต้องสร้างขึ้นมา แล้วก็ความรู้ตัวไม่ต่อเนื่อง เราพยายามรู้ให้ต่อเนื่อง ในหลักธรรมท่านเรียกว่าสติ ความระลึกรู้ตัวอยู่ปัจจุบันธรรมทุกขณะลมหายใจเข้าออก ถ้ารู้ให้ต่อเนื่องก็เรียกว่าสัมปชัญญะ พยายามฝึก เพื่อที่จะรู้ลึกลงไปอีก เรามาเจริญสติมาสร้างผู้รู้ เพื่อที่จะไปรู้การเกิดการดับของวิญญาณ การเกิดการดับอาการของวิญญาณในกายของเรา ซึ่งเรียกว่าขันธ์ห้า
อาการลักษณะการก่อตัว การเกิด การคิด การปรุง การแต่ง เขาเกิดอย่างไร ทำไมเขาถึงเกิด ทำไมเขาถึงหลง ในเมื่อเกิดมาแล้ว เราต้องมาแจงแยกแยะให้ละเอียด ถ้าไม่หลงไม่เกิด ความเห็น ต้องทำความเห็นให้ถูกต้องก่อนที่จะหมดลมหายใจก่อนที่ธาตุขันธ์จะแตกจะดับ เป็นเรื่องของทุกคน ไม่ใช่เรื่องของคนอื่น เป็นเรื่องของเราหมด ทำหน้าที่ของเราให้ดี แก้ไขตัวเราให้ดี
การฝึกหัดปฏิบัติ ไปปฏิบัติธรรมที่นู่นที่นี่ก็เพื่อที่จะแสวงหาแนวทาง เราเข้าใจแนวทาง เรารู้จักวิธี เรารีบดูตัวเราตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ อันนี้สติรู้กายนะ การหายใจเข้าออกเป็นอย่างนี้นะ ใจปกติเป็นอย่างนี้นะ ใจเกิดกิเลส เรารู้จักละ รู้จักดับ ความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งใจของเราได้อย่างไร ใจของเรามีความอ่อนน้อมถ่อมตน หรือว่ามีความเกียจคร้าน ใจของเรามีความกังวล มีความฟุ้งซ่านอะไร สติความรู้ตัวที่เราสร้างขึ้นมานี่แหละ จะไปหมั่นอบรมใจของเรา แก้ไขใจของเราอยู่ตลอดเวลา เราต้องพยายามเข้าให้ถึงรากเหง้าที่แท้จริงของใจ เราต้องพยายาม
ถ้าเราไม่ฝึกฝนตัวเรา ไม่มีใครจะฝึกให้เราได้หรอก นอกจากตัวของเราเอง การไปได้ยิน ได้ฟัง ได้อ่าน การทำความเข้าใจในระดับของสมมตินั้นมีอยู่บ้าง แต่การลงมือจริงๆ เราก็ต้องพยายาม อย่าไปเสียดายอาลัยอาวรณ์กับกิเลสเล็กๆ น้อยๆ ความทะเยอทะยานอยากเล็กๆ น้อยๆ การพูดง่าย การลงมือทำเราต้องอาศัยความเพียร อาศัยเวลา แนวทางนั้นพระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบ แล้วก็ออกมาเปิดเผย
ถ้าเรารู้เราเห็นตั้งแต่ต้นเหตุ เราต้องพยายามทำความเข้าใจให้ถึงปลายเหตุทุกเรื่อง เราก็จะเข้าใจในคำสอนของพระพุทธองค์ ท่านสอนเรื่องอัตตา เรื่องอนัตตา เรื่องสมมติวิมุตติ สอนเรื่องหลักของอริยสัจที่มีอยู่ในกายของเรา มีหมดทุกคน เหมือนกันหมด แต่กิเลสจะมีมากมีน้อยต่างกัน การสร้างตบะสร้างบารมี อาจจะมีมา อาจจะมีมากมีน้อย มีต่างกัน เรามาสร้างขึ้นมาใหม่ มาทำความเข้าใจใหม่ คลายของเก่าออกให้มันหมด แล้วก็ดำเนินด้วยสติด้วยปัญญา ด้วยเหตุด้วยผล เข้าไปทดแทนให้เต็มเปี่ยมก็ต้องพยายามกัน
สิ่งพวกนี้บังคับกันไม่ได้เลย เราอนุเคราะห์กันได้ ช่วยเหลือกันได้ในระดับของสมมติ ความเป็นอยู่ระดับสมมติเท่านั้นเอง แต่เรื่องวิมุตติ การขัดเกลา เรื่องละกิเลสต้องขึ้นอยู่ที่ตัวของเรา ไม่ได้ขึ้นอยู่กับคนโน้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับคนนี้ ไปอยู่ที่นั่น ไปอยู่ที่นี่ นึกว่าจะเข้าใจในธรรม ถ้าการกระทำของเราไม่มี มันก็เหมือนเดิม จงพยายามมีความเพียร ขยันหมั่นเพียร ทุกอิริยาบถ ยืน เดิน นั่ง นอน กินอยู่ ขับถ่าย ขณะที่กำลังกายของเรายังแข็งแรงอยู่ ถ้าหมดกำลังกายแล้วก็หมดสภาพ เราต้องพยายามนะ ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี สิ่งเล็กๆ น้อยๆ ก็อย่าไปมองข้าม
ตื่นขึ้นมา อะไรคือสติความระลึกรู้ตัวเป็นอย่างไร การเอาไปใช้กับชีวิตเป็นอย่างไร ให้เรารีบแก้ไขเสีย ความอยากแม้แต่นิดๆ หน่อยๆ อย่าให้เกิดขึ้นที่ใจของเรา เราพยายามละความอยาก เปลี่ยนจากความอยากเป็นความต้องการ บริหารด้วยสติด้วยปัญญาให้ถูกต้อง แม้จะเล็กๆ น้อยๆ แล้วก็ความรับผิดชอบให้เต็มเปี่ยม รับผิดชอบตัวเรา ล้นออกไปสู่หมู่ สู่คณะ สู่สังคม
อะไรที่จะนำความทุกข์มาให้ อะไรที่จะนำความวุ่นวายมาให้ เราพยายามรีบตัด รีบแก้ไขเสียตั้งแต่ต้นเหตุ อย่าให้มี อะไรที่จะเรียบ เงียบ ง่าย นำความสุข นำความสงบมาให้ นั่นแหละคือหนทาง แนวทางของการศึกษาในหลักของธรรมะอยากจะร่ำอยากจะรวย อยากจะมีความสุข เราก็ต้องขยันหมั่นเพียรด้วยสติด้วยปัญญา ด้วยเหตุด้วยผล แล้วก็ทำให้ถูกต้องถูกตามวิธีการ เราไม่อยากได้มันก็ได้เอง เราไม่อยากมีก็มีเอง แต่ขอให้บริหารให้ดี ให้ถูกต้อง ให้อยู่ในบุญ ให้อยู่ในอานิสงส์ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะหลั่งไหลมาด้วยแรงบุญของพวกเราเอง ก็ต้องพยายามกัน
สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกให้ชัดเจน อยู่หลายคนก็เหมือนกับอยู่คนเดียว อยู่คนเดียว ขณะนี้ก็ให้รู้ว่าลมวิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจนกัน
ไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอานะ หลวงพ่อเพียงแค่เล่าให้ฟัง