หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 43
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 43
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 43
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 2 เมษายน 2556
ขอให้ญาติโยมเราทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน แล้วก็ให้ต่อเนื่อง สร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่อง เพียงแค่เรื่องการหายใจเข้าออก พวกเราก็ขาดการสนใจกันมากเลยทีเดียว อยากจะได้แต่บุญ อยากทำบุญ ตรงนี้เป็นความอยาก ที่เกิดจากตัววิญญาณ ตัวใจ ก็ได้บุญอยู่ แต่ความจริงนั้นใจยังเกิด ใจยังหลง ใจยังหาเรื่องปกปิดตัวเองเอาไว้มากมายทีเดียว ท่านถึงให้ได้มาเจริญสติเข้าไปวิเคราะห์ใจ ไปหมั่นวิเคราะห์ หมั่นสังเกต หมั่นสำรวจ หมั่นทำความเข้าใจ
แต่ละวันๆ พฤติกรรมของใจของเรามันเกิดอย่างไร ความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งใจ รวมกันเป็นสิ่งเดียวกัน แล้วไปด้วยกันได้อย่างไร ถ้าเราได้มาเจริญสติให้ต่อเนื่อง เราก็อาจจะมีโอกาส หรืออาจจะเห็น เห็นการเกิดการดับของใจ รู้ลักษณะของใจ ใจที่ไม่เกิด ใจที่ปราศจากกิเลส ใจที่ไม่มีความยึดมั่นถือมั่นหรือว่าแยกรูปแยกนาม อันนี้สำหรับบุคคลที่มีความเพียรจริงๆ ถึงจะเข้าถึงตรงนั้นได้ แต่ก็ต้องอาศัยตบะบารมี อาศัยการสร้างอานิสงส์ ตบะบารมี ความเสียสละของเราเต็มเปี่ยมหรือไม่ ความฝักใฝ่การสนใจ ไม่ว่าภาระหน้าที่สมมติ ไม่ว่าการเกิดการดับของใจ เราละกิเลสได้ในระดับไหนอีก กิเลสหยาบกิเลสละเอียดอีก เรารู้เท่าทันการเกิดของวิญญาณซึ่งเป็นนามธรรมอยู่ในกายเนื้อของเราอีก หลายสิ่งหลายอย่างมาปกปิดเอาไว้
อย่าไปทิ้งในการทำบุญ ในการให้ทาน ในการหมั่นพิจารณาใจของเรา น้อมเข้าไปดูรู้อยู่บ่อยๆ มีไม่มาก มีมากสำหรับบุคคลที่ไม่สนใจ จะมีน้อยสำหรับบุคคลที่สนใจ ยิ่งฝึกไปเท่าไร ยิ่งรู้ยิ่งเห็น ยิ่งคลาย ยิ่งเอาออก เอาออกเท่าไหร่ก็เหลือสั้นลงๆ ๆ จนเหลือตั้งแต่ตัวใจ จนใจของเราไม่เกิดนั่นแหละ ดับความเกิดของใจ วางใจให้เป็นอิสรภาพอีก ช่วงใหม่ๆ สติปัญญาไม่มี เราก็ต้องสร้างขึ้นมา แล้วก็รู้จักสร้างให้ต่อเนื่อง รู้จักเอาไปใช้ ถ้าสติปัญญาของเราละกิเลส ดับความเกิด คลายความหลงได้เรียบร้อย สติปัญญาสมาธิเขาจะรักษาเราเอง เราไม่จำเป็นต้องไปรักษาเขายาก เขาจะเป็นเอง ใจที่ไม่เกิด ใจที่ไม่มีกิเลสเขาก็สงบ เขาก็เป็นสมาธิ ใจที่ไม่มีกิเลส เขาก็สะอาด เราก็ต้องพยายาม
พูดง่ายๆ แต่การลงมือการทำ การศึกษาต้องอาศัยความเพียร อาศัยกาลเวลา อาศัยความเข้าใจที่ถูกต้อง อาศัยความเสียสละอย่างยิ่งยวด อาศัยกาลเวลา ก็ต้องพยายาม จะลำบากถึงขนาดไหนก็ต้องพยายาม เพราะมีโอกาสได้เกิดมาเป็นมนุษย์ นับว่าเป็นบุคคลที่มีบุญแล้ว มีอาการครบ 32 อย่าง แล้วก็มีสติมีปัญญา ผ่านกาลผ่านเวลา ได้รับการศึกษาได้รับการเล่าเรียน มีความรับผิดชอบผิดถูกชั่วดี มีอานิสงส์กันทุกคน
ทีนี้การเจริญปัญญาต้องรู้แจ้งเห็นจริง ต้องอาศัยปัญญาของพระพุทธองค์ ที่ท่านได้ค้นพบ ท่านค้นพบเรื่องการเกิดการดับ หลักของอริยสัจ ใจส่งออกไปภายนอก ท่านค้นพบเรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา การเกิดการดับของจิตของวิญญาณ แล้วก็มาเปิดเผย ชี้แนะวิธีอุบายในการชำระสะสางกิเลส ในการทำความเข้าใจ ในการเดินให้ถึงจุดเดิม คือสถานะเดิมของวิญญาณ คือความสะอาด ความบริสุทธิ์ ไม่ต้องเกิดกัน
ท่านว่าการเกิดเป็นทุกข์ ก็ความไม่เที่ยง ความเปลี่ยนแปลง เพียงแค่การเกิดของวิญญาณนั้นนะ เป็นทุกข์แล้ว วิญญาณเกิดยังไม่พอ เขายังมาสร้างอัตตาตัวตน สร้างขันธ์ห้ามาห่อหุ้มเขาอีก สร้างขันธ์ห้ามาห่อหุ้มดวงวิญญาณอีกยังไม่พอ ยังเป็นทาสของกิเลสหยาบกิเลสละเอียดมาห่อหุ้มตัวของเขาอีก แล้วก็กายเนื้อมาห่อหุ้มตัวของเขาอีก มีตั้งแต่ปัญญาของพระพุทธเจ้าเท่านั้นแหละที่ชอนไช สังเกตวิเคราะห์ จำแนกแจกแจง เอามาตีแผ่ให้ทุกคนได้รู้ได้เห็น
ท่านบอกว่าให้เดินตามทางนี้นะ ทำอย่างนี้นะ ให้รู้ให้เห็น ให้ปรากฏขึ้นที่ใจ ท่านถึงบอกให้เชื่อ นี่แหละถึงเรียกว่าเป็นวิทยาศาสตร์ เก่งกว่าวิทยาศาสตร์เสียอีก ทันสมัยกว่าวิทยาศาสตร์เสียอีก อย่าว่าไปล้าหลัง พุทธศาสนาเป็นศาสนาที่ทันสมัยที่สุด พอรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน ปัจจุบันไม่ใช่ว่าวันนี้ ชั่วโมงนี้ นาทีนี้ ปัจจุบันทุกขณะจิต ทุกขณะลมหายใจเข้าออก ปัจจุบันในทางพุทธศาสนา รู้ตัวทุกขณะทุกเวลา จนเป็นเองในการรับรู้ จนเป็นเองในการเอาสติปัญญาไปทำหน้าที่แทนใจ
เวลานี้ใจของเราทั้งเกิดด้วย หลงด้วย สารพัดอย่าง ทั้งที่รู้ๆ นอกจากบุคคลที่มาเจริญสติให้ต่อเนื่อง ถึงจะรู้ว่าเราวันนี้แต่ก่อนนี่ไม่มีสติ ไม่มีปัญญาเอาเสียเลย เป็นสติปัญญาของโลกียะ สติปัญญาของกิเลสทั้งนั้น กิเลสหยาบกิเลสละเอียด มีกันเต็มอัตราศึก ยิ่งฝึกไปเท่าไร ยิ่งเห็นเยอะ ยิ่งเห็นเยอะเท่าไร ก็ยิ่งทำความเข้าใจ ทำความเพียร เพียงแค่ความเพียรในการเจริญสตินี่มันก็ยากอยู่แล้ว ความเพียร ในการสังเกต ตั้งแต่ต้นเหตุของวิญญาณในกายเนื้อของเรามันก็ยากอยู่แล้ว ถ้าเป็นไม่ใช่บุคคล ที่มีความเพียรขยันให้ต่อเนื่อง เพียงแค่ความเปลี่ยนระดับของสมมติ รู้จักช่วยเหลือตัวเองในระดับของสมมติ มันก็ยากอยู่แล้ว ถ้าไม่เอาจริงๆ
จะง่ายสำหรับบุคคลที่ขยัน ขยันทุกอย่าง รู้จักฝักใฝ่ รู้จักสนใจ รู้จักแสวงหาด้วยสติด้วยปัญญา ถ้าคนเกียจคร้านแล้วหมดสิทธิ์ มีตั้งแต่จะสะสมกิเลสเข้าทับถมดวงใจ ของตัวเองเท่านั้น ถ้าคนเกียจคร้าน หนักตัวเอง หนักคนอื่น หนักสถานที่ ยากที่จะเข้าใจในธรรม บุคคลที่ขยันหมั่นเพียร หมั่นคลายกิเลส หมั่นละกิเลสออก ไม่ต้องไปกลัวว่าจะไม่มี ไม่เป็น ในหลักธรรม ความอยาก แม้แต่นิดๆ หน่อยๆ ท่านก็ไม่ให้เกิดขึ้นที่ใจ อยากไปอยากมา อยากมีอยากเป็น ไม่อยากไป ไม่อยากมา ไม่อยากมีไม่อยากเป็น ขอให้เรารู้ฐานของตัวใจให้ได้เสียก่อน คลายใจออกจากขันธ์ห้า ให้ได้เสียก่อน แล้วก็ดำเนินสติปัญญา ไปทำหน้าที่แทนให้ได้เสียก่อน เราจะมองเห็นหนทางเดิน เข้าใจในหลักการของพระพุทธองค์ทันที ถ้าท่านสอนเรื่องอะไร แล้วจะไปยังไงมายังไง หมดความสงสัย หมดความลังเล มีตั้งแต่จะกำจัดกิเลส ออกจากจิตจากใจของตัวเราเองทั้งนั้น
คนเราทั่วไปนี้ใจมันเป็นทาสของกิเลสมานาน กิเลสหยาบกิเลสละเอียด มีมลทินต่างๆ ไปที่โน่นก็คนโน้นไม่ดีคนนี้ไม่ดี ถ้าใจเรามันไม่ดี เราถึงไปมองภายนอกไม่ดี ถ้าใจของเราดี แล้วข้างนอกไม่ดียังไง ใจของเราก็ดี อยู่เหมือนเดิม ธรรมะก็อยู่ที่ใจ มองโลกในทางที่ดี แล้วก็คิดดี การกระทำของเราก็ต้องถึงพร้อม ถึงจะเกิดประโยชน์ ไม่ใช่เอาไปงอมืองอเท้า เอาแต่ความเกียจคร้าน เอาตั้งแต่ความสะดวกสบาย เราต้องผ่านทุกข์ ผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านการอบรม ผ่านการขัดเกลา ผ่านการละกิเลสออกให้มันหมด หมดความสงสัย ได้นั่นแหละ เดินให้มันถึงจุดหมายปลายทางได้นั่นแหละ
อยู่กับสมมติก็ไม่ให้สมมติเข้าครอบงำ อยู่กับกิเลสเราก็ไม่ให้กิเลสเล่นงานเรา เราอยู่เหนือกิเลส ใช้กิเลสให้เกิดประโยชน์ อยู่กับสมมติใช้สมมติให้เกิดประโยชน์ เพราะว่าทุกคนจะทิ้งสมมติไม่ได้ นอกจากหมดลมหายใจถึงจะได้ทิ้งสมมติก้อนนี้ คือร่างกายของเราเป็นก้อนสมมติ เราแจงแยกแยะภายในขันธ์ห้าของเราให้ละเอียดอยู่กับสมมติ เคารพสมมติ ถึงเวลาเขาก็จะเป็นของเขาเอง เขาก็จะต้องได้พลัดพรากจากกันเอง ตัวจิตกับตัวรูป ถ้าไม่ถึงเวลา เราก็ยังอาศัยกันอยู่ ทุกคนเกิดมาก็เดินไปหาจุดจบอันเดียวกัน คือ ความตายของทางด้านรูปธรรม ทางด้านจิตวิญญาณนั้น ตราบใดที่ยังเกิดอยู่ก็ต้องเกิด ก็ขอให้เกิดอยู่ในกองบุญ กองกุศลเอาไว้ ถึงจะได้ไม่ตกอับ
มีโอกาสก็พยายามหมั่นสร้างบุญ สร้างบารมี สร้างตบะ เรานั่นแหละได้ ไม่มีใครได้หรอก เราสร้างบุญ เราก็ได้บุญ เราคิดดีเราก็ได้ดี เราละกิเลส เราก็ได้ความสะอาด ความบริสุทธิ์ของใจ สอนกันไม่ได้หรอก นอกจากตัวของเราจะสอนเราได้ นอกจากนั้นก็เพียงแค่ชี้แนะแนวทางเป็นสะพานให้เท่านั้นเอง ก็ต้องพยายามกัน
วันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อนะ
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 2 เมษายน 2556
ขอให้ญาติโยมเราทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน แล้วก็ให้ต่อเนื่อง สร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่อง เพียงแค่เรื่องการหายใจเข้าออก พวกเราก็ขาดการสนใจกันมากเลยทีเดียว อยากจะได้แต่บุญ อยากทำบุญ ตรงนี้เป็นความอยาก ที่เกิดจากตัววิญญาณ ตัวใจ ก็ได้บุญอยู่ แต่ความจริงนั้นใจยังเกิด ใจยังหลง ใจยังหาเรื่องปกปิดตัวเองเอาไว้มากมายทีเดียว ท่านถึงให้ได้มาเจริญสติเข้าไปวิเคราะห์ใจ ไปหมั่นวิเคราะห์ หมั่นสังเกต หมั่นสำรวจ หมั่นทำความเข้าใจ
แต่ละวันๆ พฤติกรรมของใจของเรามันเกิดอย่างไร ความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งใจ รวมกันเป็นสิ่งเดียวกัน แล้วไปด้วยกันได้อย่างไร ถ้าเราได้มาเจริญสติให้ต่อเนื่อง เราก็อาจจะมีโอกาส หรืออาจจะเห็น เห็นการเกิดการดับของใจ รู้ลักษณะของใจ ใจที่ไม่เกิด ใจที่ปราศจากกิเลส ใจที่ไม่มีความยึดมั่นถือมั่นหรือว่าแยกรูปแยกนาม อันนี้สำหรับบุคคลที่มีความเพียรจริงๆ ถึงจะเข้าถึงตรงนั้นได้ แต่ก็ต้องอาศัยตบะบารมี อาศัยการสร้างอานิสงส์ ตบะบารมี ความเสียสละของเราเต็มเปี่ยมหรือไม่ ความฝักใฝ่การสนใจ ไม่ว่าภาระหน้าที่สมมติ ไม่ว่าการเกิดการดับของใจ เราละกิเลสได้ในระดับไหนอีก กิเลสหยาบกิเลสละเอียดอีก เรารู้เท่าทันการเกิดของวิญญาณซึ่งเป็นนามธรรมอยู่ในกายเนื้อของเราอีก หลายสิ่งหลายอย่างมาปกปิดเอาไว้
อย่าไปทิ้งในการทำบุญ ในการให้ทาน ในการหมั่นพิจารณาใจของเรา น้อมเข้าไปดูรู้อยู่บ่อยๆ มีไม่มาก มีมากสำหรับบุคคลที่ไม่สนใจ จะมีน้อยสำหรับบุคคลที่สนใจ ยิ่งฝึกไปเท่าไร ยิ่งรู้ยิ่งเห็น ยิ่งคลาย ยิ่งเอาออก เอาออกเท่าไหร่ก็เหลือสั้นลงๆ ๆ จนเหลือตั้งแต่ตัวใจ จนใจของเราไม่เกิดนั่นแหละ ดับความเกิดของใจ วางใจให้เป็นอิสรภาพอีก ช่วงใหม่ๆ สติปัญญาไม่มี เราก็ต้องสร้างขึ้นมา แล้วก็รู้จักสร้างให้ต่อเนื่อง รู้จักเอาไปใช้ ถ้าสติปัญญาของเราละกิเลส ดับความเกิด คลายความหลงได้เรียบร้อย สติปัญญาสมาธิเขาจะรักษาเราเอง เราไม่จำเป็นต้องไปรักษาเขายาก เขาจะเป็นเอง ใจที่ไม่เกิด ใจที่ไม่มีกิเลสเขาก็สงบ เขาก็เป็นสมาธิ ใจที่ไม่มีกิเลส เขาก็สะอาด เราก็ต้องพยายาม
พูดง่ายๆ แต่การลงมือการทำ การศึกษาต้องอาศัยความเพียร อาศัยกาลเวลา อาศัยความเข้าใจที่ถูกต้อง อาศัยความเสียสละอย่างยิ่งยวด อาศัยกาลเวลา ก็ต้องพยายาม จะลำบากถึงขนาดไหนก็ต้องพยายาม เพราะมีโอกาสได้เกิดมาเป็นมนุษย์ นับว่าเป็นบุคคลที่มีบุญแล้ว มีอาการครบ 32 อย่าง แล้วก็มีสติมีปัญญา ผ่านกาลผ่านเวลา ได้รับการศึกษาได้รับการเล่าเรียน มีความรับผิดชอบผิดถูกชั่วดี มีอานิสงส์กันทุกคน
ทีนี้การเจริญปัญญาต้องรู้แจ้งเห็นจริง ต้องอาศัยปัญญาของพระพุทธองค์ ที่ท่านได้ค้นพบ ท่านค้นพบเรื่องการเกิดการดับ หลักของอริยสัจ ใจส่งออกไปภายนอก ท่านค้นพบเรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา การเกิดการดับของจิตของวิญญาณ แล้วก็มาเปิดเผย ชี้แนะวิธีอุบายในการชำระสะสางกิเลส ในการทำความเข้าใจ ในการเดินให้ถึงจุดเดิม คือสถานะเดิมของวิญญาณ คือความสะอาด ความบริสุทธิ์ ไม่ต้องเกิดกัน
ท่านว่าการเกิดเป็นทุกข์ ก็ความไม่เที่ยง ความเปลี่ยนแปลง เพียงแค่การเกิดของวิญญาณนั้นนะ เป็นทุกข์แล้ว วิญญาณเกิดยังไม่พอ เขายังมาสร้างอัตตาตัวตน สร้างขันธ์ห้ามาห่อหุ้มเขาอีก สร้างขันธ์ห้ามาห่อหุ้มดวงวิญญาณอีกยังไม่พอ ยังเป็นทาสของกิเลสหยาบกิเลสละเอียดมาห่อหุ้มตัวของเขาอีก แล้วก็กายเนื้อมาห่อหุ้มตัวของเขาอีก มีตั้งแต่ปัญญาของพระพุทธเจ้าเท่านั้นแหละที่ชอนไช สังเกตวิเคราะห์ จำแนกแจกแจง เอามาตีแผ่ให้ทุกคนได้รู้ได้เห็น
ท่านบอกว่าให้เดินตามทางนี้นะ ทำอย่างนี้นะ ให้รู้ให้เห็น ให้ปรากฏขึ้นที่ใจ ท่านถึงบอกให้เชื่อ นี่แหละถึงเรียกว่าเป็นวิทยาศาสตร์ เก่งกว่าวิทยาศาสตร์เสียอีก ทันสมัยกว่าวิทยาศาสตร์เสียอีก อย่าว่าไปล้าหลัง พุทธศาสนาเป็นศาสนาที่ทันสมัยที่สุด พอรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน ปัจจุบันไม่ใช่ว่าวันนี้ ชั่วโมงนี้ นาทีนี้ ปัจจุบันทุกขณะจิต ทุกขณะลมหายใจเข้าออก ปัจจุบันในทางพุทธศาสนา รู้ตัวทุกขณะทุกเวลา จนเป็นเองในการรับรู้ จนเป็นเองในการเอาสติปัญญาไปทำหน้าที่แทนใจ
เวลานี้ใจของเราทั้งเกิดด้วย หลงด้วย สารพัดอย่าง ทั้งที่รู้ๆ นอกจากบุคคลที่มาเจริญสติให้ต่อเนื่อง ถึงจะรู้ว่าเราวันนี้แต่ก่อนนี่ไม่มีสติ ไม่มีปัญญาเอาเสียเลย เป็นสติปัญญาของโลกียะ สติปัญญาของกิเลสทั้งนั้น กิเลสหยาบกิเลสละเอียด มีกันเต็มอัตราศึก ยิ่งฝึกไปเท่าไร ยิ่งเห็นเยอะ ยิ่งเห็นเยอะเท่าไร ก็ยิ่งทำความเข้าใจ ทำความเพียร เพียงแค่ความเพียรในการเจริญสตินี่มันก็ยากอยู่แล้ว ความเพียร ในการสังเกต ตั้งแต่ต้นเหตุของวิญญาณในกายเนื้อของเรามันก็ยากอยู่แล้ว ถ้าเป็นไม่ใช่บุคคล ที่มีความเพียรขยันให้ต่อเนื่อง เพียงแค่ความเปลี่ยนระดับของสมมติ รู้จักช่วยเหลือตัวเองในระดับของสมมติ มันก็ยากอยู่แล้ว ถ้าไม่เอาจริงๆ
จะง่ายสำหรับบุคคลที่ขยัน ขยันทุกอย่าง รู้จักฝักใฝ่ รู้จักสนใจ รู้จักแสวงหาด้วยสติด้วยปัญญา ถ้าคนเกียจคร้านแล้วหมดสิทธิ์ มีตั้งแต่จะสะสมกิเลสเข้าทับถมดวงใจ ของตัวเองเท่านั้น ถ้าคนเกียจคร้าน หนักตัวเอง หนักคนอื่น หนักสถานที่ ยากที่จะเข้าใจในธรรม บุคคลที่ขยันหมั่นเพียร หมั่นคลายกิเลส หมั่นละกิเลสออก ไม่ต้องไปกลัวว่าจะไม่มี ไม่เป็น ในหลักธรรม ความอยาก แม้แต่นิดๆ หน่อยๆ ท่านก็ไม่ให้เกิดขึ้นที่ใจ อยากไปอยากมา อยากมีอยากเป็น ไม่อยากไป ไม่อยากมา ไม่อยากมีไม่อยากเป็น ขอให้เรารู้ฐานของตัวใจให้ได้เสียก่อน คลายใจออกจากขันธ์ห้า ให้ได้เสียก่อน แล้วก็ดำเนินสติปัญญา ไปทำหน้าที่แทนให้ได้เสียก่อน เราจะมองเห็นหนทางเดิน เข้าใจในหลักการของพระพุทธองค์ทันที ถ้าท่านสอนเรื่องอะไร แล้วจะไปยังไงมายังไง หมดความสงสัย หมดความลังเล มีตั้งแต่จะกำจัดกิเลส ออกจากจิตจากใจของตัวเราเองทั้งนั้น
คนเราทั่วไปนี้ใจมันเป็นทาสของกิเลสมานาน กิเลสหยาบกิเลสละเอียด มีมลทินต่างๆ ไปที่โน่นก็คนโน้นไม่ดีคนนี้ไม่ดี ถ้าใจเรามันไม่ดี เราถึงไปมองภายนอกไม่ดี ถ้าใจของเราดี แล้วข้างนอกไม่ดียังไง ใจของเราก็ดี อยู่เหมือนเดิม ธรรมะก็อยู่ที่ใจ มองโลกในทางที่ดี แล้วก็คิดดี การกระทำของเราก็ต้องถึงพร้อม ถึงจะเกิดประโยชน์ ไม่ใช่เอาไปงอมืองอเท้า เอาแต่ความเกียจคร้าน เอาตั้งแต่ความสะดวกสบาย เราต้องผ่านทุกข์ ผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านการอบรม ผ่านการขัดเกลา ผ่านการละกิเลสออกให้มันหมด หมดความสงสัย ได้นั่นแหละ เดินให้มันถึงจุดหมายปลายทางได้นั่นแหละ
อยู่กับสมมติก็ไม่ให้สมมติเข้าครอบงำ อยู่กับกิเลสเราก็ไม่ให้กิเลสเล่นงานเรา เราอยู่เหนือกิเลส ใช้กิเลสให้เกิดประโยชน์ อยู่กับสมมติใช้สมมติให้เกิดประโยชน์ เพราะว่าทุกคนจะทิ้งสมมติไม่ได้ นอกจากหมดลมหายใจถึงจะได้ทิ้งสมมติก้อนนี้ คือร่างกายของเราเป็นก้อนสมมติ เราแจงแยกแยะภายในขันธ์ห้าของเราให้ละเอียดอยู่กับสมมติ เคารพสมมติ ถึงเวลาเขาก็จะเป็นของเขาเอง เขาก็จะต้องได้พลัดพรากจากกันเอง ตัวจิตกับตัวรูป ถ้าไม่ถึงเวลา เราก็ยังอาศัยกันอยู่ ทุกคนเกิดมาก็เดินไปหาจุดจบอันเดียวกัน คือ ความตายของทางด้านรูปธรรม ทางด้านจิตวิญญาณนั้น ตราบใดที่ยังเกิดอยู่ก็ต้องเกิด ก็ขอให้เกิดอยู่ในกองบุญ กองกุศลเอาไว้ ถึงจะได้ไม่ตกอับ
มีโอกาสก็พยายามหมั่นสร้างบุญ สร้างบารมี สร้างตบะ เรานั่นแหละได้ ไม่มีใครได้หรอก เราสร้างบุญ เราก็ได้บุญ เราคิดดีเราก็ได้ดี เราละกิเลส เราก็ได้ความสะอาด ความบริสุทธิ์ของใจ สอนกันไม่ได้หรอก นอกจากตัวของเราจะสอนเราได้ นอกจากนั้นก็เพียงแค่ชี้แนะแนวทางเป็นสะพานให้เท่านั้นเอง ก็ต้องพยายามกัน
วันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อนะ