หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 79

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 79
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ผู้บรรยาย
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 79
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 79
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 26 มิถุนายน 2556

เจริญธรรมญาติโยมทุกคนทุกท่าน ขอให้ญาติโยมจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเราให้ชัดเจน แล้วก็ให้ต่อเนื่อง อันนี้เป็นการย้ำ เป็นการเตือน พวกท่านจงพยายามพากันสร้างความรู้ตัวตั้งแต่ตื่น วิเคราะห์กายของเรา วิเคราะห์ใจของเราด้วยตัวของเราเอง อะไรควรเจริญ อะไรควรละ ลักษณะของใจของเราปกติ ความปกติเป็นอย่างไร ใจที่ไม่เกิดเป็นอย่างไร ใจที่มีความกังวล มีความฟุ้งซ่านเป็นอย่างไร ทุกเรื่องในชีวิต ความขยันหมั่นเพียร ความเสียสละ ความอดทน การกระทำของเราก็ต้องถึงพร้อม ถึงจะเกิดประโยชน์

ไม่ใช่ว่าจะยกเรื่องของเราให้เป็นภาระของคนอื่น เราจงแก้ไขตัวเราเอง ปรับปรุงตัวเราเอง หมั่นพร่ำสอนใจของเรา ภาระหน้าที่สมมติเราก็ทำความเข้าใจ แล้วก็ยังสมมติให้เกิดประโยชน์ เคารพสมมติ ไม่ยึดติดสมมติ ทำความเข้าใจกับสมมติ กายของเรานี่แหละคือก้อนสมมติ ส่วนนามธรรม​ วิญญาณ อาการของขันธ์ห้าอีก เราต้องสร้างความรู้ตัวเข้าไปรู้เท่าทัน รู้จักวิเคราะห์ รู้จักชี้เหตุ หาเหตุหาผล จนใจของเรามองเห็นความเป็นจริงทุกอย่างนั่นแหละ

การฝึกฝนตนเองไม่จำเป็นต้องไปเที่ยวหาที่ไหนเลย ลงที่กายที่ใจของเรา พยายามทำเอา ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี ก็พยายามขยันหมั่นเพียร เพราะว่าธรรมชาติเขาก็เป็นอยู่อย่างนี้ แต่เราเข้าไม่ถึงธรรมชาติกัน วิ่งหาแต่ธรรมชาติ ก็เลยห่างไกลธรรมชาติภายใน แล้วก็วิ่งหาธรรมชาติภายใน แล้วก็วิ่งหาธรรมชาติภายนอก ธรรมชาติภายใน คือใจที่ปราศจากการเกิด ใจที่ปราศจากกิเลส เขาก็ว่าง เขาก็บริสุทธิ์ นั่นแหละคือธรรมชาติที่แท้จริง เพราะเขามีอยู่แล้วแต่เดิม ความไม่เข้าใจ ความไม่รู้ เขาถึงหลง หลงแล้วก็เกิด ถ้าไม่หลงก็ไม่เกิด เกิดแล้วก็สร้างโน่น สร้างแสวงหามาทับถมดวงใจของตัวเราเอง แทนที่จะคลายออก คลายความยึดมั่นถือมั่น คลายกิเลส ดับความเคิด มองเห็นเหตุเห็นผล ทีนี้จะเอาจะมีจำเป็นก็เป็นเรื่องปัญญา ยังสมมติให้เกิดประโยชน์ ขณะที่เรายังมีกำลังอยู่ ทำได้บ้าง ไม่ได้บ้างก็พยายามทำ

การเจริญสติเป็นลักษณะอย่างนี้ กายวิเวกเป็นลักษณะนี้ ใจวิเวกเป็นลักษณะอย่างนี้ ทุกเรื่องเลยนะ ทุกเรื่องเลยในชีวิตของเรา ไม่ใช่ว่าไปปฏิบัติธรรม นุ่งขาวห่มขาวไปวัดแล้วเป็นการปฏิบัติ อันนั้นเป็นแค่เพียงรูปแบบ แค่พิธีรีตอง เราต้องพยายามเข้าให้ถึงความหมาย ใจที่มีความอ่อนโยน ใจที่มีความอ่อนน้อมเป็นอย่างไร ใจที่ไม่มีอคติ ใจที่ไม่มีมลทินเป็นอย่างไร ก่อนที่จะรู้ ก่อนที่จะเห็น เราก็ต้องเจริญสติให้มากๆ แล้วก็รู้ด้วย เห็นด้วย แล้วก็ตามทำความเข้าใจให้ได้ทุกเรื่องด้วย

ไม่ใช่ว่าปฏิบัติธรรมไม่รู้จักธรรม เจริญสติไม่รู้จักการสร้างสติ ลักษณะของคำว่าปัจจุบันธรรมเป็นอย่างไร กายทวารของเราทำหน้าที่อย่างไร โลกธรรมแปดเขาก็มีอยู่ วิญญาณในกายของเรานี่แหละ มันทะเยอทะยานอยาก เกิดความยินดียินร้าย อยากในรูป ในรส ในกลิ่น ในเสียง แม้ตั้งแต่อยากในข้าวปลาอาหาร เราก็ต้องหัดวิเคราะห์ เราไม่ได้เอาด้วยความอยาก ได้หรือไม่ เราไม่ทำด้วยความทะเยอทะยานอยากที่เกิดจากกิเลส จะเอาจะมีจะเป็นก็เป็นเรื่องปัญญา ทำหน้า หน้าที่ด้วยปัญญา อยู่ด้วยพรหมวิหาร อยู่ด้วยความเมตตา

สะสางกิเลสภายในของเราให้มันจบ ทีนี้ก็ล้นออกไปสู่ภายนอก ด้วยสติด้วยปัญญา ด้วยพรหมวิหาร ด้วยความเมตตา จนกว่าจะพลัดพรากจากกันนั่นแหละ เพราะว่าทุกชีวิตเกิดมาก็ต้องได้พลัดพรากจากกัน ไม่ได้พลัดพรากจากการตอนตาย ก็ต้องได้พลัดพรากจากการตอนเป็น เพราะว่าเป็นกฎของไตรลักษณ์ กฎของความเป็นจริงแม้แต่ตัวของเรา เราก็ต้องได้วาง ได้ทิ้งเอาไว้กับแผ่นดิน กับสมมติ เพราะว่าเรายืม ยืมสมมติเขามา ยืมดิน น้ำ ลม ไฟ เขามา ต้องรู้ด้วยปัญญาของพระพุทธองค์ ที่ชี้แนะแนวทางให้ ถึงจะแจงออกให้เห็นชัดเจน แต่เราก็ไปเหมาในภาพรวม ว่าเป็นตัวตนของเรา เป็นของของเรา ในทางสมมติอันเป็นของเรา สมมติสัจจะ ความจริงของสมมติมีอยู่ ความจริงของวิมุตติเราต้องอาศัยปัญญาของพระพุทธองค์ ชี้เหตุชี้ผลลงไป

อะไรคือส่วน รูป อะไรคือส่วนนาม ทำไมวิญญาณถึงเกิด ทำไมวิญญาณของเราถึงเป็นทาสของกิเลส ทำไมขันธ์ห้าถึงมาปรุงแต่งใจ อะไรคือกรรม อะไรคือการละวางกรรม กรรมก็คือการกระทำ การปล่อย การวางกุศลกรรม อกุศลกรรม กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ไล่เรียงลงไปเรื่อยๆ เราก็จะเห็นอะไรชัดเจนเยอะ มองเห็นหนทางเดิน ว่าเราจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิดกัน

อย่าไปโทษคนโน้น อย่าไปโทษคนนี้ จงโทษตัวเรา แก้ไขตัวเราปรับปรุงตัวเรา แต่ละวันๆ จนมองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างเป็นธรรมดา อยู่กับบุญ ใจของเราเป็นบุญ ทำใจให้เป็นบุญ ทำกายให้เป็นบุญ ทำวาจาให้เป็นบุญ ยังสมมติให้เกิดประโยชน์เท่าที่ความสามารถของเรามี ไม่ใช่ว่ามีตั้งแต่ความเห็นแก่ตัว เห็นแก่ความเกียจคร้าน เห็นแก่ความไม่เสียสละ มองโลกในแง่ร้าย เราก็ต้องพยายามกำจัดออกไปให้มันหมด พยายามกันนะ พยายามกัน เท่าที่โอกาสจะดำเนินได้ เท่าที่โอกาสจะอำนวยให้

อันนี้กาลเวลาผ่านไปเร็วไว ใกล้จะเข้าพรรษาเข้ามาแล้ว เหลืออีกประมาณสักยี่สิบกว่าวันเท่านั้นเอง มันก็จะเข้าพรรษากัน พรรษาหนึ่ง ปีหนึ่ง มนุษย์เราเกิดมาไม่อยู่ได้ยาวนานหรอก ทุกวันนี้ไม่ถึง ส่วนมากก็ไม่เกิน 60-70 ปี หา 100 ปีนี้ยากแล้วแหละ สมัยก่อนเข้าผู้เฒ่าผู้แก่นี่อายุยืน มันก็ไปตามวัยตามกาลตามเวลาของเขา เราพยายามดำเนินชีวิตของเราให้มันดีก่อน ให้ถูกต้องเสียก่อน ก่อนที่จะไป ก่อนที่จะมา พยายามสร้างบุญสร้างอานิสงส์ อย่าไปทิ้งบุญ พยายามทำบุญ ให้ทาน แล้วก็ทำความเข้าใจให้เข้าถึงความหมายนั้นๆ เราก็จะมองเห็น มีเข้าพกเข้าห่อเดินทาง ตราบใดที่ใจของเรายังเกิดอยู่ มันก็ต้องเกิดอยู่เรื่อยร่ำไป เราก็ต้องอาศัยเสบียง อาศัยอาหารการเดินทาง

จนกว่าใจของเราจะไม่เกิด ละกิเลสออกหมดนั่นแหละ มีโอกาสแล้วก็ยังประโยชน์ของสมมติ ช่วยกันทำ ช่วยกันสร้าง พวกเราก็พลอยได้รับอานิสงส์ในสิ่งที่พวกเราทำ มีความสุข ใครมาก็มีความสุข ใครไปก็มีความสุข​ มีอะไรก็ให้ช่วยกันทำ ดูแลความสะอาด ความเป็นระเบียบเรียบร้อย เป็นหน้าที่ของเรา ไม่ใช่ว่าหน้าที่ของคนโน้นคนนี้ อะไรที่ไม่ดีเราก็รีบแก้ไขเสียให้มันดี อย่าไปปล่อยปละละเลย เอาความสะอาด ความเป็นระเบียบเรียบร้อย มีความเสียสละ นั่นแหละคือข้อวัตรปฏิบัติ ถ้ามีตั้งแต่ความเกียจคร้าน งอมืองอเท้า ทำอะไรก็ไม่เป็น สร้างสะสมความเกียจคร้านไปเรื่อยๆ​ ก็หมักหมมไปเรื่อยๆ ถ้าคนเรามีความขยันหมั่นเพียร มีความเสียสละ ขัดเกลาตัวเราเอง แก้ไขตัวเราเอง

การเจริญสติเป็นอย่างนี้ ความขยันหมั่นเพียรเป็นอย่างนี้ การควบคุมกาย ควบคุมวาจา ควบคุมใจ​ จนกว่าใจของเราจะคลายออกจากความคิด ออกจากอารมณ์ ออกจากการแยกรูปแยกนาม มองเห็นความเป็นจริง วันข้างหน้าเราก็จะมองเห็นชัดเจน ขอให้เริ่มต้นไปเถอะ วันนี้เราไม่เข้าใจ วันพรุ่งนี้เราต้องเข้าใจ ตราบใดที่เราฝักใฝ่ เราไม่เข้าใจ เราก็ยิ่งเพิ่มความเพียร ไม่ใช่ว่าไม่เข้าใจแล้วมีแต่ความเกียจคร้าน มันก็ยิ่งห่างไกล จงแก้ไขตัวเราเอง พยายามนะ

เอาล่ะวันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอา

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง