หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 127

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 127
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
พระธรรมเทศนาโดย (Dhamma Talk by)
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 127
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
มีความสุขกันทุกคน วันนี้วันอาทิตย์ ใกล้ ยิ่งใกล้จะถึงปีใหม่ ให้ญาติโยมทั้งไกลทั้งใกล้ทั่วประเทศ แสวงบุญที่โน่นที่นี่ เป็นอานิสงส์เป็นสิริมงคลของชีวิตของตัวเรา เป็นที่น่าภูมิใจที่ได้เกิดมาในประเทศที่ฝักใฝ่ในบุญในกุศลกัน ก็ขึ้นอยู่กับตัวของบุคคลอีกทีหนึ่ง การทำความเข้าใจกับชีวิตของเรา วันที่ 31 วันสิ้นปี ก็ขอเชิญญาติโยมพี่น้องเรามาสวดมนต์เพื่อความเป็นสิริมงคลของชีวิตของตัวเราเอง สวดมนต์ข้ามปีที่ลานองค์หลวงปู่ใหญ่ปางลีลา เริ่มประมาณกี่ทุ่มนะท่านเจ้าคุณ สองทุ่มครึ่ง หลังจากทำวัตรสวดมนต์ที่ศาลาเสร็จก็ไปที่ลานองค์หลวงปู่ใหญ่ปางลีลา ประมาณสองทุ่มครึ่ง ใครใคร่อยากจะมาตั้งโรงทานก็มา โรงทานข้าวต้มร้อนๆ กับข้าวกับปลาให้ญาติโยมให้พี่น้องได้อยู่ได้ทาน ไม่หิว กลางค่ำกลางคืน เดือนก็หงายสวยงาม มาสวดมนต์

แต่ตามหลักของความเป็นจริงแล้ว เราก็ต้องเข้าให้ถึงความหมายสิ่งที่เราสวด อย่างเช่นเรามาทำวัตรสวดมนต์ทุกวัน ทุกเช้า ทุกเย็น สวดมนต์แปล เราก็ต้องพยายามให้เห็น เข้าให้ถึงความหมายในการสวด ความหมายที่ท่านให้สวดให้ท่องก็อยู่ในกายของเราหมด อยู่ในกายในใจของเราหมด ท่านว่าขันธ์ห้าไม่เที่ยง ทำไมไม่เที่ยง ขันธ์ห้าเป็นกองเป็นขันธ์ ขันธ์ห้าเป็นกองทุกข์ วิญญาณไม่เที่ยง สังขารไม่เที่ยง สัญญาไม่เที่ยง ก็อยู่ในกายในขันธ์ห้าของเราหมด อยู่ในกายของเราหมด แต่เราแยกแยะไม่ได้ เพราะว่าเราไม่ได้เจริญสติ เจริญสติเข้าไปสังเกตวิเคราะห์ให้ต่อเนื่องจนแยกใจออกจากความคิด ซึ่งเรียกว่าแยกรูปแยกนาม ตามดูรู้เห็นทุกเรื่อง ทีนี้มาทำวัตรสวดมนต์ เราก็จะเข้าใจในความหมายที่เราสวดเราท่อง ว่าอะไรควรละ อะไรควรเจริญ อะไรควรดำเนิน ทำไมท่านถึงว่าเป็นกองเป็นขันธ์ ทำไมถึงว่าเป็นรูปเป็นนาม ทำไมถึงว่าไม่เที่ยง

ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมาเราได้เจริญสติเข้าไปดู รู้ ทำความเข้าใจแล้วหรือยัง พระเราชีเราก็เหมือนกัน อย่าไปปล่อยปละละเลย อย่าไปเกียจคร้าน ต้องขยันหมั่นเพียร คนเราถ้าขยันหมั่นเพียรอยู่ในตัวเราในตัวเอง ไปอยู่ที่ไหนก็บอกตัวเองได้ใช้ตัวเองเป็น มองเห็นหนทางเดินว่าเราจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิดกัน กิเลสของเราละได้เบาบางแล้วหรือยัง เพียงแค่การเกิดของวิญญาณนะท่านก็ให้ดับ ไม่ให้เกิด แต่คนทั่วไปมีแต่ส่งเสริม เพราะว่าไม่ได้เจริญสติ ตัววิญญาณตัวปัญญาเก่า ตัวความคิดเก่า เขาหลงมานาน เขาหลงมาตั้งแต่ยังไม่ได้เกิดอยู่ในภพของมนุษย์ ไม่รู้ว่าหลงมาสักเท่าไรแล้ว ตอนนั้นเราอย่าไปสนใจ เราสนใจอยู่ปัจจุบันขณะ จิตวิญญาณอยู่ในกายของเรานี่แหละ เราก็ทำความเข้าใจให้รู้แจ้งเห็นจริง

สัจธรรมมีอยู่ ความจริงมีอยู่ พระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบ แล้วก็มาเปิดเผยจําแนก พุทธะผู้รู้ โคตมะ นามพุทธโคตมะ ศาสนาของพระพุทธเจ้านั้นมีอยู่ประจำโลก แต่คน ท่านเป็นองค์ค้นพบวิธีการแนวทาง แล้วก็เอามาจําแนกแจกแจงจนกระทั่งถึงพวกเราให้ประพฤติปฏิบัติตามให้เห็นตามแนวทาง อันนี้คือสมมตินะ อันนี้คือวิมุตตินะ การขัดเกลาการละกิเลสให้ถึงใจเดิมแท้ไม่มีกิเลส เราละกิเลสออกให้หมดแล้วก็ดับความเกิดของใจ กายเนื้อแตกดับไม่ต้องกลับมาเกิดกัน จุดมุ่งหมายของหลักธรรม แต่พวกเราสติก็ไม่ได้สร้าง ใจก็ทั้งวิ่ง ทั้งเกิด ทั้งหลง ทั้งยึด อยู่ตลอดเวลา มีไม่เป็น ทำไม่เป็น มีด้วยความทะเยอทะยานอยาก ทั้งอยาก ทั้งโลภ ทั้งโกรธ ทั้งยึด สารพัดอย่าง กิเลสมารต่างๆ มาครอบงำเอาไว้หมด เราก็มาขัดเกลา อย่างมาวัดนี้เราก็มาขัดมาเกลา แต่เราขัดเกลาให้หมดจดหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับความเพียรของเรา ก็ต้องพยายามกัน มันไม่หมดวันนี้ก็พรุ่งนี้ต้องหมด ไม่หมดวันพรุ่งนี้ เดือนหน้า ปีหน้า

แต่เวลานี้ต้องรู้จักการเจริญสติ รู้จักลักษณะของสติ กายวิเวกเป็นอย่างไร ใจวิเวกเป็นอย่างไร แม้แต่เวลาขบเวลาฉันเราก็ต้องดูว่าใจของเราเกิดความอยากหรือกายเกิดความหิว กิเลสเกิดขึ้นที่กายหรือเกิดขึ้นที่ใจ ใจส่งเสริมได้อย่างไร สติปัญญาที่เราสร้างขึ้นมาเป็นลักษณะอย่างไร ทุกอิริยาบถ พยายามหมั่นพร่ำสอนใจของเราอยู่ตลอดเวลาท่านถึงว่าตนเป็นที่พึ่งของตน ถ้าเราสอนเราไม่ได้ อย่าไปเที่ยวให้คนอื่นเขาสอนไม่เกิดประโยชน์ คนอื่นก็เป็นแค่เพียงแผนที่ชี้แนะแนวทางให้ ดำเนินอย่างนี้ ทำอย่างนี้ ถ้าเราไม่เจริญสติเข้าไปอบรมใจตัวเราแล้วก็ เราจะไม่เข้าถึงความหมายในสิ่งที่พระพุทธองค์ได้ค้นพบแล้วเอามาประกาศ ท่านบอกว่าปฏิบัติอย่างนี้ ทำอย่างนี้ ให้รู้ให้เห็นเสียก่อน ท่านถึงบอกให้เชื่อ

กิเลสเนี่ยของคนเรามันเยอะยิ่งฝึกไปเท่าไร ยิ่งเห็นเยอะ ยิ่งเห็นเยอะเท่าไรเราก็พยายามทำความเข้าใจ ถ้ารู้ความจริงแล้ว ใจมันไม่เอาหรอกกิเลส ใจมันไม่เกิดหรอก เพราะว่าการเกิดเป็นทุกข์ มีสติ ไม่มีก็สร้างขึ้นมา สมาธิไม่มีเราก็พยายามทำให้มีให้เกิด ปัญญาไม่มีเราก็พยายามหมั่นสังเกต หมั่นวิเคราะห์ ปัญญา มองเข้าไปถึงฐานของใจนู้นการเกิดการดับ ฐานใจมีอยู่ ฐานกายมีอยู่ สนามรบมีอยู่ ไม่ใช่ว่าจะไปวิ่งหาตั้งแต่ธรรมะภายนอก เราจบขบวนการภายในแล้วก็ยังประโยชน์สมมติให้เกิดประโยชน์ เท่าที่กําลังสติปัญญา กําลังอานิสงส์บุญบารมีของพวกเรามี เราต้องพยายามกัน ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี ต้องขยันหมั่นเพียรด้วยตัวของเราเอง

การพูดมากก็ไม่ดี เอาการกระทำเป็นที่ตั้ง พูดมาก บอกมาก ชี้มาก ก็ว่าเราบ่น ถ้าเราไม่พูด พูดน้อย บอกน้อย เอาการกระทำเป็นการกระทำเป็นตัวอย่างก็ว่าเราหละหลวม ไม่รู้จะเอาอย่างไรกิเลสของคน ถ้าพูดมากบอกมาก จู้จี้จุกจิก ก็ว่าเราบ่น ใช้การไม่ได้ นานๆ ถึงบอกที ก็บอกว่าหละหลวม ไม่รู้จักแก้ไขตัวเองปรับปรุงตัวเอง คนฉลาดเขาฟังนิดเดียว การเจริญสติเป็นอย่างนี้ กายวิเวกเป็นอย่างนี้ ใจวิเวกเป็นอย่างนี้ ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ความอยากแม้แต่นิดเดียว หรือความเกิดแม้แต่นิดเดียวยังไม่ให้เกิดขึ้นที่ใจได้เลย

คนทั่วไปนี้ทั้งทะเยอทะยานอยาก แต่ละเรื่องมีแต่เรื่องของคนอื่นคนนั้นไม่ดี คนนี้ไม่ดี ใจของเราไม่ดีมันถึงไปอคติคนโน้นคนนี้ กว่าจะมีให้ได้อยู่ ได้พักได้อาศัย ได้สะดวกสบาย ให้พวกท่านได้ประพฤติปฏิบัติ สมมติให้มีความสุขได้มันลําบาก มาสักกี่ปีตั้งร่วม 30 ปี บางคนบางท่านนั้นก็มาเหยียบย่ำแล้วเราก็ไป ก็เห็นบางคนก็มาได้ดีไปก็มีเยอะ บางคนมาแล้วเป็นทุกข์ไปเลยก็มี ไม่รู้จักแก้ไขตัวเอง ปรับปรุงตัวเอง บางคนมาแล้วก็มีตั้งแต่ความหลงเข้ามาเพราะว่าอะไร เพราะว่ามีเพียบพร้อมหมด ไม่รู้จักละความอยาก ละกิเลส เห็นโน่นเห็นนี่ก็มีตั้งแต่ความอยากเข้าไปครอบงำ โลภมาก สารพัดอย่าง นี่แหละสนามรบเป็นอย่างดี

ถ้าคนเรารู้จักวิเคราะห์พิจารณาแล้วก็แม้แต่ความอยากแม้แต่นิดเดียวนะ อยากในโลก ในรส ในกลิ่น ในเสียง ก็ไม่ให้มีเกิดขึ้นที่ใจของตัวเอง จะเอา จะมี จะเป็นก็เป็นเรื่องปัญญา เอามาขยันหมั่นเพียรมากเราก็ได้มาก ขยันหมั่นเพียรเพื่อให้เกิดประโยชน์ ไม่หลงไม่ยึด แต่ต้องคลายภายในให้รู้จักจุดปล่อยจุดวาง แยกรูปแยกนามให้ได้ แยกรูปแยกนาม ใจคลายออกจากความคิดยังไม่พอ ต้องตามดูทำความเข้าใจ แล้วก็ละออกให้มันหมดอีก ให้ถึงจุดหมายปลายทางให้ได้ ก็ต้องพยายามกัน มาสร้างบุญสร้างอานิสงส์ สร้างบารมีฝากเอาไว้

หลวงพ่อก็เพียงแค่พูดให้ฟัง ไม่ใช่ว่าจะขัดเกลากิเลสออกได้ง่ายๆ เพราะกิเลสมันก็เป็นยางเหนียวเหมือนกัน เขาก็ไม่ยอมแพ้เหมือนกัน แล้วก็เราต้องคอยสร้างสะสมตบะบารมีไป สร้างคุณงามความดีไป เหมือนกับปลูกต้นไม้สักต้น เราจะไปเร่งให้ออกดอกออกผลวันเดียวก็ไม่ได้ ต้องอาศัยกาลอาศัยเวลา อาศัยความเพียร หมั่นดูแล หมั่นรักษา ถึงเวลาเขาก็ออกดอกออกผลให้เรา เราไม่อยากจะได้ดอกได้ผลเราก็ได้

การปฏิบัติใจก็เหมือนกัน การขัดเกลากิเลส มีการวิเคราะห์การสังเกตใจของเรา มีความแข็งกระด้าง มีความอ่อนน้อม ใจของเรามีความเห็นอย่างไร มีความเกิดอย่างไร ทำไมใจของเราถึงเกิดถึงหลง การเจริญสติของเรามีหรือไม่ การชี้เหตุชี้ผลของเรามีหรือไม่ จนกว่าจะเห็นเหตุเห็นผล แยกแยะได้ตามดูได้ สติพลั้งเผลอได้อย่างไร สติต่อเนื่องได้อย่างไร การเอาสติปัญญาไปใช้เป็นอย่างไร คําว่าปัจจุบันธรรมเป็นอย่างไร สักแต่ว่าดู สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าฟังเป็นอย่างไร กายทำหน้าที่อย่างไร วิญญาณในกายทำหน้าที่อย่างไร

ถ้าเราไม่หมั่นวิเคราะห์หมั่นสังเกตตัวเรา ใครเขาจะทำให้ล่ะนอกจากตัวของเรา จะไปเที่ยวหาตั้งแต่คนโน้นช่วยที คนนี้ช่วยที เป็นแค่ระดับสมมติของโลก เพียงแค่ระดับสมมติโลกธรรม ก็ยังพากันไม่ทำความเข้าใจ มีแต่ความเกียจคร้านเข้าครอบงำ หนักไม่เอาเบาไม่สู้ มีตั้งแต่จะหาทางหลบทางหลีกทางหนี ขอให้ฉันได้สะดวกสบายคนอื่นจะเป็นอย่างไรก็ช่าง อย่างนั้นใช้การไม่ได้ เราต้องเป็นบุคคลที่มีความเสียสละ หมั่นขัดหมั่นเกลาทั้งภายในทั้งภายนอก เอาออกยังประโยชน์ ประโยชน์ตนประโยชน์ท่าน ประโยชน์ใกล้ ประโยชน์ไกล ประโยชน์ส่วนรวม

อันนี้คือส่วนรูป อันนี้คือส่วนนาม พระพุทธองค์ท่านสอนเรื่องอะไร ให้รีบทำความเข้าใจให้เรียบร้อย ให้เข้าถึงด้วย ถึงยังเกิดประโยชน์ ประโยชน์เราก็ไม่ได้เสียทิ้ง ความบริสุทธิ์หลุดพ้น ความสะอาดภายใน ความว่างความบริสุทธิ์นั่นแหละคือเครื่องอยู่ของใจ ใจของเราอยู่ในความบริสุทธิ์ ใจไม่มีกิเลสมันก็บริสุทธิ์ ใจไม่เกิดมันก็นิ่ง จิตเที่ยง นิพพานก็เที่ยง จะไปหาที่ไหน ก็หาที่ตรงนี้แหละ ยิ่งบวชเป็นพระเป็นชีแล้วก็พยายาม เป็นคนที่ขยันหมั่นเพียรเป็นทวีคูณ ถ้ามาเกียจคร้าน ให้มองดูรู้เห็น ขวางหูขวางตาก็ใช้การไม่ได้ ต้องเป็นคนขยันหมั่นเพียร คนรับผิดชอบ ทั้งฆราวาสญาติโยมก็เหมือนกัน

ตั้งใจรับพรกัน

ขอให้ญาติโยมทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจเข้าออกของเราให้ชัดเจน ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมาเราได้สร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่อง สัก 5 นาทีแล้วหรือยัง ภายในเพียงแค่ 5 นาทีนะ 5 นาที 10 นาทีเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ จนกว่ากําลังสติของเราต่อเนื่องเชื่อมโยง แล้วก็รู้จักเอาไปวิเคราะห์ใจของเรา รู้เท่าทันการเกิดการดับของใจ เห็นการเกิดการดับของใจ เห็นการเกิดการดับของอาการของขันธ์ห้า เขาผุดขึ้นมาได้อย่างไร เขาเริ่มก่อตัวได้อย่างไร

ถ้าเรามีความรู้ตัวที่ต่อเนื่องเชื่อมโยง เราก็จะเห็นตัวใจเคลื่อนเข้าไปรวมกับอาการของความคิด นี่แหละความหลงที่เราต้องหัดสังเกตแยกคลาย ถ้าเราสังเกตไม่ทันเขาก็รวมกันไปแล้วเป็นสิ่งเดียวกัน แล้วก็ ก็คิดก็รู้ ทำก็รู้ เพราะว่าใจเป็นธาตุรู้ เขายังหลงอยู่ ทั้งหลงรวมกับขันธ์ห้า ทั้งหลงเกิด บางทีก็มีความโลภ ความโกรธ ความยินดียินร้ายเข้าไปเจือปน เราต้องสร้างกําลังสติหรือว่าสร้างผู้รู้ อาศัยกายก้อนนี้เสียก่อน รู้อยู่ที่การหายใจเข้าออกเสียก่อน ซึ่งเขาเรียกว่ารู้กาย แล้วก็รู้ให้ต่อเนื่อง ถ้าเราทำให้ต่อเนื่องขึ้นมาได้สัก 5 นาที 10 นาที จนกระทั่งเป็นชั่วโมง เป็นวัน เป็นเดือน เป็นปี กําลังสติของเราถ้าสังเกตแยกแยะได้ แยกใจออกจากความคิดได้ สังเกตทันเขาก็จะแยกของเขาเอง เราไม่จำเป็นต้องแยกของเขายากเลย เหมือนกับขึงเชือกตึงๆ ถ้าเราสังเกตทันปุ๊บ จิตมันจะดีดออกจากความคิด แล้วก็หงาย ซึ่งท่านเรียกว่าหงายของที่คว่ำ

ใจของเรา วิญญาณในขันธ์หงายออกมาว่าง ใจก็จะว่าง กายก็จะเบา เราก็จะเห็นการเกิดการดับของขันธ์ห้าเป็นเรื่องอะไร บางทีก็เป็นกลางๆ บางทีก็เป็นอกุศล บางทีก็เป็นเรื่องอดีต ที่มันเกิดๆ ดับๆ ที่ท่านเรียกว่าเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เวลาเขาดับไปแล้ว ความว่างเปล่าเข้ามาปรากฏ เรื่องใหม่เขาเกิดขึ้น ตั้งอยู่ดับไป บางทีใจของเราก็เข้าไปรวมเข้าไปร่วม บางทีก็ความคิดก็เกิดจากใจปรุงแต่งส่งออกไป นั่นแหละเขาเรียกว่าสมุทัย ทีนี้การดับ เราจะดับมาด้วยการข่มเอาไว้หรือด้วยการบังคับ เขาเรียกว่าสมถะ ถ้าแยกแยะได้ตามดูได้ ละได้ด้วยปัญญา เขาเรียกว่าวิปัสสนา เราละกิเลสหยาบได้ ความโลภ ความโกรธ คลายความหลงได้ เข้าสู่ตกกระแสธรรม เขาเรียกว่าสู่โสดาปัตติมรรค โสดาปฏิผล กิเลสของเราละได้มากได้น้อย ถ้าละได้มากขึ้นไปก็เข้าสู่อนาคามีมรรค อนาคามีผล โน่นแหละไล่ไปเรื่อยๆ

จงน้อมใจของเราอยู่ในกองบุญกองกุศล มีความอ่อนน้อมถ่อมตน มีความเมตตาแต่ไม่หลง ไม่เกิด ไม่ยึด แยกแยะได้ ตามดูได้ ข้ามโคตรปถุชนเข้าเขตอริยะ หน่วงเหนี่ยวเอาความว่าง ความบริสุทธิ์เป็นอารมณ์ ใจเกิดกิเลสแล้วก็ละทีนั้นละทีนี้ กิเลสหยาบ กิเลสละเอียด แม้แต่ความเกิด แม้แต่ความอยาก เราต้องขัดเกลาเอาออกจากจิตจากใจของเรา หน่วงเหนี่ยวเอาความว่างเป็นอารมณ์ เข้าสู่นิพพานนู้น นิพพานขณะยังมีลมหายใจอยู่ จะไปเอาที่ไหน

ความกลัวของใจยังมี เราก็ละความกลัว กลัวอะไรกลัวตาย เราก็ต้องพยายามกําจัดความกลัวออกจากจิตจากใจของเราให้มันหมด กลัวตาย กลัวอด กลัวอยาก กลัวไม่มี กลัวลําบาก เพียงแค่การเกิด คนทั่วไปแล้วทั้งยาก ทั้งทะเยอทะยานอยาก ทั้งสารพัดอย่าง โน้มน้าวหาวิธีการ นั่นแหละ มันผิดหมด ถ้าเข้ามาศึกษาในหลักธรรมท่านให้ละความอยาก คลายความอยาก แยกรูปแยกนาม ตามดู หนุนกําลังสติปัญญาไปทำหน้าที่แทน ไปใช้ทำหน้าที่แทน จะทำมากทำน้อยก็เป็นเรื่องสติปัญญา จะเอามากเอาน้อยก็เป็นเรื่องของสติปัญญา ทำความเข้าใจ เห็น รู้ ทำความเข้าใจ ละ ภาษาธรรมสักแต่ว่าดู สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าฟัง จะเอาจะมีก็เอามีด้วยสติด้วยปัญญา ด้วยความรับผิดชอบของสติปัญญา

การพูดง่าย การลงมือ การกระทำ ยาก ถ้าไม่ขยันหมั่นเพียรเป็นเลิศ ต้องพยายามขยันหมั่นเพียร แต่อย่าพยายาม อย่าพากันไปทิ้งบุญ ในการทำบุญ ในการให้ทาน สร้างอานิสงส์ สร้างตบะบารมีไปเรื่อยๆ ค่อยสร้างสะสมไปทีละนิดทีละหน่อย สักวันหนึ่งมันก็จะเต็มเอง เราก็ต้องพยายาม เต็มด้วยสติ เต็มด้วยปัญญา คนจะรู้ธรรมก็ต้องรู้ด้วยปัญญา ที่เกิดจากการเจริญภาวนาเท่านั้น คําสอนของพระพุทธองค์ไม่เสื่อมไม่สูญหายไปไหน มีอยู่ประจำทุกคน ขอให้ดำเนินให้ถูกที่ให้ถูกทาง

การเจริญสติเป็นอย่างนี้ กายวิเวกเป็นอย่างนี้ ใจวิเวกเป็นอย่างนี้ ถ้าเราเห็นต้นตอของการเกิดของใจของวิญญาณของเรามันเกิดที่ตรงไหน เราดับเราละจนใจไม่เกิด จนวางใจให้เป็นอิสรภาพอีก มองเห็นหนทางเดิน ว่าเราจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิดกัน อย่าปิดกั้นตัวเราว่าไม่มีโอกาส ว่าไม่มีเวลา ทุกคนมีโอกาส ทุกคนมีเวลาเหมือนกันหมด ไม่ใช่ว่าจะไปทำเวลาโน้นไปทำเวลานี้ อย่าไปเผลอให้อีก พลั้งเผลอให้กิเลส เราก็ต้องพยายาม ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี พยายามสร้างอานิสงส์สร้างตบะ สร้างบารมี ตนเป็นที่พึ่งของตน คําว่าตนคือสติที่เราสร้างขึ้นมานี่เข้มแข็งแล้วหรือยัง มองเห็นใจของเราแล้วหรือยัง เราแยกแยะเดินปัญญาทำความเข้าใจ ละกิเลสได้แล้วหรือยัง ส่วนมากก็ฝักใฝ่ในการทำบุญ ในการให้ทาน ขัดเกลากิเลส

คำว่าศีล ความปกติ ปกติในระดับไหน ระดับกาย ระดับวาจา ระดับใจ สมาธิ ใจที่ไม่เกิด มันก็เป็นสมาธิ สมาธิด้วยการบังคับเอาไว้ หรือว่าสมาธิด้วยการแยกแยะตามดูละกิเลส ปราศจากกิเลส ปราศจากความยึดมั่นถือมั่น เป็นสมาธิด้วยปัญญา ยืน เดิน นั่ง นอน ก็ให้เป็นแค่เพียงอิริยาบถ นี่แหละ ถ้าเราเข้าใจทำความเข้าใจได้แล้ว สติไม่มีเราก็สร้างขึ้นมาให้มีเสียก่อน แล้วก็ไปอบรมใจ แก้ไขใจของเรา ใจของทุกคนเรานั้นแก้ไขได้ ไม่ใช่ว่าไม่ใช่ว่าแก้ไขไม่ได้ ปรับปรุงตัวเอง แก้ไขตัวเราเอง ปรับปรุงตัวเราเองอยู่ตลอดเวลา ต่อไปข้างหน้าสติ สมาธิ ปัญญาเขาจะรักษาเรา

สติไม่มีเราก็สร้างขึ้นมาให้มี สมาธิไม่มีเราก็สร้างขึ้นมาให้มี ปัญญาไม่มีเราก็สร้างขึ้นมาให้มี จนกลายเป็นมหาสติ กลายเป็นมหาปัญญา สติ สมาธิ ปัญญาเขาจะรักษาเรา ยืนเดิน นั่ง นอนกินอยู่ขับถ่ายจะร้องตะโกนอยู่ ใจมันก็อยู่ในความบริสุทธิ์ อยู่ในความว่าง ใจก็อยู่ในองค์ฌานองค์สมาธิ อยู่ในอุเบกขาฌาน เราก็ต้องพยายามสร้างให้มีให้เกิดขึ้นที่ใจของเรา ได้บ้างไม่ได้บ้างก็พยายามทำ อย่าไปทิ้งนะ ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถไหน

ถ้าเราไม่เห็นใจ ปฏิบัติธรรมไม่รู้จักธรรม เจริญสติไม่รู้จักสติ มันจะไปใช้การได้ที่ไหน เราต้องพยายามเจริญสติให้มีให้เกิดขึ้นตั้งแต่ตื่นขึ้นมาจนเอาไปใช้ได้ ส่วนมากก็จะพลั้งเผลอ ถ้ายังแยกรูปแยกนามไม่ได้ ตามดูไม่ได้ พลั้งเผลอ เพราะกิเลสมารเขาก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ ทั้งกิเลสที่เกิดจากใจเขาก็ไม่ยอมแพ้ เขาถึงเรียกว่าใจหลอกใจ หรือว่าจิตหลอกจิต แม้แต่ขันธ์ห้าที่เราแยกแยะได้ ถ้าเราไม่ตามทำความเข้าใจ เขาก็มาเล่นงานเราอีกตลอด แม้แต่สติปัญญายังเข้าข้างตัวเองอยู่ มันสลับซับซ้อนละเอียดมากมาย ถ้าเราไม่สนใจจริงๆ จะว่ายากก็ยาก จะว่าง่ายก็ง่าย ง่ายสำหรับบุคคลที่สร้างตบะ สร้างบารมี สร้างบุญมาดี หมั่นขัดเกลาเอาออก ยากสำหรับบุคคลที่ไม่สนใจไม่ฝักใฝ่ มีแต่ความโลภความโกรธเข้าครอบงำ เพียงแค่ระดับสมมติก็ยังไม่รู้จักแก้ไข เรื่องวิมุตติมันยิ่งห่างไกล ก็ต้องพยายามกันไม่เหลือวิสัย

สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกให้ชัดเจน ให้ต่อเนื่องกันสักนิดหนึ่งก็ยังดี ดีกว่าไม่ได้ทำ ทำใจให้ว่าง สมองให้โล่ง มีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเราให้ชัดเจนกันนะ

พากันไว้พระพร้อมๆ กันค่อยไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันนะ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง