หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 85
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 85
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 85
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 7 กรกฎาคม 2556
เจริญธรรมญาติโยมทุกคนทุกท่าน ขอให้ญาติโยมจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจ ที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน อย่างน้อยๆ เราก็รู้จักการเจริญสติ รู้จักวิธี รู้จักแนวทาง หยุดความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ หยุดพันธะภาระหน้าที่ทางสมมติ หยุดทุกเรื่อง นั่งให้สบาย วางกายให้สบาย แล้วก็ให้รู้เรื่องการหายใจเข้าออกของเราให้ชัดเจน ฟังไปด้วย น้อมสำเหนียก ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเรา นั่นแหละ เขาเรียกว่าสติรู้กาย
ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาเราได้สร้างความรู้ตัวตรงนี้ แล้วก็สร้างให้ต่อเนื่องกันแล้วหรือยัง เพียงแค่เรื่องการหายใจเข้าออก พวกเราก็ขาดการสนใจกันมากเลยทีเดียว สนใจในการทำบุญ สนใจในการให้ทาน สนใจในการปฏิบัติ แต่ไม่รู้จักว่าการเจริญสติที่จะเข้าไปทำความเข้าใจ นี่แหละตัวปฏิบัติเลยทีเดียว เราไปแก้ไข
อะไรคือสมมติอะไรคือวิมุตติ พระพุทธองค์ท่านสอนเรื่องอะไร สอนเรื่องอัตตา สอนเรื่องอนัตตา คำว่าอัตตาเป็นลักษณะอย่างไร อนัตตาเป็นลักษณะอย่างไร การเกิดการดับของวิญญาณในกายของเราเป็นอย่างไร ตรงนี้สำคัญมากทีเดียว ท่านถึงบอกว่าให้รอบรู้ในกองสังขารของเรา รอบรู้ในขันธ์ห้าของเรา เพียงแค่การเจริญสติให้ต่อเนื่อง การทำความเข้าใจระดับสมมติก็ยังขาดตกบกพร่อง ทางด้านวิมุตติ ทางด้านจิต ทางด้านวิญญาณ ถ้าเราไม่มีความเพียรที่ถูกต้องก็ยิ่งยากเข้าไปอีก
พูดเหมือนกับจะง่าย แต่การลงมือ การปฏิบัติ การทำความเข้าใจ ต้องอาศัยความเพียรที่ต่อเนื่อง อาศัยความเพียร อาศัยตบะบารมีให้เต็มที่ ความเสียสละของเรามีหรือไม่ ความอ่อนน้อมถ่อมตน การฝักใฝ่ การสนใจ ความขยันหมั่นเพียร กำจัดความเกียจคร้าน ละความตระหนี่เหนียวแน่นออกจากจิตจากใจของเรา เราต้องเป็นบุคคลที่ฝักใฝ่อยู่ตลอดเวลา หมั่นพร่สอนตัวเราเองอยู่ตลอดเวลา แก้ไขตัวเราเองอยู่ตลอดเวลา บุคคลที่มีบุญมีอานิสงส์เพียงพอ จะสอนตัวเองอยู่ตลอด ไม่จำเป็นต้องไปเที่ยวให้คนโน้นเขาสอน คนนี้เขาสอน เปล่าประโยชน์ ถ้าไม่รู้จักสอนตัวเราเอง แก้ไขตัวเราเอง ว่าขณะนี้กายของเราเป็นอย่างไร ใจของเราเป็นอย่างไร สมมติของเรามีความเพียบพร้อมอยู่หรือไม่ อะไรขาดตกบกพร่อง
ความขยันหมั่นเพียร การฝักใฝ่ การสนใจ การยังประโยชน์ของเรามีเพียงพอหรือไม่ อยู่กับที่ รีบแก้ไข ไม่จำเป็นต้องไปวิ่งหาอะไร สมมติเราไม่พร้อม เราก็ทำสมมติของเราให้พร้อม ความเกียจคร้านของเรามันเข้าเกาะครอบงำจิตใจของเรา เราก็พยายามละความเกียจคร้าน เพิ่มความขยันหมั่นเพียรให้มีให้เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา อันนี้คือสติรู้ตัวอยู่ปัจจุบันเป็นลักษณะอย่างนี้ ความรู้ตัวที่ต่อเนื่องไม่มี เราก็พยายามสร้างขึ้นมา กายวิเวกเป็นอย่างนี้ ใจวิเวกเป็นอย่างนี้ ความสงบ สงบที่ปราศจากกิเลส สงบด้วยสติด้วยปัญญา สงบที่คลายจากความยึดมั่นถือมั่น กิเลสหยาบ กิเลสละเอียดเกิดขึ้นที่ใจของเราได้อย่างไร เรารีบแก้ไขเสีย ถ้าเราไม่แก้ไขตัวเราแล้วก็ไม่มีใครจะแก้ไขให้เราได้หรอก
แนวทางนั้นพระพุทธเจ้าท่านชี้แนะมา ท่านค้นพบแล้วก็ออกมาเปิดเผยให้สัตว์โลกได้เดินตาม พวกเราเดินตาม ทำให้มีให้ปรากฏขึ้นที่ใจของเราแล้วหรือยัง ถ้ายังก็พยายามเริ่ม อย่าไปปล่อยโอกาสทิ้ง อย่าไปปิดกั้นตัวเราเอง ว่าไม่มีโอกาส ว่าไม่มีเวลา ทุกคนก็ได้ปฏิบัติกันมาตั้งนานแล้วแหละ หลายภพหลายชาติแล้วแหละ ถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ จากการเกิดมาเป็นมนุษย์ก็มีการพัฒนาขึ้นมา จากเด็กเป็นผู้ใหญ่ จากผู้ใหญ่ก็ได้รับการศึกษาได้รับการเล่าเรียน รู้จักผิดชอบชั่วดี รู้จักแก้ไขตัวเราเอง
แต่ส่วนมากก็จะปล่อยปละละเลย เอาเฉพาะระดับของโลกียะ ของสมมติ มองอยู่เฉพาะตาเนื้อ แต่ตาใน ตาปัญญา เราต้องให้รอบรู้จากข้างใน ล้นออกไปสู่ภายนอก ความบริสุทธิ์จากข้างใน ล้นออกไปสู่ภายนอก เราพยายามแก้ไข ถ้าเราไม่แก้ไขให้ตัวเรา ก็ไม่มีใครจะแก้ไขให้เราได้หรอกการทำบุญ การให้ทาน ทุกคนก็ได้มีโอกาสได้ทำร่วมกัน เราต้องเป็นบุคคลที่มีศรัทธา แล้วก็ปัญญา อย่าเป็นศรัทธาที่หลงงมงาย จงเป็นศรัทธาที่รู้แจ้งเห็นจริง ให้ปรากฏขึ้นที่ใจของเรา จากน้อยๆไปหามากๆ ล้มแล้วลุกขึ้นมาแก้ไขใหม่ ผิดพลาดแก้ไขใหม่
เพราะว่าความจริงมีอยู่ พระพุทธองค์ท่านชี้เหตุชี้ผล ชี้เรื่องความจริงของชีวิต สัจธรรมมีอยู่ อายุปูนนี้แล้ว อายุก็มากแล้ว ผ่านกาลผ่านเวลา ผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านทุกข์ ผ่านสุขมามากมาย แทนที่จะเข้าถึง แทนที่จะขัดเกลากิเลสออกจากจิตจากใจของเรา ได้บ้าง ไม่ได้บ้าง ก็พยายามทำญาติโยม ไม่ว่าพระว่าชี พระเราก็เหมือนกัน ยิ่งฝักใฝ่ ยิ่งมีโอกาสมากก็ยิ่งพยายามสะสางตัวเราเอง แก้ไขตัวเราเองให้มันได้ ภาระของเราเราต้องแก้ไข ไม่ใช่ว่าไปโยนให้คนโน้น โยนให้คนนี้ เราต้องจัดการกับตัวเรา ความเป็นระเบียบ ความเป็นระเบียบ เรียบ เงียบ ง่าย ไม่วุ่นวาย อะไรที่จะนำความวุ่นวายมาให้เราก็รีบแก้ไข อย่านำความวุ่นวายมาให้หมู่ให้คณะ รู้จักสำรวมกาย สำรวมวาจา แล้วก็รู้จักสำรวมใจของเรา
อะไรควรเจริญ อะไรควรละ อะไรควรแก้ไข ต้องพยายามพิจารณาให้มากๆ ไม่ใช่ว่าจะไปวิ่งตามกิเลส มีตั้งแต่ความทะเยอทะยาน กิเลสของเราก็ยังไม่จบ กิเลสภายนอกก็ยังโหมเข้ามา เราต้องแก้ภายในของเราให้มันจบ แล้วก็เจริญสติปัญญาแก้ไขสมมติต่างๆ เท่าที่โอกาสอำนวยให้ เท่าที่กาลเวลาอำนวยให้ เราพยายามแสวงหาความบริสุทธิ์ ความหลุดพ้นอยู่ในกายของเราให้ถึงจุดหมายปลายทาง หลวงพ่อก็เพียงแค่เล่าให้ฟัง เท่าที่รู้เท่าที่เห็น พวกท่านจงพยายามไปทำ ไปยังให้เกิดขึ้นที่ใจของตัวพวกท่านเอง ไม่ใช่ว่าไปอยู่ที่โน้นฉันจะเข้าใจในธรรม ไปอยู่ที่นี่ฉันจะเข้าใจในธรรม ถ้าไม่รู้จักการเจริญสติ ไม่รู้จักละกิเลส ไม่รู้จักแยกแยะให้ถูกต้องถูกวิธีตามแนวทางของพระพุทธเจ้า มันก็ยากที่จะเข้าใจ
จะว่าง่ายก็ง่าย จะว่ายากก็ยาก ง่ายสำหรับบุคคลที่มีความเพียรที่ถูกต้อง ง่ายสำหรับบุคคลที่ขัดเกลากิเลสอยู่ตลอดเวลา มันจะยากสำหรับบุคคลที่มีตั้งแต่ความอยากด้วยอำนาจของกิเลส ด้วยความหลง เพียงแค่การเจริญสติทำให้ต่อเนื่องนี้ก็ยังยากอยู่แล้ว แต่การทำบุญให้ทาน การสร้างบารมีส่วนอื่นนั้นมีกันเต็มเปี่ยม แต่การสังเกตการวิเคราะห์รายละเอียดต่างๆ กิเลสหยาบ กิเลสละเอียด มลทินต่างๆ มันก็ยิ่งยากเข้าไปอีก ก็ต้องพยายามกันนะ ไม่เหลือวิสัย
แต่ละวัน แต่ละเดือน แต่ละปี อันนี้ก็ใกล้จะเข้าพรรษาเข้ามา เหลืออีกไม่นาน เหลืออีกประมาณสักอาทิตย์ สองอาทิตย์ก็จะเข้าพรรษากัน เข้าพรรษาปีนี้ก็จะได้ทำพิธีเวียนเทียนเหมือนเดิม เวียนเทียนเหมือนเดิม แล้วก็ทำบุญให้ทานในระดับของสมมติโลกียะอยู่เหมือนเดิม มีโอกาสพวกเราก็ได้มาทำกัน แล้วก็ได้มีท่านผู้ใจบุญได้มาไถ่ชีวิตโคด้วย วันเข้าพรรษา ก็ขอเชิญเราทุกคนมีโอกาสได้มาร่วมกันนะ
เอาล่ะ วันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกัน หลวงพ่อเพียงแค่เล่าให้ฟัง
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 7 กรกฎาคม 2556
เจริญธรรมญาติโยมทุกคนทุกท่าน ขอให้ญาติโยมจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจ ที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน อย่างน้อยๆ เราก็รู้จักการเจริญสติ รู้จักวิธี รู้จักแนวทาง หยุดความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ หยุดพันธะภาระหน้าที่ทางสมมติ หยุดทุกเรื่อง นั่งให้สบาย วางกายให้สบาย แล้วก็ให้รู้เรื่องการหายใจเข้าออกของเราให้ชัดเจน ฟังไปด้วย น้อมสำเหนียก ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเรา นั่นแหละ เขาเรียกว่าสติรู้กาย
ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาเราได้สร้างความรู้ตัวตรงนี้ แล้วก็สร้างให้ต่อเนื่องกันแล้วหรือยัง เพียงแค่เรื่องการหายใจเข้าออก พวกเราก็ขาดการสนใจกันมากเลยทีเดียว สนใจในการทำบุญ สนใจในการให้ทาน สนใจในการปฏิบัติ แต่ไม่รู้จักว่าการเจริญสติที่จะเข้าไปทำความเข้าใจ นี่แหละตัวปฏิบัติเลยทีเดียว เราไปแก้ไข
อะไรคือสมมติอะไรคือวิมุตติ พระพุทธองค์ท่านสอนเรื่องอะไร สอนเรื่องอัตตา สอนเรื่องอนัตตา คำว่าอัตตาเป็นลักษณะอย่างไร อนัตตาเป็นลักษณะอย่างไร การเกิดการดับของวิญญาณในกายของเราเป็นอย่างไร ตรงนี้สำคัญมากทีเดียว ท่านถึงบอกว่าให้รอบรู้ในกองสังขารของเรา รอบรู้ในขันธ์ห้าของเรา เพียงแค่การเจริญสติให้ต่อเนื่อง การทำความเข้าใจระดับสมมติก็ยังขาดตกบกพร่อง ทางด้านวิมุตติ ทางด้านจิต ทางด้านวิญญาณ ถ้าเราไม่มีความเพียรที่ถูกต้องก็ยิ่งยากเข้าไปอีก
พูดเหมือนกับจะง่าย แต่การลงมือ การปฏิบัติ การทำความเข้าใจ ต้องอาศัยความเพียรที่ต่อเนื่อง อาศัยความเพียร อาศัยตบะบารมีให้เต็มที่ ความเสียสละของเรามีหรือไม่ ความอ่อนน้อมถ่อมตน การฝักใฝ่ การสนใจ ความขยันหมั่นเพียร กำจัดความเกียจคร้าน ละความตระหนี่เหนียวแน่นออกจากจิตจากใจของเรา เราต้องเป็นบุคคลที่ฝักใฝ่อยู่ตลอดเวลา หมั่นพร่สอนตัวเราเองอยู่ตลอดเวลา แก้ไขตัวเราเองอยู่ตลอดเวลา บุคคลที่มีบุญมีอานิสงส์เพียงพอ จะสอนตัวเองอยู่ตลอด ไม่จำเป็นต้องไปเที่ยวให้คนโน้นเขาสอน คนนี้เขาสอน เปล่าประโยชน์ ถ้าไม่รู้จักสอนตัวเราเอง แก้ไขตัวเราเอง ว่าขณะนี้กายของเราเป็นอย่างไร ใจของเราเป็นอย่างไร สมมติของเรามีความเพียบพร้อมอยู่หรือไม่ อะไรขาดตกบกพร่อง
ความขยันหมั่นเพียร การฝักใฝ่ การสนใจ การยังประโยชน์ของเรามีเพียงพอหรือไม่ อยู่กับที่ รีบแก้ไข ไม่จำเป็นต้องไปวิ่งหาอะไร สมมติเราไม่พร้อม เราก็ทำสมมติของเราให้พร้อม ความเกียจคร้านของเรามันเข้าเกาะครอบงำจิตใจของเรา เราก็พยายามละความเกียจคร้าน เพิ่มความขยันหมั่นเพียรให้มีให้เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา อันนี้คือสติรู้ตัวอยู่ปัจจุบันเป็นลักษณะอย่างนี้ ความรู้ตัวที่ต่อเนื่องไม่มี เราก็พยายามสร้างขึ้นมา กายวิเวกเป็นอย่างนี้ ใจวิเวกเป็นอย่างนี้ ความสงบ สงบที่ปราศจากกิเลส สงบด้วยสติด้วยปัญญา สงบที่คลายจากความยึดมั่นถือมั่น กิเลสหยาบ กิเลสละเอียดเกิดขึ้นที่ใจของเราได้อย่างไร เรารีบแก้ไขเสีย ถ้าเราไม่แก้ไขตัวเราแล้วก็ไม่มีใครจะแก้ไขให้เราได้หรอก
แนวทางนั้นพระพุทธเจ้าท่านชี้แนะมา ท่านค้นพบแล้วก็ออกมาเปิดเผยให้สัตว์โลกได้เดินตาม พวกเราเดินตาม ทำให้มีให้ปรากฏขึ้นที่ใจของเราแล้วหรือยัง ถ้ายังก็พยายามเริ่ม อย่าไปปล่อยโอกาสทิ้ง อย่าไปปิดกั้นตัวเราเอง ว่าไม่มีโอกาส ว่าไม่มีเวลา ทุกคนก็ได้ปฏิบัติกันมาตั้งนานแล้วแหละ หลายภพหลายชาติแล้วแหละ ถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ จากการเกิดมาเป็นมนุษย์ก็มีการพัฒนาขึ้นมา จากเด็กเป็นผู้ใหญ่ จากผู้ใหญ่ก็ได้รับการศึกษาได้รับการเล่าเรียน รู้จักผิดชอบชั่วดี รู้จักแก้ไขตัวเราเอง
แต่ส่วนมากก็จะปล่อยปละละเลย เอาเฉพาะระดับของโลกียะ ของสมมติ มองอยู่เฉพาะตาเนื้อ แต่ตาใน ตาปัญญา เราต้องให้รอบรู้จากข้างใน ล้นออกไปสู่ภายนอก ความบริสุทธิ์จากข้างใน ล้นออกไปสู่ภายนอก เราพยายามแก้ไข ถ้าเราไม่แก้ไขให้ตัวเรา ก็ไม่มีใครจะแก้ไขให้เราได้หรอกการทำบุญ การให้ทาน ทุกคนก็ได้มีโอกาสได้ทำร่วมกัน เราต้องเป็นบุคคลที่มีศรัทธา แล้วก็ปัญญา อย่าเป็นศรัทธาที่หลงงมงาย จงเป็นศรัทธาที่รู้แจ้งเห็นจริง ให้ปรากฏขึ้นที่ใจของเรา จากน้อยๆไปหามากๆ ล้มแล้วลุกขึ้นมาแก้ไขใหม่ ผิดพลาดแก้ไขใหม่
เพราะว่าความจริงมีอยู่ พระพุทธองค์ท่านชี้เหตุชี้ผล ชี้เรื่องความจริงของชีวิต สัจธรรมมีอยู่ อายุปูนนี้แล้ว อายุก็มากแล้ว ผ่านกาลผ่านเวลา ผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านทุกข์ ผ่านสุขมามากมาย แทนที่จะเข้าถึง แทนที่จะขัดเกลากิเลสออกจากจิตจากใจของเรา ได้บ้าง ไม่ได้บ้าง ก็พยายามทำญาติโยม ไม่ว่าพระว่าชี พระเราก็เหมือนกัน ยิ่งฝักใฝ่ ยิ่งมีโอกาสมากก็ยิ่งพยายามสะสางตัวเราเอง แก้ไขตัวเราเองให้มันได้ ภาระของเราเราต้องแก้ไข ไม่ใช่ว่าไปโยนให้คนโน้น โยนให้คนนี้ เราต้องจัดการกับตัวเรา ความเป็นระเบียบ ความเป็นระเบียบ เรียบ เงียบ ง่าย ไม่วุ่นวาย อะไรที่จะนำความวุ่นวายมาให้เราก็รีบแก้ไข อย่านำความวุ่นวายมาให้หมู่ให้คณะ รู้จักสำรวมกาย สำรวมวาจา แล้วก็รู้จักสำรวมใจของเรา
อะไรควรเจริญ อะไรควรละ อะไรควรแก้ไข ต้องพยายามพิจารณาให้มากๆ ไม่ใช่ว่าจะไปวิ่งตามกิเลส มีตั้งแต่ความทะเยอทะยาน กิเลสของเราก็ยังไม่จบ กิเลสภายนอกก็ยังโหมเข้ามา เราต้องแก้ภายในของเราให้มันจบ แล้วก็เจริญสติปัญญาแก้ไขสมมติต่างๆ เท่าที่โอกาสอำนวยให้ เท่าที่กาลเวลาอำนวยให้ เราพยายามแสวงหาความบริสุทธิ์ ความหลุดพ้นอยู่ในกายของเราให้ถึงจุดหมายปลายทาง หลวงพ่อก็เพียงแค่เล่าให้ฟัง เท่าที่รู้เท่าที่เห็น พวกท่านจงพยายามไปทำ ไปยังให้เกิดขึ้นที่ใจของตัวพวกท่านเอง ไม่ใช่ว่าไปอยู่ที่โน้นฉันจะเข้าใจในธรรม ไปอยู่ที่นี่ฉันจะเข้าใจในธรรม ถ้าไม่รู้จักการเจริญสติ ไม่รู้จักละกิเลส ไม่รู้จักแยกแยะให้ถูกต้องถูกวิธีตามแนวทางของพระพุทธเจ้า มันก็ยากที่จะเข้าใจ
จะว่าง่ายก็ง่าย จะว่ายากก็ยาก ง่ายสำหรับบุคคลที่มีความเพียรที่ถูกต้อง ง่ายสำหรับบุคคลที่ขัดเกลากิเลสอยู่ตลอดเวลา มันจะยากสำหรับบุคคลที่มีตั้งแต่ความอยากด้วยอำนาจของกิเลส ด้วยความหลง เพียงแค่การเจริญสติทำให้ต่อเนื่องนี้ก็ยังยากอยู่แล้ว แต่การทำบุญให้ทาน การสร้างบารมีส่วนอื่นนั้นมีกันเต็มเปี่ยม แต่การสังเกตการวิเคราะห์รายละเอียดต่างๆ กิเลสหยาบ กิเลสละเอียด มลทินต่างๆ มันก็ยิ่งยากเข้าไปอีก ก็ต้องพยายามกันนะ ไม่เหลือวิสัย
แต่ละวัน แต่ละเดือน แต่ละปี อันนี้ก็ใกล้จะเข้าพรรษาเข้ามา เหลืออีกไม่นาน เหลืออีกประมาณสักอาทิตย์ สองอาทิตย์ก็จะเข้าพรรษากัน เข้าพรรษาปีนี้ก็จะได้ทำพิธีเวียนเทียนเหมือนเดิม เวียนเทียนเหมือนเดิม แล้วก็ทำบุญให้ทานในระดับของสมมติโลกียะอยู่เหมือนเดิม มีโอกาสพวกเราก็ได้มาทำกัน แล้วก็ได้มีท่านผู้ใจบุญได้มาไถ่ชีวิตโคด้วย วันเข้าพรรษา ก็ขอเชิญเราทุกคนมีโอกาสได้มาร่วมกันนะ
เอาล่ะ วันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกัน หลวงพ่อเพียงแค่เล่าให้ฟัง