หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 51
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 51
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 51
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 18 เมษายน 2556
ญาติโยมท่านใดจะเอาของมาถวายก็เอามาเสียนะ ธงทิว ญาติโยมเราเอามาร่วมกันได้เยอะเลย ในถังใหญ่เบ้อเริ่มเลย กว่าจะถึงปีหน้านี่สนุกปักธงทิว วางธงทิว มีความสุขกัน จะพาฉลองสมโภชน์ใหญ่ ญาติโยมมีโอกาสมาร่วมกันมาช่วยกัน มาตั้งโรงทาน มาตั้งโรงทาน ให้มีความสุข สมมติต่างๆ ก็ช่วยกันทำให้ราบรื่นให้เรียบร้อย ให้บริบูรณ์ มาช่วยกันทำ มาช่วยกันเสีย ยังสมมติให้เกิดประโยชน์ ให้เกิดบุญ
ส่วนการปฏิบัติขัดเกลากิเลส เราต้องพยายามดูรู้ใจของเราตลอดเวลาตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ทุกเรื่อง ธรรมะก็คือเรื่องของเรา ไม่ใช่เรื่องของคนอื่น ขัดเกลากิเลสของเรา ดับความเกิดของเรา คลายความหลงของเรา แต่ละวันตื่นเช้าขึ้นมา ใจของเราเกิดความอยาก หรือว่าปรุงแต่งส่งออกไปภายนอกสักกี่เรื่องกี่เที่ยว รู้เท่าทันหรือไม่ หรือไม่รู้จักดับรู้จักละ เราก็ต้องพยายาม เพียงแค่การเจริญสติให้ต่อเนื่อง ก็ต้องพยายามทำ แล้วก็รู้จักเอาไปใช้ ไม่ใช่ว่าธรรมจะอยู่ที่โน่น ธรรมะจะอยู่ที่นี่ กายของเราก้อนธรรม จิตของเราองค์ธรรม
แต่เวลานี้จิตของเรายังเกิด จิตของเรายังหลง นอกจากบุคคลที่เจริญสติเข้าไปแยกแยะ ถึงจะคลายความหลงได้ ส่วนมากก็ไม่ ไม่เข้าไปทำความเข้าใจ มีตั้งแต่เพิ่ม ได้แต่เพิ่มในทางบุญทางกุศล ในหลักธรรมแล้วก็ให้แยกรูปแยกนาม เดินปัญญา ละกิเลส ดับความเกิดของตัววิญญาณ จนไม่เหลืออะไร จนเหลือแต่ความบริสุทธิ์แล้วก็ให้เขารับรู้ นอกนั้นก็เป็นเรื่องของปัญญา สร้างบุญ สร้างประโยชน์ สร้างอานิสงส์ ให้เกิดให้มีมากมาย
ดูดีๆ นะ พระเราชีเรา ความอยากแม้แต่นิดเดียวก็อย่าให้เกิดขึ้นที่ใจ อยากในอาหาร การอยู่ การขบการฉัน รู้จักพิจารณาปฏิสังขาโย ใจของเราเกิดความอยาก เราก็รู้จักหยุดระงับยับยั้ง เจริญสติเข้าไปหยุด ไม่ใช่ว่า อันโน้นก็อยากอันนี้ก็อยาก อันโน้นก็อร่อยอันนี้ก็อร่อยๆ ความอร่อยก็อร่อยอยู่เหมือนเดิมนั่นแหละ แต่ให้ใจรับรู้ ไม่ให้ใจเกิดความอยาก เอาน้อยก็กลัวไม่อิ่ม มาเอาเยอะๆ ต้องฝึกทุกเรื่อง
ความอยาก ละความอยาก ละความหลง ขยันหมั่นเพียร ตามหลักของความเป็นจริง คนที่มีอานิสงส์มีบุญบารมีก็ ฐานบุญก็มาจากพ่อจากแม่นั่นแหละ จากพี่จากน้อง เป็นคนพร่ำสอนเสียก่อน ไม่ใช่ว่ามาวัดแล้วจะมาเข้าใจในธรรม ที่อยู่ที่บ้านพ่อแม่ ไม่พาฝึกละ ฝึกให้ ฝึกเอาออก จะมาฝึกเฉพาะอยู่ที่วัดมันก็เป็นไปไม่ได้ ก็จากฐานจากพ่อจากแม่พาเอาออก พาให้ ฝักใฝ่ในบุญในกุศล น้อมใจ น้อมกายเข้ามา เป็นตบะบารมีมาก่อน ไม่ใช่ว่าไปวัดแล้วจะรู้เลย มันไม่ใช่หรอกเพียงแค่มาศึกษาหาวิธีหาแนวทาง
กิเลสก็อยู่ที่ใจของเรา ไม่จำเป็นต้องไปพูดมากไปฟังมาก เจริญสติเข้าไปสอนใจตัวเราอยู่ตลอดเวลา อันนี้คือสติ อันนี้คือใจหมั่นพร่ำสอนกันตลอดเวลา เรามีความเกียจคร้าน เราก็พยายามละความเกียจคร้าน ใจของเรามีมลทิน มองโลกในแง่ร้าย แต่ละวันตื่นขึ้นมาก็คนโน้นเป็นอย่างนั้นคนนั้นเป็นอย่างนี้ มีแต่แต่วิสัยของคนโง่เท่านั้นนะ ที่ไปอคติเพ่งโทษคนโน้นคนนี้
เราพยายามมองโลกในทางที่ดี คิดดี ทำดี แล้วการกระทำของเราก็ให้ถึงพร้อม ถึงจะเกิดประโยชน์ ทำความเข้าใจ ธรรมชาติของกาย ธรรมชาติของใจ สติปัญญาที่เราสร้างขึ้นมา ยังสมมติของเราให้บริบูรณ์ สมมติ เรามาอาศัยสมมติอาศัยเราโลกธรรมอยู่ เราก็ต้องทำหน้าที่ของเราให้ดี ไม่ใช่ว่าจะไปโทษคนโน้นไม่ดี คนโน้นไม่ดีคนนี้ไม่ดี จิตของเราไม่ดี จึงไปโทษคนโน้นคนนี้ พยายามแก้ไขปรับปรุงตัวเรา ดำเนินให้ถึงจุดหมายปลายทางกัน
หมั่นสร้างอานิสงส์สร้างบารมี ความเกียจคร้านของเรามี เราก็พยายามละความเกียจคร้าน ทิฐิมานะความเห็นผิด เราก็พยายามแก้ไข ความเสียสละของเรามีหรือไม่ เราก็พยายาม ไม่ใช่ว่าจะเอาตั้งแต่ ตั้งแง่ตั้งมุม ตั้งก๊ก ตั้งเหล่าตั้งกอ อย่างนั้นมีแต่คนโง่เท่านั้น ที่เดินทางเข้าไปสู่ความตกต่ำ คนฉลาดเขาจะมีตั้งแต่ทำใจให้สะอาด ให้บริสุทธิ์ ให้หลุดพ้นตามแนวทางของพระพุทธองค์ ถึงจะมีความสุข
มีอะไรก็ช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน เป็นคนอยู่ที่ไหนก็รู้จักแก้ไขตัวเราปรับปรุงตัวเรา ไม่มีใครที่จะสอนเราได้หรอก นอกจากสติปัญญาของเราที่สร้างขึ้นมา แม้แต่พระพุทธองค์ท่านก็เพียงแค่ชี้แนะแนวทางให้ พวกท่านจะเดินหรือไม่เดินก็ขึ้นอยู่กับตัวของพวกท่านเอง แนวทางเป็นอย่างนี้ ไปอย่างนี้ ปฏิบัติอย่างนี้ จะรู้อย่างนี้ เห็นอย่างนี้ มีหมด ไม่ใช่ว่าจะไปขึ้นอยู่กับคนโน้นคนนี้ ไปเที่ยวละกิเลสให้ฉันหน่อย สอนให้ฉันหน่อย ปฏิบัติอย่างนั้นอย่างนี้ ก็เพียงแค่รู้จักวิธี รู้จักอุบาย รู้จักแนวทาง
ถ้าเรารู้จักสอนเราตั้งแต่เกิด ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา จิตใจของเราเป็นอย่างไร ขณะนี้มีความสงบ มีความปกติ จิตใจของเรามีความสะอาด มีความบริสุทธิ์ สอนตัวเราอยู่ตลอดเวลา ความคิดเกิดขึ้นมาได้อย่างไร ทำไมใจถึงเกิด ทำไมใจถึงเป็นทาสของกิเลส เราละกิเลสได้ระดับไหน ต้นเหตุ กลางเหตุ ปลายเหตุ เราตามทำความเข้าใจได้หรือไม่ รีบแก้ไขตัวเรา
ความอยากแม้แต่นิดเดียว อยากมี อยากเป็น อยากไป ไม่อยากมี ไม่อยากเป็น ไม่อยากมา ท่านก็ให้ละให้ดับ แต่คนทั่วไปแล้วความทะยานทะยานอยากเต็ม ความอยาก ความทะเยอทะยานอยาก ความหวัง ความอยากนี่พุ่งแรงเหมือนกับลูกธนู มันจะไปฉุดไปรั้งอยู่ได้อย่างไรก็ลำบาก ถ้าไม่ฝึกหัดปฏิบัติได้เท่าไหร่ก็เอา ตื่นขึ้นมาไม่รู้ใจวิ่งหนีไปเที่ยวสักกี่เรื่อง มีแต่เรื่องของคนอื่น คนโน้นบ้างคนนี้บ้าง แทนที่จะเป็นเรื่องของตัวเรา
ทำอย่างไรกายของเราจะมีความสงบความสุข ใจของเราถึงจะมีความสงบความสุข จิตใจของเรา แต่ละวันตื่นขึ้นมาเราต้องหมั่นพร่ำสอนใจของเรา เราเป็นภาระให้ตัวเรา เป็นภาระให้คนอื่น ภาระให้สรรหาอาชีพ แม้แต่ตัวของเรายังแก้ไขปัญหาภาระของเราไม่ตก ก็ยังจะไปโยนความหนักให้กับคนโน้นนคนนี้ ใช้การไม่ได้
เราต้องเป็นคนขยันหมั่นเพียร พระเราชีเราก็เหมือนกัน พยายามขยันหมั่นเพียร หนักเอาเบาสู้ อย่าไปเห็นแก่ตัว อย่าไปเห็นแก่กิน แก่พูดแก่คุยกัน ท่านบอกว่าหยุดพูดหยุดคุย พิจารณาตัวเราแก้ไขตัวเราอยู่ตลอดเวลา การพูดคุยก็พูดคุยพอให้รู้จักวิธี รู้จักแนวทางแล้วก็ไปดำเนินไปทำตาม ให้เกิดประโยชน์ ไม่ใช่แต่ละวันก็พูดคุยกันแต่เรื่องไร้สาระไร้ประโยชน์ เราต้องดูเรา เอาความขยันหมั่นเพียร เอาการกระทำเป็นที่ตั้ง
อยู่ด้วยกันหลายคนก็ความสมัครสมานสามัคคี มีความเสียสละอนุเคราะห์ช่วยเหลือกัน อยู่ที่ไหนก็มีความสุข อยู่คนเดียวก็มีความสุข อยู่หลายคนก็มีความสุข ต่างคนต่างพ่อต่างแม่ ต่างสถานที่ มาอยู่ร่วมกัน บางคนบางนั่นก็มาทะเลาะเบาะแว้งกันเราก็ไป เราอยู่มาเป็น 20 30ปี ก็เห็นเยอะ ไม่ว่าเรามาจากไหน แล้วก็กูดีมึงดี ทะเลาะเบาะแว้งกัน แล้วก็ถกเถียงกันแล้วก็ไป กูดีมึงดี ขอให้ได้กูกินอิ่ม นอนหลับสบายแล้วก็เถียงกันนะ มีแต่คนโง่เท่านั้นนะ แสดงกิริยาท่าทางไม่ดี แทนที่จะขัดเกลากิเลส แนวทางก็มี สถานที่ก็อำนวยให้
สมัยก่อนนั้นก็สถานที่ก็ลำบาก น้ำจะอาบจะใช้จะดื่ม ที่พักที่อาศัยก็ลำบาก อยู่ที่ไหนก็มีตั้งแต่กองกระดูก หลุมศพเต็มไปหมด แม้แต่ถ้วยชามกับข้าวกับปลา หาจะทานขบฉันก็แทบไม่มี ถ้วยชามจะใส่กับข้าวกับปลา ถาดนี่ก็ยังไปขุดตามหลุมศพมาไว้ใช้เลย ลำบากก็ลำบาก ทุกวันนี้อะไรก็บริบูรณ์ การปฏิบัติการขัดเกลากิเลสก็เต็มที่ ความเสียสละ อนุเคราะห์ให้ ตรงไหนไม่ดีก็ทำให้ ที่พักที่อาศัย ที่หลับที่นอน ที่ถ่ายที่เยี่ยว ก็อนุเคราะห์ทำให้ความสะดวกสบาย มาฝึกหัดปฏิบัติ แล้วก็ยังมาทะเลาะเบาะแว้งกัน มาอคติกัน มาเพ่งโทษกัน แทนที่จะขัดเกลากิเลสออกจากจิตจากใจ เห็นแล้วก็น่าละอายนะ ถ้ามี ถ้าไม่มีก็แล้วไป
พูดตามหลักของความเป็นจริง อะไรที่จะเป็นประโยชน์เราก็ช่วยกัน อย่าไปตระหนี่เหนียวแน่น เป็นคนขยันหมั่นเพียร มีความเสียสละ รู้จักให้อภัยซึ่งกันและกัน ไปที่ไหนล่ะก็กูดีมึงดี ทะเลาะเบาะแว้งกัน ตั้งก๊ก ตั้งเหล่า มีแต่คนโง่เท่านั้น หากเป็นคนฉลาดขัดเกลากิเลสตัวเราให้ถึงจุดหมายปลายทางให้เร็วให้ไว มันถึงจะเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์แบบ
ถ้าพวกท่านมาเห็นเมื่อ 30 ปีก่อน มีตั้งแต่ป่าเพ็กป่าหนามทั้งนั้นแหละ เดินเข้ามาในขาถลอกปอกเปิกหมด กว่าจะปลูกต้นไม้ได้ก็เอารากเพ็กออก ขุดกันไม่รู้กี่ปีต่อกี่ปี ต้นหนามต้นอะไรออก ทั้งกระดูกเต็มเกลื่อนไปหมด กว่าจะทำความสะอาด ความเป็นระเบียบเรียบร้อยได้ ทนทุกข์ทรมานในการทำ ความพร้อมก็ยังไม่มี ทุกวันนี้มีอะไรก็พร้อมมูลไปหมด ยังพากันเกียจคร้าน ยังพากันมาทะเลาะเบาะแว้ง ก็ช่วยเหลือไม่ได้ ธรรมะมีไว้ให้แก้ไขตัวเรา ปรับปรุงตัวเรา อันนี้พูดให้ฟัง พูดเฉยๆ หรอก ไม่มี ที่นี่ไม่มี ได้ยินข่าวตั้งแต่ที่อื่นมี อยู่ด้วยกันสองคนก็ไม่ถูกกัน ตีกันนะ อยู่ที่นี่หลายคนก็คงไม่เป็น แค่สองคนนะหรือว่ายังมีอยู่ คงไม่มีหรอกนะ ถ้ามีก็จะให้ท่านเจ้าคุณลงโทษให้นั่งสมาธิทั้งคืน ให้นั่งสมาธิไม่ให้ลุกไปไหนนะ
ตามหลักของความเป็นจริงนั้นก็ปฏิบัติทุกลมหายใจเข้าออก ทุกอิริยาบถ ให้มีสติรู้กายรู้ใจทุกอริยาบถ ใจเกิดอย่างไร ความคิดผุดขึ้นมาได้อย่างไร ให้ใจปราศจากการเกิด ให้ใจอยู่ในองค์สมาธิอยู่ในองค์ฌานที่ปราศจากกิเลส อยู่กลางโรงหนังกลางตลาด ก็ต้องให้ใจของเราปราศจากความยึดมั่นถือมั่น อยู่เป็นสมาธิ แม้แต่กายจะแตกจะดับ เราต้องเอาถึงขั้นโน้น ไม่ใช่ว่าจะมาเอาแค่เพียงรูปแบบแค่เป็นพิธีรีตรอง อย่างนั้นใช้การไม่ได้ มันหลอกตัวเอง
เราต้องพยายามเอาให้ถึงจุดหมาย ต้องดับความเกิด มองเห็นหนทางเดิน ว่าเราจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิดกัน เพียงแค่กิเลสเล็กๆ น้อยๆ เราก็พยายามขัดเกลาออก สักวันหนึ่งก็คงจะถึงจุดหมาย ไม่ใช่ว่าจะเอามาตั้งแต่ คนโน้นเป็นอย่างนั้นคนนั้นเป็นยังนี้ ทะเลาะเบาะแว้งกัน อย่างนั้นยกให้ กิเลสฝ่ายมารมาเล่นงานเอา รีบแก้ไขเสีย
ตั้งใจรับพร
ขอให้ทุกคนจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้ สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน เพียงแค่การสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่องก็ยังขาดความเพียรกันมากเลยทีเดียว จะไปควบคุมจิต ไปคลายจิต ไปแยกรูปแยกนาม เดินปัญญาขั้นสูงได้อย่างไร
เพียงแค่การเจริญสติก็เกียจคร้าน ไม่พยายามทำให้ต่อเนื่อง ความขยันอย่างอื่นนั้นขยันอยู่ แต่ขยันเจริญสติเอาไปวิเคราะห์ทำให้ต่อเนื่อง ตรงนี้ต้องมีความเพียรทั้งกลางวันทั้งกลางคืนจนเป็นเอง จนเป็นอัตโนมัติ จนเอาไปใช้ เอาไปหมั่นพร่ำสอนใจของเราได้ คลายใจออกจากความคิด ออกจากกองสังขาร ออกจากขันธ์ห้า ออกจากอัตตาตัวตนได้ แยกแยะได้ว่าอะไรเป็นอะไร มองเห็นความเป็นจริงได้นั่นแหละ กำลังสติของเราแหลมคมเร็วไวเท่าไร เราก็เอาไปประหัตประหารกิเลส อันนั้นจะตามมาเอง เพียงแค่เจริญสติเข้าไปยังสมมติของเราให้บริบูรณ์มันก็ยาก ถ้าเราไม่มีความเพียรต้องพยายาม
คนเราสร้างบุญมาเหมือนกัน แต่สร้างบุญต่างกัน ถ้าไม่ได้สร้างบุญมาดี ไม่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ทีนี้ก็มาสร้างอานิสงส์สมมติ ทั้งสมมติก็บริบูรณ์ ทั้งด้านจิตด้านใจก็ทำให้สะอาดบริสุทธิ์ปราศจากกิเลส ก็ต้องพยายามไม่ว่าพระว่าโยม กิเลสของเรา เราก็ละเอา เราจะไปเที่ยวให้คนอื่นเขาละให้ก็ไม่ได้ ความเกียจคร้านของเรามี เราก็ละความเกียจคร้านของเรา สร้างความขยันหมั่นเพียร ไม่ใช่อย่าไปวิ่งให้คนอื่นเขาทำให้ เราก็ต้องทำเอา แนวทางนั้น เราไม่เข้าใจ เราก็เสาะแสวงหา เรารู้จักวิธีรู้จักแนวทาง เราก็รีบทำ ไม่ต้องไปกลัวว่าจะเสียเปรียบกิเลสคนโน้น เสียเปรียบกิเลสคนนี้ เราชนะตัวเราแล้วเราชนะหมด เรื่องของเราทั้งนั้น นอกนั้นก็เป็นพันธะภาระวิบากกรรมที่เกี่ยวเนื่องกัน ช่วยเหลือซึ่งกันและกันด้วยพรหมวิหารด้วยความเมตตา
อีกสักหน่อยก็ตายจากกัน ไม่ตายช้าก็ตายเร็ว เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างก็เกิดมาก็เพื่อจะพลัดพรากจากกัน ไม่ได้พลัดพรากจากกันตอนเป็น ก็ต้องได้พลัดพรากจากกันตอนตาย อันนี้เป็นกฎของไตรลักษณ์ ไตรลักษณ์ระดับของสมมติ สัจจะของสมมติ แต่วิมุตติ ตัวใจกับอาการของใจ กองสังขารในขันธ์ห้าของเรา ตรงนั้นเราต้องแจงให้ละเอียดว่ากายของเรามีอะไรบ้าง ทำหน้าที่อย่างไรบ้าง วิญญาณเข้ามาครอบครอง ทำไมวิญญาณของเราถึงเป็นทาสของกิเลสอีก ทะเยอทะยานอยากอีก มาขัดเกลาให้มันถึงจุดหมาย ให้มันถึงจุดหมายให้เร็วให้ไว หมดความสงสัย หมดความลังเล อยู่อย่างมีความสุข อยู่อย่างสนุกในการทำบุญ ในการสร้างอานิสงส์บารมีให้กับสมมติฝากเอาไว้ ในแผ่นดิน
หลวงพ่อก็จะพาทำ ทุกอย่างเท่าที่จะเกิดบุญ เท่าที่จะเกิดอานิสงส์ ให้พาทุกคนพากันทำ พากันสร้าง หลวงพ่อก็ขอขอบใจทุกคนที่ได้มาอนุเคราะห์มาช่วยเหลือจนเป็นแหล่งบุญใหญ่ จากไม่มีอะไรนี่แหละ เหล่ามนุษย์เหล่าเทวดาก็ย่อมจะหลั่งไหลมาเป็นธรรมดา ปีหน้าหลวงพ่อก็จะพาฉลองสมโภชใหญ่ ให้ทุกคนได้มีความสุขกัน
สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกให้ชัดเจนกันให้ต่อเนื่องกันนะ
ไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปสร้างสานต่อเด้อ
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 18 เมษายน 2556
ญาติโยมท่านใดจะเอาของมาถวายก็เอามาเสียนะ ธงทิว ญาติโยมเราเอามาร่วมกันได้เยอะเลย ในถังใหญ่เบ้อเริ่มเลย กว่าจะถึงปีหน้านี่สนุกปักธงทิว วางธงทิว มีความสุขกัน จะพาฉลองสมโภชน์ใหญ่ ญาติโยมมีโอกาสมาร่วมกันมาช่วยกัน มาตั้งโรงทาน มาตั้งโรงทาน ให้มีความสุข สมมติต่างๆ ก็ช่วยกันทำให้ราบรื่นให้เรียบร้อย ให้บริบูรณ์ มาช่วยกันทำ มาช่วยกันเสีย ยังสมมติให้เกิดประโยชน์ ให้เกิดบุญ
ส่วนการปฏิบัติขัดเกลากิเลส เราต้องพยายามดูรู้ใจของเราตลอดเวลาตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ทุกเรื่อง ธรรมะก็คือเรื่องของเรา ไม่ใช่เรื่องของคนอื่น ขัดเกลากิเลสของเรา ดับความเกิดของเรา คลายความหลงของเรา แต่ละวันตื่นเช้าขึ้นมา ใจของเราเกิดความอยาก หรือว่าปรุงแต่งส่งออกไปภายนอกสักกี่เรื่องกี่เที่ยว รู้เท่าทันหรือไม่ หรือไม่รู้จักดับรู้จักละ เราก็ต้องพยายาม เพียงแค่การเจริญสติให้ต่อเนื่อง ก็ต้องพยายามทำ แล้วก็รู้จักเอาไปใช้ ไม่ใช่ว่าธรรมจะอยู่ที่โน่น ธรรมะจะอยู่ที่นี่ กายของเราก้อนธรรม จิตของเราองค์ธรรม
แต่เวลานี้จิตของเรายังเกิด จิตของเรายังหลง นอกจากบุคคลที่เจริญสติเข้าไปแยกแยะ ถึงจะคลายความหลงได้ ส่วนมากก็ไม่ ไม่เข้าไปทำความเข้าใจ มีตั้งแต่เพิ่ม ได้แต่เพิ่มในทางบุญทางกุศล ในหลักธรรมแล้วก็ให้แยกรูปแยกนาม เดินปัญญา ละกิเลส ดับความเกิดของตัววิญญาณ จนไม่เหลืออะไร จนเหลือแต่ความบริสุทธิ์แล้วก็ให้เขารับรู้ นอกนั้นก็เป็นเรื่องของปัญญา สร้างบุญ สร้างประโยชน์ สร้างอานิสงส์ ให้เกิดให้มีมากมาย
ดูดีๆ นะ พระเราชีเรา ความอยากแม้แต่นิดเดียวก็อย่าให้เกิดขึ้นที่ใจ อยากในอาหาร การอยู่ การขบการฉัน รู้จักพิจารณาปฏิสังขาโย ใจของเราเกิดความอยาก เราก็รู้จักหยุดระงับยับยั้ง เจริญสติเข้าไปหยุด ไม่ใช่ว่า อันโน้นก็อยากอันนี้ก็อยาก อันโน้นก็อร่อยอันนี้ก็อร่อยๆ ความอร่อยก็อร่อยอยู่เหมือนเดิมนั่นแหละ แต่ให้ใจรับรู้ ไม่ให้ใจเกิดความอยาก เอาน้อยก็กลัวไม่อิ่ม มาเอาเยอะๆ ต้องฝึกทุกเรื่อง
ความอยาก ละความอยาก ละความหลง ขยันหมั่นเพียร ตามหลักของความเป็นจริง คนที่มีอานิสงส์มีบุญบารมีก็ ฐานบุญก็มาจากพ่อจากแม่นั่นแหละ จากพี่จากน้อง เป็นคนพร่ำสอนเสียก่อน ไม่ใช่ว่ามาวัดแล้วจะมาเข้าใจในธรรม ที่อยู่ที่บ้านพ่อแม่ ไม่พาฝึกละ ฝึกให้ ฝึกเอาออก จะมาฝึกเฉพาะอยู่ที่วัดมันก็เป็นไปไม่ได้ ก็จากฐานจากพ่อจากแม่พาเอาออก พาให้ ฝักใฝ่ในบุญในกุศล น้อมใจ น้อมกายเข้ามา เป็นตบะบารมีมาก่อน ไม่ใช่ว่าไปวัดแล้วจะรู้เลย มันไม่ใช่หรอกเพียงแค่มาศึกษาหาวิธีหาแนวทาง
กิเลสก็อยู่ที่ใจของเรา ไม่จำเป็นต้องไปพูดมากไปฟังมาก เจริญสติเข้าไปสอนใจตัวเราอยู่ตลอดเวลา อันนี้คือสติ อันนี้คือใจหมั่นพร่ำสอนกันตลอดเวลา เรามีความเกียจคร้าน เราก็พยายามละความเกียจคร้าน ใจของเรามีมลทิน มองโลกในแง่ร้าย แต่ละวันตื่นขึ้นมาก็คนโน้นเป็นอย่างนั้นคนนั้นเป็นอย่างนี้ มีแต่แต่วิสัยของคนโง่เท่านั้นนะ ที่ไปอคติเพ่งโทษคนโน้นคนนี้
เราพยายามมองโลกในทางที่ดี คิดดี ทำดี แล้วการกระทำของเราก็ให้ถึงพร้อม ถึงจะเกิดประโยชน์ ทำความเข้าใจ ธรรมชาติของกาย ธรรมชาติของใจ สติปัญญาที่เราสร้างขึ้นมา ยังสมมติของเราให้บริบูรณ์ สมมติ เรามาอาศัยสมมติอาศัยเราโลกธรรมอยู่ เราก็ต้องทำหน้าที่ของเราให้ดี ไม่ใช่ว่าจะไปโทษคนโน้นไม่ดี คนโน้นไม่ดีคนนี้ไม่ดี จิตของเราไม่ดี จึงไปโทษคนโน้นคนนี้ พยายามแก้ไขปรับปรุงตัวเรา ดำเนินให้ถึงจุดหมายปลายทางกัน
หมั่นสร้างอานิสงส์สร้างบารมี ความเกียจคร้านของเรามี เราก็พยายามละความเกียจคร้าน ทิฐิมานะความเห็นผิด เราก็พยายามแก้ไข ความเสียสละของเรามีหรือไม่ เราก็พยายาม ไม่ใช่ว่าจะเอาตั้งแต่ ตั้งแง่ตั้งมุม ตั้งก๊ก ตั้งเหล่าตั้งกอ อย่างนั้นมีแต่คนโง่เท่านั้น ที่เดินทางเข้าไปสู่ความตกต่ำ คนฉลาดเขาจะมีตั้งแต่ทำใจให้สะอาด ให้บริสุทธิ์ ให้หลุดพ้นตามแนวทางของพระพุทธองค์ ถึงจะมีความสุข
มีอะไรก็ช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน เป็นคนอยู่ที่ไหนก็รู้จักแก้ไขตัวเราปรับปรุงตัวเรา ไม่มีใครที่จะสอนเราได้หรอก นอกจากสติปัญญาของเราที่สร้างขึ้นมา แม้แต่พระพุทธองค์ท่านก็เพียงแค่ชี้แนะแนวทางให้ พวกท่านจะเดินหรือไม่เดินก็ขึ้นอยู่กับตัวของพวกท่านเอง แนวทางเป็นอย่างนี้ ไปอย่างนี้ ปฏิบัติอย่างนี้ จะรู้อย่างนี้ เห็นอย่างนี้ มีหมด ไม่ใช่ว่าจะไปขึ้นอยู่กับคนโน้นคนนี้ ไปเที่ยวละกิเลสให้ฉันหน่อย สอนให้ฉันหน่อย ปฏิบัติอย่างนั้นอย่างนี้ ก็เพียงแค่รู้จักวิธี รู้จักอุบาย รู้จักแนวทาง
ถ้าเรารู้จักสอนเราตั้งแต่เกิด ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา จิตใจของเราเป็นอย่างไร ขณะนี้มีความสงบ มีความปกติ จิตใจของเรามีความสะอาด มีความบริสุทธิ์ สอนตัวเราอยู่ตลอดเวลา ความคิดเกิดขึ้นมาได้อย่างไร ทำไมใจถึงเกิด ทำไมใจถึงเป็นทาสของกิเลส เราละกิเลสได้ระดับไหน ต้นเหตุ กลางเหตุ ปลายเหตุ เราตามทำความเข้าใจได้หรือไม่ รีบแก้ไขตัวเรา
ความอยากแม้แต่นิดเดียว อยากมี อยากเป็น อยากไป ไม่อยากมี ไม่อยากเป็น ไม่อยากมา ท่านก็ให้ละให้ดับ แต่คนทั่วไปแล้วความทะยานทะยานอยากเต็ม ความอยาก ความทะเยอทะยานอยาก ความหวัง ความอยากนี่พุ่งแรงเหมือนกับลูกธนู มันจะไปฉุดไปรั้งอยู่ได้อย่างไรก็ลำบาก ถ้าไม่ฝึกหัดปฏิบัติได้เท่าไหร่ก็เอา ตื่นขึ้นมาไม่รู้ใจวิ่งหนีไปเที่ยวสักกี่เรื่อง มีแต่เรื่องของคนอื่น คนโน้นบ้างคนนี้บ้าง แทนที่จะเป็นเรื่องของตัวเรา
ทำอย่างไรกายของเราจะมีความสงบความสุข ใจของเราถึงจะมีความสงบความสุข จิตใจของเรา แต่ละวันตื่นขึ้นมาเราต้องหมั่นพร่ำสอนใจของเรา เราเป็นภาระให้ตัวเรา เป็นภาระให้คนอื่น ภาระให้สรรหาอาชีพ แม้แต่ตัวของเรายังแก้ไขปัญหาภาระของเราไม่ตก ก็ยังจะไปโยนความหนักให้กับคนโน้นนคนนี้ ใช้การไม่ได้
เราต้องเป็นคนขยันหมั่นเพียร พระเราชีเราก็เหมือนกัน พยายามขยันหมั่นเพียร หนักเอาเบาสู้ อย่าไปเห็นแก่ตัว อย่าไปเห็นแก่กิน แก่พูดแก่คุยกัน ท่านบอกว่าหยุดพูดหยุดคุย พิจารณาตัวเราแก้ไขตัวเราอยู่ตลอดเวลา การพูดคุยก็พูดคุยพอให้รู้จักวิธี รู้จักแนวทางแล้วก็ไปดำเนินไปทำตาม ให้เกิดประโยชน์ ไม่ใช่แต่ละวันก็พูดคุยกันแต่เรื่องไร้สาระไร้ประโยชน์ เราต้องดูเรา เอาความขยันหมั่นเพียร เอาการกระทำเป็นที่ตั้ง
อยู่ด้วยกันหลายคนก็ความสมัครสมานสามัคคี มีความเสียสละอนุเคราะห์ช่วยเหลือกัน อยู่ที่ไหนก็มีความสุข อยู่คนเดียวก็มีความสุข อยู่หลายคนก็มีความสุข ต่างคนต่างพ่อต่างแม่ ต่างสถานที่ มาอยู่ร่วมกัน บางคนบางนั่นก็มาทะเลาะเบาะแว้งกันเราก็ไป เราอยู่มาเป็น 20 30ปี ก็เห็นเยอะ ไม่ว่าเรามาจากไหน แล้วก็กูดีมึงดี ทะเลาะเบาะแว้งกัน แล้วก็ถกเถียงกันแล้วก็ไป กูดีมึงดี ขอให้ได้กูกินอิ่ม นอนหลับสบายแล้วก็เถียงกันนะ มีแต่คนโง่เท่านั้นนะ แสดงกิริยาท่าทางไม่ดี แทนที่จะขัดเกลากิเลส แนวทางก็มี สถานที่ก็อำนวยให้
สมัยก่อนนั้นก็สถานที่ก็ลำบาก น้ำจะอาบจะใช้จะดื่ม ที่พักที่อาศัยก็ลำบาก อยู่ที่ไหนก็มีตั้งแต่กองกระดูก หลุมศพเต็มไปหมด แม้แต่ถ้วยชามกับข้าวกับปลา หาจะทานขบฉันก็แทบไม่มี ถ้วยชามจะใส่กับข้าวกับปลา ถาดนี่ก็ยังไปขุดตามหลุมศพมาไว้ใช้เลย ลำบากก็ลำบาก ทุกวันนี้อะไรก็บริบูรณ์ การปฏิบัติการขัดเกลากิเลสก็เต็มที่ ความเสียสละ อนุเคราะห์ให้ ตรงไหนไม่ดีก็ทำให้ ที่พักที่อาศัย ที่หลับที่นอน ที่ถ่ายที่เยี่ยว ก็อนุเคราะห์ทำให้ความสะดวกสบาย มาฝึกหัดปฏิบัติ แล้วก็ยังมาทะเลาะเบาะแว้งกัน มาอคติกัน มาเพ่งโทษกัน แทนที่จะขัดเกลากิเลสออกจากจิตจากใจ เห็นแล้วก็น่าละอายนะ ถ้ามี ถ้าไม่มีก็แล้วไป
พูดตามหลักของความเป็นจริง อะไรที่จะเป็นประโยชน์เราก็ช่วยกัน อย่าไปตระหนี่เหนียวแน่น เป็นคนขยันหมั่นเพียร มีความเสียสละ รู้จักให้อภัยซึ่งกันและกัน ไปที่ไหนล่ะก็กูดีมึงดี ทะเลาะเบาะแว้งกัน ตั้งก๊ก ตั้งเหล่า มีแต่คนโง่เท่านั้น หากเป็นคนฉลาดขัดเกลากิเลสตัวเราให้ถึงจุดหมายปลายทางให้เร็วให้ไว มันถึงจะเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์แบบ
ถ้าพวกท่านมาเห็นเมื่อ 30 ปีก่อน มีตั้งแต่ป่าเพ็กป่าหนามทั้งนั้นแหละ เดินเข้ามาในขาถลอกปอกเปิกหมด กว่าจะปลูกต้นไม้ได้ก็เอารากเพ็กออก ขุดกันไม่รู้กี่ปีต่อกี่ปี ต้นหนามต้นอะไรออก ทั้งกระดูกเต็มเกลื่อนไปหมด กว่าจะทำความสะอาด ความเป็นระเบียบเรียบร้อยได้ ทนทุกข์ทรมานในการทำ ความพร้อมก็ยังไม่มี ทุกวันนี้มีอะไรก็พร้อมมูลไปหมด ยังพากันเกียจคร้าน ยังพากันมาทะเลาะเบาะแว้ง ก็ช่วยเหลือไม่ได้ ธรรมะมีไว้ให้แก้ไขตัวเรา ปรับปรุงตัวเรา อันนี้พูดให้ฟัง พูดเฉยๆ หรอก ไม่มี ที่นี่ไม่มี ได้ยินข่าวตั้งแต่ที่อื่นมี อยู่ด้วยกันสองคนก็ไม่ถูกกัน ตีกันนะ อยู่ที่นี่หลายคนก็คงไม่เป็น แค่สองคนนะหรือว่ายังมีอยู่ คงไม่มีหรอกนะ ถ้ามีก็จะให้ท่านเจ้าคุณลงโทษให้นั่งสมาธิทั้งคืน ให้นั่งสมาธิไม่ให้ลุกไปไหนนะ
ตามหลักของความเป็นจริงนั้นก็ปฏิบัติทุกลมหายใจเข้าออก ทุกอิริยาบถ ให้มีสติรู้กายรู้ใจทุกอริยาบถ ใจเกิดอย่างไร ความคิดผุดขึ้นมาได้อย่างไร ให้ใจปราศจากการเกิด ให้ใจอยู่ในองค์สมาธิอยู่ในองค์ฌานที่ปราศจากกิเลส อยู่กลางโรงหนังกลางตลาด ก็ต้องให้ใจของเราปราศจากความยึดมั่นถือมั่น อยู่เป็นสมาธิ แม้แต่กายจะแตกจะดับ เราต้องเอาถึงขั้นโน้น ไม่ใช่ว่าจะมาเอาแค่เพียงรูปแบบแค่เป็นพิธีรีตรอง อย่างนั้นใช้การไม่ได้ มันหลอกตัวเอง
เราต้องพยายามเอาให้ถึงจุดหมาย ต้องดับความเกิด มองเห็นหนทางเดิน ว่าเราจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิดกัน เพียงแค่กิเลสเล็กๆ น้อยๆ เราก็พยายามขัดเกลาออก สักวันหนึ่งก็คงจะถึงจุดหมาย ไม่ใช่ว่าจะเอามาตั้งแต่ คนโน้นเป็นอย่างนั้นคนนั้นเป็นยังนี้ ทะเลาะเบาะแว้งกัน อย่างนั้นยกให้ กิเลสฝ่ายมารมาเล่นงานเอา รีบแก้ไขเสีย
ตั้งใจรับพร
ขอให้ทุกคนจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้ สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน เพียงแค่การสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่องก็ยังขาดความเพียรกันมากเลยทีเดียว จะไปควบคุมจิต ไปคลายจิต ไปแยกรูปแยกนาม เดินปัญญาขั้นสูงได้อย่างไร
เพียงแค่การเจริญสติก็เกียจคร้าน ไม่พยายามทำให้ต่อเนื่อง ความขยันอย่างอื่นนั้นขยันอยู่ แต่ขยันเจริญสติเอาไปวิเคราะห์ทำให้ต่อเนื่อง ตรงนี้ต้องมีความเพียรทั้งกลางวันทั้งกลางคืนจนเป็นเอง จนเป็นอัตโนมัติ จนเอาไปใช้ เอาไปหมั่นพร่ำสอนใจของเราได้ คลายใจออกจากความคิด ออกจากกองสังขาร ออกจากขันธ์ห้า ออกจากอัตตาตัวตนได้ แยกแยะได้ว่าอะไรเป็นอะไร มองเห็นความเป็นจริงได้นั่นแหละ กำลังสติของเราแหลมคมเร็วไวเท่าไร เราก็เอาไปประหัตประหารกิเลส อันนั้นจะตามมาเอง เพียงแค่เจริญสติเข้าไปยังสมมติของเราให้บริบูรณ์มันก็ยาก ถ้าเราไม่มีความเพียรต้องพยายาม
คนเราสร้างบุญมาเหมือนกัน แต่สร้างบุญต่างกัน ถ้าไม่ได้สร้างบุญมาดี ไม่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ทีนี้ก็มาสร้างอานิสงส์สมมติ ทั้งสมมติก็บริบูรณ์ ทั้งด้านจิตด้านใจก็ทำให้สะอาดบริสุทธิ์ปราศจากกิเลส ก็ต้องพยายามไม่ว่าพระว่าโยม กิเลสของเรา เราก็ละเอา เราจะไปเที่ยวให้คนอื่นเขาละให้ก็ไม่ได้ ความเกียจคร้านของเรามี เราก็ละความเกียจคร้านของเรา สร้างความขยันหมั่นเพียร ไม่ใช่อย่าไปวิ่งให้คนอื่นเขาทำให้ เราก็ต้องทำเอา แนวทางนั้น เราไม่เข้าใจ เราก็เสาะแสวงหา เรารู้จักวิธีรู้จักแนวทาง เราก็รีบทำ ไม่ต้องไปกลัวว่าจะเสียเปรียบกิเลสคนโน้น เสียเปรียบกิเลสคนนี้ เราชนะตัวเราแล้วเราชนะหมด เรื่องของเราทั้งนั้น นอกนั้นก็เป็นพันธะภาระวิบากกรรมที่เกี่ยวเนื่องกัน ช่วยเหลือซึ่งกันและกันด้วยพรหมวิหารด้วยความเมตตา
อีกสักหน่อยก็ตายจากกัน ไม่ตายช้าก็ตายเร็ว เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างก็เกิดมาก็เพื่อจะพลัดพรากจากกัน ไม่ได้พลัดพรากจากกันตอนเป็น ก็ต้องได้พลัดพรากจากกันตอนตาย อันนี้เป็นกฎของไตรลักษณ์ ไตรลักษณ์ระดับของสมมติ สัจจะของสมมติ แต่วิมุตติ ตัวใจกับอาการของใจ กองสังขารในขันธ์ห้าของเรา ตรงนั้นเราต้องแจงให้ละเอียดว่ากายของเรามีอะไรบ้าง ทำหน้าที่อย่างไรบ้าง วิญญาณเข้ามาครอบครอง ทำไมวิญญาณของเราถึงเป็นทาสของกิเลสอีก ทะเยอทะยานอยากอีก มาขัดเกลาให้มันถึงจุดหมาย ให้มันถึงจุดหมายให้เร็วให้ไว หมดความสงสัย หมดความลังเล อยู่อย่างมีความสุข อยู่อย่างสนุกในการทำบุญ ในการสร้างอานิสงส์บารมีให้กับสมมติฝากเอาไว้ ในแผ่นดิน
หลวงพ่อก็จะพาทำ ทุกอย่างเท่าที่จะเกิดบุญ เท่าที่จะเกิดอานิสงส์ ให้พาทุกคนพากันทำ พากันสร้าง หลวงพ่อก็ขอขอบใจทุกคนที่ได้มาอนุเคราะห์มาช่วยเหลือจนเป็นแหล่งบุญใหญ่ จากไม่มีอะไรนี่แหละ เหล่ามนุษย์เหล่าเทวดาก็ย่อมจะหลั่งไหลมาเป็นธรรมดา ปีหน้าหลวงพ่อก็จะพาฉลองสมโภชใหญ่ ให้ทุกคนได้มีความสุขกัน
สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกให้ชัดเจนกันให้ต่อเนื่องกันนะ
ไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปสร้างสานต่อเด้อ