หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 31
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 31
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 31
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 18 มีนาคม 2556
ขอให้ญาติโยมทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน อันนี้เป็นการสร้างความรู้ตัว เป็นการทำความเข้าใจในขั้นเบื้องต้น ในการเจริญสติรู้กาย รู้การหายใจเข้าออกของเราให้เกิดความเคยชิน ให้เกิดความชํานาญ เพียงแค่เรื่องการหายใจเข้าออก พวกเราก็ขาดการสนใจรู้เท่าทันทั้งที่หายใจมาตั้งแต่เกิด ถ้าเรามีความรู้สึกรับรู้ชัดเจนแล้วก็รู้ให้ต่อเนื่อง ความรู้ตัวทั่วพร้อมลึกลงไป เราก็จะรู้ใจ รู้ความปกติของใจ รู้ความสงบ รู้ความสงบ เวลาใจเกิดใจก่อตัว รู้อาการของใจเริ่มเกิด รู้อาการของความคิดที่จะมาปรุงแต่งใจ
แต่ตัวรู้ของเราคือตัวสติของเรามีไม่มาก ก็เลยรู้ไม่เท่าทันตรงนั้น บางครั้งบางคราว ไม่บางครั้งบางคราวแล้ว ความคิดปัญญาเก่าที่เกิดจากจิตจากวิญญาณ ตรงนั้นเขาชํานาญกว่า เพราะว่าความเคยชินเก่าๆ ทั้งที่ใจเป็นบุญ ในหลักธรรมท่านให้มาเจริญสติเข้าไปอบรมใจ หมั่นพร่ำสอนใจ ทำความเข้าใจ อันนี้คือรูป อันนี้คือนาม อันนี้คือสมมติ วิมุตติ
วิญญาณในขันธ์ห้าของเราเป็นลักษณะนี้ ใจที่ไม่เกิดเป็นลักษณะอย่างนี้ ใจที่คลายจากขันธ์ห้าซึ่งเรียกว่าแยกรูปแยกนามเป็นลักษณะอย่างนี้ ต้องแยกต้องรู้ต้องตามทำความเข้าใจ แล้วก็หมั่นใช้ปัญญา หมั่นอบรมใจ ใจเกิดเมื่อไหร่เราก็รู้จักระงับยับยั้ง รู้จักหยุด ให้สติปัญญาทำหน้าที่ไปเกิดแทนทุกเรื่อง แต่ต้องแยกให้ได้ตามดูให้ได้ ให้ใจยอมรับความเป็นจริงให้ได้เสียก่อน ก็ต้องพยายามกัน ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี
ถ้าฝึกหัดปฏิบัติไม่รู้ใจตัวเองแล้วก็ยากที่จะรู้ธรรม ถ้ารู้เฉยๆ ก็ยังไม่ได้ ต้องแยกอีก ต้องละอีก ต้องดับอีก ดับความเกิดอีกจนใจไม่เกิดนั่นแหละ จนเขาเป็นอิสรภาพที่ปราศจากการเกิด ปราศจากความโลภ ความโกรธ ปราศจากความทะเยอทะยานอยาก ดับความเกิด แต่ละวันตื่นขึ้นมาเขาเกิดสักกี่เรื่อง เขาเกิดสักกี่เที่ยว เราเคยวิเคราะห์หรือไม่ เขาก่อตัวอย่างไร เขาเกิดอย่างไร เพราะว่าทุกคนมีกันหมดทุกคนนั่นแหละ จะมีมากมีน้อย
ทุกคนต้องพูดต้องคิดต้องทำ ทำความเข้าใจ แต่การพูดการคิดการทำ ในหลักธรรมพระพุทธเจ้าให้เจริญสติเข้าไปคิด เข้าไปพิจารณา จนกลายเป็นปัญญามหาปัญญา ความคิดที่เกิดจากปัญญา แต่เราต้องทำความเข้าใจกับวิญญาณในกายของเราให้ละเอียดให้ก่อน ละกิเลสดับความเกิดให้ได้เสียก่อน แต่ส่วนมากได้บ้างไม่ได้บ้าง กําลังสติก็ยังไม่เพียงพอ
แต่การทะเยอทะยานอยากอยากได้บุญ อยากรู้ธรรม ฝักใฝ่ในธรรมตรงนี้มันปิดกันเอาไว้ ถ้าเป็นความอยากที่เกิดจากตัววิญญาณ ก็ต้องพยายามกันนะ อย่าพากันเกียจคร้าน อย่าพากันงอมืองอเท้า ให้ขยันหมั่นเพียร ยิ่งพระเราบวชเข้ามาก็มาศึกษามาทำความเข้าใจ มาทำความเข้าใจกับจิตวิญญาณในกายเนื้อของเรา ถ้าเราเข้าใจรู้จักหลักธรรม รู้จักธรรมชาติ ธรรมชาติใจที่ปราศจากกิเลส ธรรมชาติของใจที่ไม่เกิด เขาก็สงบนิ่ง แต่เวลานี้เขาทั้งเกิดอยู่ เขาทั้งทะเยอทะยานอยากอยู่ แล้วก็มาหยุด มาดับ มาละ มาข่ม มาหมั่นพร่ำสอนเขาอยู่ตลอดเวลา ถ้าเขารู้ความจริง เอาอะไรมาฉุด เขาก็ไม่เกิดหรอก
ช่วงใหม่ๆ ก็เป็นการฝืน เป็นการทวนกระแส เพราะว่าจิตวิญญาณของคนเรานี่เกิดมาตั้งนาน หลงมาตั้งนาน เราไม่ให้เกิด เราไม่ให้หลง มาคลายความหลง เฉพาะอยู่ในกายของเราให้ได้ แล้วก็มาดับความเกิดในตัววิญญาณของเราให้ได้ คลายออกให้มันหมด ละออกให้มันหมด สิ่งที่เราจะได้คือความสะอาด ความบริสุทธิ์ ความหลุดพ้น ถ้าเราละไม่หมด จะทำอะไรมันก็ไม่ได้หรอก มันมีแต่เพิ่ม มีแต่ทับถม เราละออกให้มันหมดจนไม่เหลือที่ดวงใจของเรา
ในความไม่เหลือนั่นแหล่ะคือความบริสุทธิ์ของว่าง แล้วก็พยายามสร้างพลังใจของเราให้หนักแน่นอะไรเข้ามากระทบก็ไม่หวั่นไหว จะเอาจะมีจะเป็นก็เป็นเรื่องปัญญา ขยันด้วยสติด้วยปัญญา ยังประโยชน์ของสมมติ ด้วยสติด้วยปัญญา ให้เกิดประโยชน์ เพราะว่ากายของเรายังอาศัยปัจจัยสี่อยู่ ยังกินอยู่หลับนอนขับถ่ายอยู่ เราก็ต้องทำความเข้าใจกับเขาให้เรียบร้อย ทำหน้าที่ของเราให้ดี ให้ใจของเราให้อยู่ในความบริสุทธิ์ ให้อยู่ในพรหมวิหาร ไม่ให้เกิด ให้สติปัญญาไปเกิดแทน
อันนี้พูดง่ายนะ สำหรับบุคคลที่จะศึกษาจริงๆ นี่ก็ต้องคลายออกให้มันหมด ละออกให้มันหมด ดับความเกิดให้มันหมดจด ดับได้บ้างไม่ได้บ้างก็ต้องพยายามดับ ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาตั้งแต่เช้าใจของเราเกิดสักกี่เรื่อง ใจของเราเกิดสักกี่เที่ยว ใจของเราเกิดความทะเยอทะยานอยาก ไม่ว่าอยากในรูป ในรส ในกลิ่น ในเสียง อยากได้อาหารการอยู่การกิน อันนี้เรื่องของกาย เรื่องของใจ ถ้าเรารู้จักภาระ รู้จักหน้าที่ รู้จักรับผิดชอบ แบ่งแยกให้ชัดเจนทุกเรื่อง เราเรียกว่าจัดระบบระเบียบทั้งภายในใจของเรา
ใจของเราหลงมานาน ถ้าไม่หลงไม่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์หรอก แต่การเกิดมาเป็นมนุษย์นี่เป็นภพภูมิที่ดีที่สุด เป็นภพภูมิที่จะประพฤติปฏิบัติเพื่อที่จะรู้ธรรมได้ ท่านถึงบอก ให้มาเจริญสติแจงในกายของเราให้ละเอียดเสีย แล้วก็ดับความเกิดที่ตัววิญญาณ ละความเกิดที่ตัววิญญาณ ละกิเลสที่ตัววิญญาณอีก หนุนกําลังสติปัญญาไปบริหารกายของเรา จนกว่ากายของเราจะแตกจะดับนั่นแหละ เราก็จะได้มองเห็นหนทางเดินว่าเราจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิดกัน ก็ต้องพยายาม
ยิ่งเป็นพระและยิ่งเพิ่มความขยันหมั่นเพียรยิ่งมาอยู่ด้วยกันหลายองค์หลายรูป ก็ต้องพยายามมีอะไรก็ช่วยกัน อย่าไปงอมืองอเท้า เวลาเป็นของมีค่ามีประโยชน์มาก ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ การเจริญสติเป็นอย่างนี้ การพิจารณาเป็นอย่างนี้ ใจของเราเป็นอย่างนี้ จะลุกจะก้าวจะเดินความรู้ตัวของเรา อยู่กับปัจจุบันธรรมหรือเปล่า ไปบิณฑบาตก็เหมือนกัน แบ่งกันไปสองสายสําราญ เพี้ยฟาน ลูกเณรก็เยอะ พระก็เยอะ การข้ามถนนหนทางก็พยายามให้ระวังอันตรายรถราก็เยอะ อย่าไปผลีผลามค่อยๆ มองซ้ายมองขวา มองให้สุด แถวปลายทาง การออกบิณฑบาตก็เหมือนกัน หัวหน้าคนเป็นผู้นํา ก็พยายามมองข้างหลังอย่าไปทิ้งระยะทิ้งนั่น เราก็ต้องพยายามประคับประคองกัน ให้อยู่ในความเป็นระเบียบ อยู่ในความสวยความงาม ไม่ใช่ว่าจะจ้ำเอาๆ คนข้างหลังจะเป็นยังไงก็ช่าง ตัวเองรับบิณฑบาตทั้งองค์ไปเลย คนข้างหลังก็จะเสร็จหมด มันห่างกันเป็นเส้นๆ เลยทีเดียว
เราก็ต้องพยายามประคับประคอง อดทนอดกลั้น ให้อยู่ในความเป็นระเบียบ ตั้งแต่ตื่นขึ้นมานั่นแหละ จัดระบบระเบียบของสมมติของกายก็พยายามทำให้มันได้ ต่อไปก็คลายใจออกจากขันธ์ห้าทำความเข้าใจ ก็จัดระบบระเบียบของวิญญาณอีก ถ้าเราสอนเราไม่ได้ ไม่มีใครจะสอนเราให้ได้เลย ทุกเรื่อง หลวงพ่อก็เพียงแค่เล่าให้ฟัง ถ้าไม่ทำไม่ประพฤติปฏิบัติตาม เพียงแค่ระเบียบของสมมติความเป็นอยู่ของสมมติว่าลําบาก ถ้าเราไม่ขยันหมั่นเพียร ลึกลงไปเรื่องจิตใจ เรื่องการควบคุมการหมั่นพร่ำสอน กว่าเขาจะรู้ความจริงได้ จะต้องใช้ตบะอย่างแรงกล้า อาศัยในกาลอาศัยเวลาที่ต่อเนื่อง ไม่ใช่ว่าทำปุ๊บมันได้ปั๊บ ถ้าบุคคลที่มีอานิสงส์มีบุญเก่าของเก่ามาเยอะก็ไปได้เร็วได้ไว ของเก่ามีศรัทธาแรงกล้า มีการทำบุญ มีการให้ทาน มีการคลายออกตั้งแต่สมัยเก่า
สมัยพ่อแม่ปู่ย่าตายายฝากทรัพย์ภายในไว้ให้เด็ก โตขึ้นไปเขาก็จะเข้าใจในการเดินปัญญา ในการเข้ามากายวิเวกเป็นอย่างนี้ ใจวิเวกเป็นอย่างนี้ ไปอยู่ที่โน่นเป็นอย่างนั้นไปอยู่ที่นี่เป็นอย่างนี้ อันนี้เป็นการสร้างสะสมบารมี ถ้าถึงเวลาอยู่คนเดียวก็ต้องเข้าใจ ถ้ายังไม่ถึงเวลาอยากจะเข้าใจเท่าไหร่ อยากจะรู้ อยากจะเห็นก็ไม่ได้หรอก เหมือนกับเราปลูกผลหมากรากไม้ ปลูกแค่วันเดียวจะให้เขาออกดอก ออกผลก็เป็นไปไม่ได้ จะต้องอาศัยกาลอาศัยเวลา อาศัยความเพียร อาศัยการดําเนินที่ถูกที่ถูกทาง ค่อยเป็นค่อยไป ถึงเวลาแล้วเขาก็ออกดอกออกผลให้เรา
มนุษย์เรานี่ก็เหมือนกัน ความเสียสละไม่มี การละกิเลสไม่มี มีแต่ความเกียจคร้านงอมืองอเท้า เอารัดเอาเปรียบคนอื่น แทนที่จะมีความเสียสละ มีพรหมวิหาร มีความอ่อนน้อมถ่อมตน มองโลกในทางที่ดี รู้จักฝักใฝ่ รู้จักสนใจ รู้จักพิจารณา ถึงจะเข้าถึงธรรมได้ ถึงจะรู้ธรรมได้ การละกิเลสไม่มี การควบคุมใจไม่มี การเจริญสติไม่มี ปล่อยไปตามอําเภอใจ ปล่อยไปตามอํานาจของกิเลส ก็ยากที่จะเข้าใจ
ถ้าเรารู้จักการละกิเลส การดับ การควบคุม การสังเกต การวิเคราะห์ การอนุเคราะห์ สัจจะความเพียรต่างๆ อยู่คนเดียว อยู่หลายคน อยู่กันเป็นหมู่เป็นคณะ ความเป็นระเบียบ ตั้งแต่ระดับภายนอกจนกระทั่งถึงภายใน มันก็จะคอยสร้างสะสมอบรมไปเรื่อยๆ ถ้าโตขึ้นมาปัญญาตัวนี้แหละ มันก็จะคลายได้เร็วได้ไว คลายได้เร็วได้ไว ใจของเราก็สะอาด สว่าง สงบได้เร็วได้ไว ไปอยู่ที่โน่นทำไมเราไม่เข้าใจ ไปอยู่ที่นี่ทำไมเราไม่เข้าใจ เพราะอานิสงส์ของเรายังไม่ถึงจุดนั้น ถ้าถึงเวลาแล้วเราหมั่นสร้างสะสมคุณงามความดี สร้างสะสมบารมีของเราไป อายุมากขึ้นโตขึ้น สติปัญญาก็มากขึ้น อยู่คนเดียวก็ย่อมจะเข้าใจ ก็จะมองเห็นอานิสงส์ในสิ่งที่ผ่านๆ มา ก็พยายามกันนะ
ทั้งพระทั้งชีอย่าพากันเกียจคร้าน มีอะไรก็ช่วยกัน ช่วยกันทำให้เกิดประโยชน์ อันนี้พระเราก็จะลืม รวมพลังกันไป ช่วยกันย้อมเหล็ก เผื่อฝนฟ้าตกลงมา แล้วก็จะได้ไม่ได้ลําบากเท่าไร ก็ทำให้เราทุกคนนั่นแหละ พวกเราทำ พวกเราก็ได้อาศัยความสะดวกสบาย ใครไปใครมาก็เลยอาศัยกัน รุ่นหลังมาก็ยิ่งสบายใหญ่ เพราะว่าเราได้ทำได้สร้างเอาไว้ อย่าไปคิดว่าไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ของใครสักคนหรอกแม้แต่กายของเราเอง ถ้าถึงวันละเวลาก็ต้องระวังเอาไว้กับสมมติ เรามาอาศัยตรงนี้อยู่ เราก็ยังประโยชน์ให้มีให้เกิดขึ้น บอกง่าย ใช้คล่อง บอกตัวเองให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น ไปอยู่ที่ไหนก็มีความสุข มีตั้งแต่ความเจริญยิ่งๆ ขึ้นไป
เอาล่ะ วันนี้ก็เจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสรรค์ต่อทำความเข้าใจกันเอา
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 18 มีนาคม 2556
ขอให้ญาติโยมทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน อันนี้เป็นการสร้างความรู้ตัว เป็นการทำความเข้าใจในขั้นเบื้องต้น ในการเจริญสติรู้กาย รู้การหายใจเข้าออกของเราให้เกิดความเคยชิน ให้เกิดความชํานาญ เพียงแค่เรื่องการหายใจเข้าออก พวกเราก็ขาดการสนใจรู้เท่าทันทั้งที่หายใจมาตั้งแต่เกิด ถ้าเรามีความรู้สึกรับรู้ชัดเจนแล้วก็รู้ให้ต่อเนื่อง ความรู้ตัวทั่วพร้อมลึกลงไป เราก็จะรู้ใจ รู้ความปกติของใจ รู้ความสงบ รู้ความสงบ เวลาใจเกิดใจก่อตัว รู้อาการของใจเริ่มเกิด รู้อาการของความคิดที่จะมาปรุงแต่งใจ
แต่ตัวรู้ของเราคือตัวสติของเรามีไม่มาก ก็เลยรู้ไม่เท่าทันตรงนั้น บางครั้งบางคราว ไม่บางครั้งบางคราวแล้ว ความคิดปัญญาเก่าที่เกิดจากจิตจากวิญญาณ ตรงนั้นเขาชํานาญกว่า เพราะว่าความเคยชินเก่าๆ ทั้งที่ใจเป็นบุญ ในหลักธรรมท่านให้มาเจริญสติเข้าไปอบรมใจ หมั่นพร่ำสอนใจ ทำความเข้าใจ อันนี้คือรูป อันนี้คือนาม อันนี้คือสมมติ วิมุตติ
วิญญาณในขันธ์ห้าของเราเป็นลักษณะนี้ ใจที่ไม่เกิดเป็นลักษณะอย่างนี้ ใจที่คลายจากขันธ์ห้าซึ่งเรียกว่าแยกรูปแยกนามเป็นลักษณะอย่างนี้ ต้องแยกต้องรู้ต้องตามทำความเข้าใจ แล้วก็หมั่นใช้ปัญญา หมั่นอบรมใจ ใจเกิดเมื่อไหร่เราก็รู้จักระงับยับยั้ง รู้จักหยุด ให้สติปัญญาทำหน้าที่ไปเกิดแทนทุกเรื่อง แต่ต้องแยกให้ได้ตามดูให้ได้ ให้ใจยอมรับความเป็นจริงให้ได้เสียก่อน ก็ต้องพยายามกัน ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี
ถ้าฝึกหัดปฏิบัติไม่รู้ใจตัวเองแล้วก็ยากที่จะรู้ธรรม ถ้ารู้เฉยๆ ก็ยังไม่ได้ ต้องแยกอีก ต้องละอีก ต้องดับอีก ดับความเกิดอีกจนใจไม่เกิดนั่นแหละ จนเขาเป็นอิสรภาพที่ปราศจากการเกิด ปราศจากความโลภ ความโกรธ ปราศจากความทะเยอทะยานอยาก ดับความเกิด แต่ละวันตื่นขึ้นมาเขาเกิดสักกี่เรื่อง เขาเกิดสักกี่เที่ยว เราเคยวิเคราะห์หรือไม่ เขาก่อตัวอย่างไร เขาเกิดอย่างไร เพราะว่าทุกคนมีกันหมดทุกคนนั่นแหละ จะมีมากมีน้อย
ทุกคนต้องพูดต้องคิดต้องทำ ทำความเข้าใจ แต่การพูดการคิดการทำ ในหลักธรรมพระพุทธเจ้าให้เจริญสติเข้าไปคิด เข้าไปพิจารณา จนกลายเป็นปัญญามหาปัญญา ความคิดที่เกิดจากปัญญา แต่เราต้องทำความเข้าใจกับวิญญาณในกายของเราให้ละเอียดให้ก่อน ละกิเลสดับความเกิดให้ได้เสียก่อน แต่ส่วนมากได้บ้างไม่ได้บ้าง กําลังสติก็ยังไม่เพียงพอ
แต่การทะเยอทะยานอยากอยากได้บุญ อยากรู้ธรรม ฝักใฝ่ในธรรมตรงนี้มันปิดกันเอาไว้ ถ้าเป็นความอยากที่เกิดจากตัววิญญาณ ก็ต้องพยายามกันนะ อย่าพากันเกียจคร้าน อย่าพากันงอมืองอเท้า ให้ขยันหมั่นเพียร ยิ่งพระเราบวชเข้ามาก็มาศึกษามาทำความเข้าใจ มาทำความเข้าใจกับจิตวิญญาณในกายเนื้อของเรา ถ้าเราเข้าใจรู้จักหลักธรรม รู้จักธรรมชาติ ธรรมชาติใจที่ปราศจากกิเลส ธรรมชาติของใจที่ไม่เกิด เขาก็สงบนิ่ง แต่เวลานี้เขาทั้งเกิดอยู่ เขาทั้งทะเยอทะยานอยากอยู่ แล้วก็มาหยุด มาดับ มาละ มาข่ม มาหมั่นพร่ำสอนเขาอยู่ตลอดเวลา ถ้าเขารู้ความจริง เอาอะไรมาฉุด เขาก็ไม่เกิดหรอก
ช่วงใหม่ๆ ก็เป็นการฝืน เป็นการทวนกระแส เพราะว่าจิตวิญญาณของคนเรานี่เกิดมาตั้งนาน หลงมาตั้งนาน เราไม่ให้เกิด เราไม่ให้หลง มาคลายความหลง เฉพาะอยู่ในกายของเราให้ได้ แล้วก็มาดับความเกิดในตัววิญญาณของเราให้ได้ คลายออกให้มันหมด ละออกให้มันหมด สิ่งที่เราจะได้คือความสะอาด ความบริสุทธิ์ ความหลุดพ้น ถ้าเราละไม่หมด จะทำอะไรมันก็ไม่ได้หรอก มันมีแต่เพิ่ม มีแต่ทับถม เราละออกให้มันหมดจนไม่เหลือที่ดวงใจของเรา
ในความไม่เหลือนั่นแหล่ะคือความบริสุทธิ์ของว่าง แล้วก็พยายามสร้างพลังใจของเราให้หนักแน่นอะไรเข้ามากระทบก็ไม่หวั่นไหว จะเอาจะมีจะเป็นก็เป็นเรื่องปัญญา ขยันด้วยสติด้วยปัญญา ยังประโยชน์ของสมมติ ด้วยสติด้วยปัญญา ให้เกิดประโยชน์ เพราะว่ากายของเรายังอาศัยปัจจัยสี่อยู่ ยังกินอยู่หลับนอนขับถ่ายอยู่ เราก็ต้องทำความเข้าใจกับเขาให้เรียบร้อย ทำหน้าที่ของเราให้ดี ให้ใจของเราให้อยู่ในความบริสุทธิ์ ให้อยู่ในพรหมวิหาร ไม่ให้เกิด ให้สติปัญญาไปเกิดแทน
อันนี้พูดง่ายนะ สำหรับบุคคลที่จะศึกษาจริงๆ นี่ก็ต้องคลายออกให้มันหมด ละออกให้มันหมด ดับความเกิดให้มันหมดจด ดับได้บ้างไม่ได้บ้างก็ต้องพยายามดับ ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาตั้งแต่เช้าใจของเราเกิดสักกี่เรื่อง ใจของเราเกิดสักกี่เที่ยว ใจของเราเกิดความทะเยอทะยานอยาก ไม่ว่าอยากในรูป ในรส ในกลิ่น ในเสียง อยากได้อาหารการอยู่การกิน อันนี้เรื่องของกาย เรื่องของใจ ถ้าเรารู้จักภาระ รู้จักหน้าที่ รู้จักรับผิดชอบ แบ่งแยกให้ชัดเจนทุกเรื่อง เราเรียกว่าจัดระบบระเบียบทั้งภายในใจของเรา
ใจของเราหลงมานาน ถ้าไม่หลงไม่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์หรอก แต่การเกิดมาเป็นมนุษย์นี่เป็นภพภูมิที่ดีที่สุด เป็นภพภูมิที่จะประพฤติปฏิบัติเพื่อที่จะรู้ธรรมได้ ท่านถึงบอก ให้มาเจริญสติแจงในกายของเราให้ละเอียดเสีย แล้วก็ดับความเกิดที่ตัววิญญาณ ละความเกิดที่ตัววิญญาณ ละกิเลสที่ตัววิญญาณอีก หนุนกําลังสติปัญญาไปบริหารกายของเรา จนกว่ากายของเราจะแตกจะดับนั่นแหละ เราก็จะได้มองเห็นหนทางเดินว่าเราจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิดกัน ก็ต้องพยายาม
ยิ่งเป็นพระและยิ่งเพิ่มความขยันหมั่นเพียรยิ่งมาอยู่ด้วยกันหลายองค์หลายรูป ก็ต้องพยายามมีอะไรก็ช่วยกัน อย่าไปงอมืองอเท้า เวลาเป็นของมีค่ามีประโยชน์มาก ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ การเจริญสติเป็นอย่างนี้ การพิจารณาเป็นอย่างนี้ ใจของเราเป็นอย่างนี้ จะลุกจะก้าวจะเดินความรู้ตัวของเรา อยู่กับปัจจุบันธรรมหรือเปล่า ไปบิณฑบาตก็เหมือนกัน แบ่งกันไปสองสายสําราญ เพี้ยฟาน ลูกเณรก็เยอะ พระก็เยอะ การข้ามถนนหนทางก็พยายามให้ระวังอันตรายรถราก็เยอะ อย่าไปผลีผลามค่อยๆ มองซ้ายมองขวา มองให้สุด แถวปลายทาง การออกบิณฑบาตก็เหมือนกัน หัวหน้าคนเป็นผู้นํา ก็พยายามมองข้างหลังอย่าไปทิ้งระยะทิ้งนั่น เราก็ต้องพยายามประคับประคองกัน ให้อยู่ในความเป็นระเบียบ อยู่ในความสวยความงาม ไม่ใช่ว่าจะจ้ำเอาๆ คนข้างหลังจะเป็นยังไงก็ช่าง ตัวเองรับบิณฑบาตทั้งองค์ไปเลย คนข้างหลังก็จะเสร็จหมด มันห่างกันเป็นเส้นๆ เลยทีเดียว
เราก็ต้องพยายามประคับประคอง อดทนอดกลั้น ให้อยู่ในความเป็นระเบียบ ตั้งแต่ตื่นขึ้นมานั่นแหละ จัดระบบระเบียบของสมมติของกายก็พยายามทำให้มันได้ ต่อไปก็คลายใจออกจากขันธ์ห้าทำความเข้าใจ ก็จัดระบบระเบียบของวิญญาณอีก ถ้าเราสอนเราไม่ได้ ไม่มีใครจะสอนเราให้ได้เลย ทุกเรื่อง หลวงพ่อก็เพียงแค่เล่าให้ฟัง ถ้าไม่ทำไม่ประพฤติปฏิบัติตาม เพียงแค่ระเบียบของสมมติความเป็นอยู่ของสมมติว่าลําบาก ถ้าเราไม่ขยันหมั่นเพียร ลึกลงไปเรื่องจิตใจ เรื่องการควบคุมการหมั่นพร่ำสอน กว่าเขาจะรู้ความจริงได้ จะต้องใช้ตบะอย่างแรงกล้า อาศัยในกาลอาศัยเวลาที่ต่อเนื่อง ไม่ใช่ว่าทำปุ๊บมันได้ปั๊บ ถ้าบุคคลที่มีอานิสงส์มีบุญเก่าของเก่ามาเยอะก็ไปได้เร็วได้ไว ของเก่ามีศรัทธาแรงกล้า มีการทำบุญ มีการให้ทาน มีการคลายออกตั้งแต่สมัยเก่า
สมัยพ่อแม่ปู่ย่าตายายฝากทรัพย์ภายในไว้ให้เด็ก โตขึ้นไปเขาก็จะเข้าใจในการเดินปัญญา ในการเข้ามากายวิเวกเป็นอย่างนี้ ใจวิเวกเป็นอย่างนี้ ไปอยู่ที่โน่นเป็นอย่างนั้นไปอยู่ที่นี่เป็นอย่างนี้ อันนี้เป็นการสร้างสะสมบารมี ถ้าถึงเวลาอยู่คนเดียวก็ต้องเข้าใจ ถ้ายังไม่ถึงเวลาอยากจะเข้าใจเท่าไหร่ อยากจะรู้ อยากจะเห็นก็ไม่ได้หรอก เหมือนกับเราปลูกผลหมากรากไม้ ปลูกแค่วันเดียวจะให้เขาออกดอก ออกผลก็เป็นไปไม่ได้ จะต้องอาศัยกาลอาศัยเวลา อาศัยความเพียร อาศัยการดําเนินที่ถูกที่ถูกทาง ค่อยเป็นค่อยไป ถึงเวลาแล้วเขาก็ออกดอกออกผลให้เรา
มนุษย์เรานี่ก็เหมือนกัน ความเสียสละไม่มี การละกิเลสไม่มี มีแต่ความเกียจคร้านงอมืองอเท้า เอารัดเอาเปรียบคนอื่น แทนที่จะมีความเสียสละ มีพรหมวิหาร มีความอ่อนน้อมถ่อมตน มองโลกในทางที่ดี รู้จักฝักใฝ่ รู้จักสนใจ รู้จักพิจารณา ถึงจะเข้าถึงธรรมได้ ถึงจะรู้ธรรมได้ การละกิเลสไม่มี การควบคุมใจไม่มี การเจริญสติไม่มี ปล่อยไปตามอําเภอใจ ปล่อยไปตามอํานาจของกิเลส ก็ยากที่จะเข้าใจ
ถ้าเรารู้จักการละกิเลส การดับ การควบคุม การสังเกต การวิเคราะห์ การอนุเคราะห์ สัจจะความเพียรต่างๆ อยู่คนเดียว อยู่หลายคน อยู่กันเป็นหมู่เป็นคณะ ความเป็นระเบียบ ตั้งแต่ระดับภายนอกจนกระทั่งถึงภายใน มันก็จะคอยสร้างสะสมอบรมไปเรื่อยๆ ถ้าโตขึ้นมาปัญญาตัวนี้แหละ มันก็จะคลายได้เร็วได้ไว คลายได้เร็วได้ไว ใจของเราก็สะอาด สว่าง สงบได้เร็วได้ไว ไปอยู่ที่โน่นทำไมเราไม่เข้าใจ ไปอยู่ที่นี่ทำไมเราไม่เข้าใจ เพราะอานิสงส์ของเรายังไม่ถึงจุดนั้น ถ้าถึงเวลาแล้วเราหมั่นสร้างสะสมคุณงามความดี สร้างสะสมบารมีของเราไป อายุมากขึ้นโตขึ้น สติปัญญาก็มากขึ้น อยู่คนเดียวก็ย่อมจะเข้าใจ ก็จะมองเห็นอานิสงส์ในสิ่งที่ผ่านๆ มา ก็พยายามกันนะ
ทั้งพระทั้งชีอย่าพากันเกียจคร้าน มีอะไรก็ช่วยกัน ช่วยกันทำให้เกิดประโยชน์ อันนี้พระเราก็จะลืม รวมพลังกันไป ช่วยกันย้อมเหล็ก เผื่อฝนฟ้าตกลงมา แล้วก็จะได้ไม่ได้ลําบากเท่าไร ก็ทำให้เราทุกคนนั่นแหละ พวกเราทำ พวกเราก็ได้อาศัยความสะดวกสบาย ใครไปใครมาก็เลยอาศัยกัน รุ่นหลังมาก็ยิ่งสบายใหญ่ เพราะว่าเราได้ทำได้สร้างเอาไว้ อย่าไปคิดว่าไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ของใครสักคนหรอกแม้แต่กายของเราเอง ถ้าถึงวันละเวลาก็ต้องระวังเอาไว้กับสมมติ เรามาอาศัยตรงนี้อยู่ เราก็ยังประโยชน์ให้มีให้เกิดขึ้น บอกง่าย ใช้คล่อง บอกตัวเองให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น ไปอยู่ที่ไหนก็มีความสุข มีตั้งแต่ความเจริญยิ่งๆ ขึ้นไป
เอาล่ะ วันนี้ก็เจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสรรค์ต่อทำความเข้าใจกันเอา