หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 121
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 121
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
มีความสุขกันทุกคน วันนี้อากาศเย็นนิดเดียว เย็นใน 2-3 วัน ตอนเช้านิดหนึ่ง ปีนี้ไม่ค่อยจะหนาวเท่าไร งานไหมเขาเสร็จยัง งานไหมแล้ว แล้วไปบ่ผู้เฒ่า แล้วบ่ติ งานไหมบ่หนาวเนาะปีนี้เนาะ ความหนาวมันหายไปโลกเปลี่ยนแปลง โลกเปลี่ยนแปลงไปเยอะ หนาว ร้อน แล้วก็ฝน บรรยากาศโลกเปลี่ยนแปลง เพราะว่ามนุษย์ตัวน้อยๆ ทำลายโลกกันมาก ชั้นบรรยากาศก็เลยเปลี่ยนแปลงไปเยอะเลยตามที่ออกข่าว โลกปกคลุมไปด้วยก๊าซพิษกันเยอะ มีตั้งแต่ปลูกป่า ปลูกต้นไม้ ถึงจะคลายก๊าซพิษได้ มีตั้งแต่พากันทำลาย มันก็เลยยาก ธรรมชาติก็เลยกลับมาทำลาย ธรรมชาติข้างนอกก็พากันทำลาย ธรรมชาติภายในก็ไม่สนใจ
ธรรมชาติภายในรู้จักหรือเปล่า ธรรมชาติภายในก็คือใจที่สะอาด ใจที่บริสุทธิ์ แต่ส่วนมากก็หาตั้งแต่กิเลสเข้าไปทับถมเขาเอาไว้ ก็เลยเข้าไม่ถึงธรรมชาติภายใน ธรรมชาติภายในต้องขัดเกลา ต้องละกิเลสออกให้มันหมด ดับความเกิดให้มันได้ คลายความหลงให้ได้ คลายความหลงนี่คือคลายความคิดหรือว่าแยกรูปแยกนาม เขาถึงเรียกว่าคลาย เพียงแค่คลายแล้วก็มาละอีก มาละอีก แล้วก็มาดับความเกิดของจิตวิญญาณอีกหลายชั้นกว่าจะเข้าถึงความบริสุทธิ์ได้
จิตทุกดวงปรารถนาที่จะหาทางหลุดพ้น แต่หาไม่เป็นยิ่งดิ้นยิ่งรนเท่าไรก็ยิ่งผูกยิ่งมัด เพราะว่าไม่รู้ฐานของใจ ดับความเกิดตั้งแต่ต้นเหตุไม่ได้ มันก็ได้ตั้งแต่สร้างตบะสร้างบารมี สร้างอานิสงส์ ทำบุญให้ทาน อยู่ในระดับของสมมติ แต่ในหลักธรรมจริงๆ แล้วความเกิดเขาเกิดสักกี่เรื่อง เกิดสักกี่เที่ยว เรารู้ตั้งแต่เมื่อเขาเกิดไปแล้ว เราถึงรู้ เขาหลงมาตั้งนานตั้งแต่ยังไม่ได้เกิดโน่น หลงวนเวียนว่ายตายเกิดจนกระทั่งมาสร้างร่างของมนุษย์ มาสร้างภพของมนุษย์ ขันธ์ห้าปิดกั้นตัวเองเอาไว้ แถมยังอยากต่ออีก ยังเกิดต่ออีก ยังสร้างเหตุสร้างปัจจัยมาปิดตัวเองอีก ปิดตัวใจอีก อีรุงตุงนังเหมือนกับใยแมงมุม สร้างสานปิดตัวเอาไว้ก็ยังไม่รู้ นอกจากปัญญาของพระพุทธองค์
เพียงแค่เรื่องการขบการฉัน เรื่องอาหาร การอยู่การกิน เราก็ยังไม่เข้าใจว่า ใจของเราเกิดความอยากหรือว่ากายเกิดความหิว เราจะบริหารตรงนี้ได้อย่างไร เราจะเอาอาหารมาให้กายได้อย่างไร ใจเกิดความยินดี ใจเกิดความยินร้าย ต้องหัดสังเกต หัดวิเคราะห์ ปฏิบัติธรรมก็ไม่รู้จักธรรม ตื่นขึ้นมามีตั้งแต่เสียงเหมือนกับนกกระจอกคุยกันเจี๊ยว อยู่คนเดียวก็เฟี้ยวฟ้าวๆ เจี๊ยวคุยกัน แทนที่จะคุยกับใจ สติปัญญาคุยกับใจ อบรมใจ สติปัญญาเป็นเพื่อนใจ นิ่ง เงียบ เรียบ ง่าย ขยันหมั่นเพียร นั่นถึงจะถึงจุดหมายได้เร็ว
อีกสักหน่อยก็ตายจากกัน ไม่ได้ ไม่มีใครอยู่ได้นานหรอก ไม่เกินร้อยปีสูงสุด เกินร้อยปีนี่ค่อนข้างยากเพียงแค่ 50-60 นี่ก็เอาการอยู่ ไม่ได้อยู่ได้นาน คนเรากลัวตาย แต่ไม่รู้จักหาวิธีแนวทาง กายมันแตกดับใจมันจะไปอย่างไร เราต้องดูแลใจของเราด้วย รักษากายของเราด้วย กายของเรารักษาได้ระดับหนึ่ง ถึงเวลามันก็ต้องแตกต้องดับ มันทนทานอยู่ไม่ได้เพราะว่าเป็นก้อนทุกข์ ยืมโลกเขามาใช้ แล้วก็มาหลงมายึด ที่หลวงพ่อพูดทีนี้ก็ไม่รู้จะอยู่กับพวกท่านไปได้นานสักเท่าไร เพราะว่าสภาพร่างกายมันก็เสื่อมโทรมลงทุกวัน แต่ก็อาศัยร่างกายสร้างอานิสงส์สร้างบุญ พาหมู่คณะ พาพี่พาน้องสร้างบุญทั้งสมมติบุญทั้งวิมุตติ บุญวิมุตติ บุญขัดเกลากิเลสนี่คือสำหรับตัวบุคคลเอง บุญทางด้านสมมติก็พาทำพาสร้างอยู่มีโอกาสเราก็ได้ร่วมกัน
เห็นว่าทางพญานาคเห็นพวงมาลัยเต็มไปหมดแล้ว คนเรา อานิสงส์พญานาคให้โชคว่าอย่างนั้น พอได้โชคคนโน้นคนนี้ก็มาเอาพวงมาลัยไปวางเสียจนเต็มหมด แต่ก็ยังดับทุกข์ไม่ได้นะ สิ่งที่จะดับทุกข์ได้ เราก็ต้องมาเจริญสติเข้าไปเห็นเหตุเห็นผล แยกรูปแยกนาม ตามดู คลายความหลง แล้วก็ละกิเลสให้ได้ ดับความเกิดให้ได้ เราละได้มากเท่าไรใจของเราก็สะอาดมากขึ้นเท่านั้น ถ้าเราไม่รู้จักละ เพิ่มตั้งแต่ความอยาก มันก็ปิดกั้นเอาไว้เยอะมากขึ้นไปเป็นทวีคูณ สะสมไปเรื่อยๆ จากหนึ่งครั้ง 2 ครั้ง 3 ครั้ง มันก็มากขึ้นๆ ถ้าเราขัดเราเกลา เราเอาออกไปเรื่อยๆ มันก็เบาบางลงไปเรื่อยๆ จนกว่ามันจะสะอาดบริสุทธิ์ ละความโลภ ละความโกรธ ละความตระหนี่เหนียวแน่น เพิ่มความขยัน เพิ่มความรับผิดชอบ เพิ่มความเสียสละ เสียสละกับส่วนตัวให้ตัวเอง ให้กับส่วนรวม ความเสียสละไม่มี มีแต่ความเกียจคร้านเข้าครอบงำ ไม่มีความรับผิดชอบ มีแต่ความเห็นแก่ตัว ไปที่ไหนกายก็หนัก ใจก็หนัก หนักตัวเอง หนักสถานที่ หนักคนอื่น ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ใช้ตัวเองไม่ได้ มีตั้งแต่จะแบกความทุกข์ ไปโน่นก็ทุกข์ ไปนี่ก็ทุกข์ ก็ไม่เข้าใจ
เราต้องพยายามศึกษาทำความเข้าใจให้ถูกต้อง ใจที่ปราศจากกิเลสเป็นอย่างนี้ ใจที่ไม่เกิดเป็นอย่างนี้ สิ่งเล็กๆ น้อยๆ ความอยาก ความยินดียินร้าย อยากในรูป ในรส ในกลิ่นในเสียง พระพุทธองค์ท่านสอนเรื่องอะไรเราต้องศึกษา สอนเรื่องชีวิตของเรา การดำาเนินชีวิตของเรา การช่วยเหลือ การอนุเคราะห์ ต่อไปในวันข้างหน้า ไม่ใช่เฉพาะวันข้างหน้านับตั้งแต่เวลานี้เป็นต้นไป ที่วัดของเรานี่เหล่ามนุษย์เหล่าเทวดาจะหลั่งไหลมามาก เพราะว่าอานิสงส์บุญอยู่ที่ไหน เหล่ามนุษย์เหล่าเทวดาก็ย่อมจะหลั่งไหลมา เราก็ช่วยกันอนุเคราะห์กัน ทางแม่ครัว ทางโรงทาน หนักเอาการอยู่เหมือนกันนะ คนที่มีความเสียสละมาทำให้หมู่ให้คณะได้นี้มันก็ยาก ถ้าไม่มีความเสียสละจริงๆ นี่ก็ยาก
มีอะไรเราก็ช่วยกัน ทำโรงทานเท่าที่กําลังของเรามี แต่ความพร้อมของเราเยอะ แต่กําลังของเรามันมีน้อย คนทำมีน้อย คนใช้มันเยอะ เราต้องช่วยกัน ช่วยกันทำ บางทีนี่ก็กินแล้วก็ไม่รู้จักล้างก็มี ทิ้งมันเกลื่อนไปทั่วก็มี มันก็ยากอยู่ ถ้าไม่ฝึกตน ฝึกตัวเรา ฝึกแก้ไขตัวเรา ฝึกความขยันหมั่นเพียร ฝึกให้ฝึกเอาออก ฝึกความรับผิดชอบ ฝึกให้เป็นบุคคลที่มีความเป็นระเบียบเรียบร้อย เราก็ได้อานิสงส์อยู่ในตัว ความขยันหมั่นเพียรอยู่ในตัว ได้ความเสียสละอยู่ในตัว ถ้าความเสียสละไม่มี มันทำให้ไม่ได้ คนทั่วไปจะเอาตั้งแต่ผล แต่ต้นไม่ค่อยจะสนใจทำ
ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี พระเราก็เหมือนกัน ชีเราก็เหมือนกัน ให้ขยันหมั่นเพียร นึกว่าบวชเข้ามาแล้ว สติก็ไม่รู้จัก ทำใจก็ยังไม่รู้จัก มีแต่ความมืดบอด มีแต่ความเกียจคร้านเข้าครอบงำ เอาตั้งแต่ชิงดีชิงเด่น กูดี มึงดี มึงดัง มึงเด่น มันก็ตายกันหมดทุกคนนั่นแหละ ก่อนที่จะตายก็ให้รู้ใจตัวเอง ให้รู้หนทางเดินว่าเราจะได้ไปอย่างไรมาอย่างไร อะไรควรทำ อะไรควรสร้าง สร้างขึ้นมาให้เกิดประโยชน์ ฝากเอาไว้ในโลกในสมมติ ตื่นขึ้นมาแล้วก็หลวงพ่อก็มีโอกาส กําลังกายก็เหลืออยู่นิดเดียว ไม่เหลืออยู่เยอะ แต่ละวันๆ มีกําลังก็พา พามีอะไรก็ช่วยกันทำ ทางลานเจดีย์ก็ดูแลต้นไม้ พระเราชีเราว่างๆ ก็ดูแลรดต้นไม้ ให้ได้สวยได้งาม ปลูกต้นไม้ปลูกดอกไม้ ทางครัวก็ช่วยกัน ทางลานมหาเจดีย์ก็ช่วยกัน ใครเข้ามาก็ให้ได้รับความสุข เพียงแค่ย่างกรายเดินเข้ามาจิตใจก็มีความสุข ยิ่งอยู่ด้วยกันเยอะๆ หลายคนหลายท่าน ก็เพิ่มความขยัน อย่าเอาความเกียจคร้านเข้ามาใส่ตัวเอง เพิ่มความขยันหมั่นเพียร
สมัยก่อนไม่เป็นอย่างนี้หรอก ทั้งกลางวันทั้งกลางคืนเนี่ยหลวงพ่อไม่ค่อยได้นอนหรอก ทำความสะอาด ตั้งแต่ปากทางโน่น ถนนหนทางเป็นทะเลก็เอาดินไปถมไปขนใส่ดึกๆ ดื่นๆ ตี 4 ตี 5 ก็ไปเกลี่ยดิน ทำถนนอยู่คนเดียว กลางค่ำกลางคืนมาก็มานอนอยู่ตามหลุมศพโน้นหลุมนี้ ถ้วยชามไม่มีก็เก็บถ้วยชามจากหลุมศพไปไว้ใส่กับข้าวกับปลา ถนนหนทางไม่มี เวลาเช้าฉันข้าว ตอนเช้าไม่ได้อยู่อย่างนี้หรอก ไปฉันข้าวตามถนนหนทาง เพราะว่าอะไร เช้าเนี่ยเวลาฉันข้าวก็ให้โยมผู้เฒ่าผู้แก่พากันขุดรากเพ็กออกไปด้วย ทำถนนไปด้วย กว่าจะปลูกต้นไม้ได้แต่ละจุดแต่ละชิ้นแต่ละส่วน ต้องเอารากเพ็กออกเอาหนามออก ดอกไผ่นี่ก็เหมือนกัน เพียงแค่ขีดนิดเดียวเอามาปลูกมาดูแลรักษา บางทีเกิดก่อนพวกท่านก็มี ยังจะพากันเกียจคร้าน
ต้องเป็นคนขยันหมั่นเพียรเป็นเลิศ ทั้งขัดเกลากิเลสเป็นเลิศ มีความรับผิดชอบ มีความเสียสละ ไม่เห็นแก่ตัว เพียงแค่ระดับสมมติก็ขยันหมั่นเพียรไปเถอะ จะเอาตั้งแต่ผล จะเอาตั้งแต่ความสะดวกสบาย หนักไม่เอาเบาไม่สู้ มันจะไปรู้ธรรมได้อย่างไร ต้องผ่านหนักผ่านเบา ผ่านความขยันหมั่นเพียร ผ่านความรับผิดชอบให้มันเต็มเปี่ยม เราขัดเกลา ใจเกิดเมื่อไร ใจไม่มีกิเลส ใจละคลี่คลายจากความคิดเป็นอย่างไร การแยกรูปแยกนามเป็นอย่างไร สติที่ต่อเนื่องกันเป็นอย่างไร
พากันวิเคราะห์สังเกตตัวเราทุกอิริยาบถ ยืน เดิน นั่ง นอน กินอยู่ ขับถ่าย ไม่ใช่ว่าจะให้มันได้เลย ทั้งภายนอกภายใน สมมติภายนอกก็ขยัน ทำให้มีให้เกิด รู้จักประโยชน์ ประโยชน์มากประโยชน์น้อย ประโยชน์ใกล้ประโยชน์ไกล ประโยชน์ส่วนรวม ประโยชน์ส่วนตัวนี่อย่าให้มี จงมีแต่ประโยชน์ส่วนรวม เราก็พลอยได้รับอานิสงส์ในสิ่งที่พวกเราทำ ส่วนมากก็มีตั้งแต่เห็นแก่ตัว ไม่เห็นแก่ส่วนรวม เห็นแต่ความเกียจคร้าน มันก็เลยห่างไกลธรรม ก็ต้องพยายามนะ พยายามเอา ไม่เหลือวิสัยกัน
ตั้งใจรับพร
ขอให้ทุกคนจงเจริญสติ สร้างรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเราให้ชัดเจน นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียกไปด้วย ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา การสร้างความรู้ตัวเคยสร้างให้ต่อเนื่องกันแล้วหรือยัง ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ สัก 2-3 เที่ยว การสูดลมหายใจยาว ผ่อนลมหายใจยาว กายของเราก็จะสบายขึ้นเยอะ ใจของเราก็จะสงบตั้งมั่นขึ้น ความรู้สึกรับรู้เวลาลมกระทบปลายจมูก นั่นแหละเขาเรียกว่าสติรู้กาย ถ้าเรารู้ให้ต่อเนื่อง ทั้งลมเข้าลมออก ลมเข้าลมออก เขาเรียกว่าสัมปชัญญะ มีความรู้ตัวทั่วพร้อม
เพียงแค่เรื่องการหายใจเข้าออกก็ขาดการสนใจ ทั้งที่หายใจตั้งแต่เกิด เราก็ไม่ค่อยจะสนใจกัน คิดก็รู้ ทำก็รู้ ความเกิดนั่นน่ะคือความหลงปิดกั้นเอาไว้ชั้นแรกเลย หลงตั้งแต่ยังไม่ได้มีกายเนื้อ ตัวจิตตัววิญญาณเขาหลงเกิด หลงเกิด ล่องลอยเกิดไปทั่ว อยู่ในภพน้อยภพใหญ่จนกระทั่งอยู่ในเข้ามาเกิดในภพของมนุษย์ มาสร้างขันธ์ห้ามาปิดกั้นตัวเองอีก ตัววิญญาณในขันธ์ห้าของเรา ที่พระพุทธองค์ท่านบอกว่าเป็นกองเป็นขันธ์ เป็นกองอย่างไรเป็นขันธ์อย่างไร มาสร้างพบมนุษย์ก็ยังมาไม่พอ หลงแล้วนะ หลงเข้ามาเกิด หลงตั้งแต่ยังไม่ไม่ได้มาเกิด พอมาเกิดมาสร้างภพมนุษย์นี่ก็มาหลง มาสร้างขันธ์ห้าปิดกั้นตัวเองเอาไว้ก็มาหลงมายึดอีก มายึดขันธ์ห้า แล้วก็ไปยึดเอาภายนอกอีก ไปยึดเอาอันโน้นก็เป็นของเรา อันนี้ก็เป็นของเรา
ท่านถึงให้ได้มาเจริญสติเข้าลงที่กาย แล้วก็หัดสังเกต หัดรู้ให้เท่าทัน รู้ไม่ทันก็ดับเอาไว้ หยุดเอาไว้ ซึ่งถ้าท่านเรียกว่าสมถะ หยุดใจของเราให้สงบให้นิ่ง หัดสังเกตว่าเขาเกิดอย่างไร ขันธ์ห้าเป็นลักษณะอย่างไร ที่ท่านว่าเป็นกองเป็นขันธ์ ใจของเราเข้าไปรวมเป็นตัวเดียวกันได้อย่างไร นอกจากบุคคลที่มาเจริญสติที่ต่อเนื่องเร็วไว วิเคราะห์หัดสังเกตสักวันก็จะเห็น ไม่เห็นช่วงนี้ก็จะเห็นช่วงหน้า ตราบใดที่เราเจริญสติให้ต่อเนื่อง ขอให้เรามีศรัทธาน้อมเข้ามา แล้วก็ทำให้ถึงพร้อม ขยันหมั่นเพียรให้เป็นเลิศ ขัดเกลากิเลสออกให้มันหมดจด
คนเราทั่วไปนั้นก็ไม่อยากจะหลง ไม่อยากจะเป็นทาสของกิเลส เพราะความไม่รู้ความไม่เข้าใจ แล้วบางทีก็ดิ้นรนแสวงหายิ่งปิดกั้นตัวเอง ท่านให้ละทั้งความอยาก ละทั้งความหวัง ทำใจของเราให้เป็นกลาง ทำอย่างไรถึงจะเป็นกลางได้ ตอนนี้ทั้งหลงด้วย ยึดด้วย สารพัดอย่าง เราต้องมาเจริญสติเข้าไป ชี้เหตุชี้ผล เห็นเหตุเห็นผล ตามดูเหตุดูผล จนหมดความสงสัย หมดความลังเล แล้วก็ขัดเกลากิเลส ละกิเลสออกให้มันหมด พูดง่าย แต่การลงมือมันยาก แต่ก็ไม่เหลือวิสัย ก็ต้องพยายามเอา ไม่เหลือ ไม่เกินกว่าเหตุ ธรรมมีกันทุกคน จะอยู่ในระดับไหนเท่านั้น ตัวใจนั่นแหละคือตัวธรรม เราต้องพยายาม มันไม่เหลือวิสัยหรอก แต่เวลานี้กําลังสติมีน้อย ภายใน 5 นาทีนี่สร้างให้ได้ 5 นาทีก็ต้องยาก การเอาไปใช้มันก็ต้องยากอีก เอาบุญก็ยังดีนะ มาช่วยกันสร้างเจดีย์ให้มันเสร็จจะได้บุญ สร้างสมมติกองเบ้อเริ่ม ฝากเอาไว้ไม่ได้ตกอับ มีอะไรที่จะเป็นบุญเป็นประโยชน์ เราก็ช่วยกันทำ ส่วนการละกิเลสดับความเกิดนั้นก็ขึ้นอยู่กับความเพียร เป็นชั้นเลิศของแต่ละบุคคล
สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเขาออกให้ชัดเจน ให้ต่อเนื่องกันสักนิดหนึ่งก็ยังดี ดีกว่าไม่ได้ทำ
พากันไปไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปศึกษาทำความเข้าใจต่อกันเอานะ
ธรรมชาติภายในรู้จักหรือเปล่า ธรรมชาติภายในก็คือใจที่สะอาด ใจที่บริสุทธิ์ แต่ส่วนมากก็หาตั้งแต่กิเลสเข้าไปทับถมเขาเอาไว้ ก็เลยเข้าไม่ถึงธรรมชาติภายใน ธรรมชาติภายในต้องขัดเกลา ต้องละกิเลสออกให้มันหมด ดับความเกิดให้มันได้ คลายความหลงให้ได้ คลายความหลงนี่คือคลายความคิดหรือว่าแยกรูปแยกนาม เขาถึงเรียกว่าคลาย เพียงแค่คลายแล้วก็มาละอีก มาละอีก แล้วก็มาดับความเกิดของจิตวิญญาณอีกหลายชั้นกว่าจะเข้าถึงความบริสุทธิ์ได้
จิตทุกดวงปรารถนาที่จะหาทางหลุดพ้น แต่หาไม่เป็นยิ่งดิ้นยิ่งรนเท่าไรก็ยิ่งผูกยิ่งมัด เพราะว่าไม่รู้ฐานของใจ ดับความเกิดตั้งแต่ต้นเหตุไม่ได้ มันก็ได้ตั้งแต่สร้างตบะสร้างบารมี สร้างอานิสงส์ ทำบุญให้ทาน อยู่ในระดับของสมมติ แต่ในหลักธรรมจริงๆ แล้วความเกิดเขาเกิดสักกี่เรื่อง เกิดสักกี่เที่ยว เรารู้ตั้งแต่เมื่อเขาเกิดไปแล้ว เราถึงรู้ เขาหลงมาตั้งนานตั้งแต่ยังไม่ได้เกิดโน่น หลงวนเวียนว่ายตายเกิดจนกระทั่งมาสร้างร่างของมนุษย์ มาสร้างภพของมนุษย์ ขันธ์ห้าปิดกั้นตัวเองเอาไว้ แถมยังอยากต่ออีก ยังเกิดต่ออีก ยังสร้างเหตุสร้างปัจจัยมาปิดตัวเองอีก ปิดตัวใจอีก อีรุงตุงนังเหมือนกับใยแมงมุม สร้างสานปิดตัวเอาไว้ก็ยังไม่รู้ นอกจากปัญญาของพระพุทธองค์
เพียงแค่เรื่องการขบการฉัน เรื่องอาหาร การอยู่การกิน เราก็ยังไม่เข้าใจว่า ใจของเราเกิดความอยากหรือว่ากายเกิดความหิว เราจะบริหารตรงนี้ได้อย่างไร เราจะเอาอาหารมาให้กายได้อย่างไร ใจเกิดความยินดี ใจเกิดความยินร้าย ต้องหัดสังเกต หัดวิเคราะห์ ปฏิบัติธรรมก็ไม่รู้จักธรรม ตื่นขึ้นมามีตั้งแต่เสียงเหมือนกับนกกระจอกคุยกันเจี๊ยว อยู่คนเดียวก็เฟี้ยวฟ้าวๆ เจี๊ยวคุยกัน แทนที่จะคุยกับใจ สติปัญญาคุยกับใจ อบรมใจ สติปัญญาเป็นเพื่อนใจ นิ่ง เงียบ เรียบ ง่าย ขยันหมั่นเพียร นั่นถึงจะถึงจุดหมายได้เร็ว
อีกสักหน่อยก็ตายจากกัน ไม่ได้ ไม่มีใครอยู่ได้นานหรอก ไม่เกินร้อยปีสูงสุด เกินร้อยปีนี่ค่อนข้างยากเพียงแค่ 50-60 นี่ก็เอาการอยู่ ไม่ได้อยู่ได้นาน คนเรากลัวตาย แต่ไม่รู้จักหาวิธีแนวทาง กายมันแตกดับใจมันจะไปอย่างไร เราต้องดูแลใจของเราด้วย รักษากายของเราด้วย กายของเรารักษาได้ระดับหนึ่ง ถึงเวลามันก็ต้องแตกต้องดับ มันทนทานอยู่ไม่ได้เพราะว่าเป็นก้อนทุกข์ ยืมโลกเขามาใช้ แล้วก็มาหลงมายึด ที่หลวงพ่อพูดทีนี้ก็ไม่รู้จะอยู่กับพวกท่านไปได้นานสักเท่าไร เพราะว่าสภาพร่างกายมันก็เสื่อมโทรมลงทุกวัน แต่ก็อาศัยร่างกายสร้างอานิสงส์สร้างบุญ พาหมู่คณะ พาพี่พาน้องสร้างบุญทั้งสมมติบุญทั้งวิมุตติ บุญวิมุตติ บุญขัดเกลากิเลสนี่คือสำหรับตัวบุคคลเอง บุญทางด้านสมมติก็พาทำพาสร้างอยู่มีโอกาสเราก็ได้ร่วมกัน
เห็นว่าทางพญานาคเห็นพวงมาลัยเต็มไปหมดแล้ว คนเรา อานิสงส์พญานาคให้โชคว่าอย่างนั้น พอได้โชคคนโน้นคนนี้ก็มาเอาพวงมาลัยไปวางเสียจนเต็มหมด แต่ก็ยังดับทุกข์ไม่ได้นะ สิ่งที่จะดับทุกข์ได้ เราก็ต้องมาเจริญสติเข้าไปเห็นเหตุเห็นผล แยกรูปแยกนาม ตามดู คลายความหลง แล้วก็ละกิเลสให้ได้ ดับความเกิดให้ได้ เราละได้มากเท่าไรใจของเราก็สะอาดมากขึ้นเท่านั้น ถ้าเราไม่รู้จักละ เพิ่มตั้งแต่ความอยาก มันก็ปิดกั้นเอาไว้เยอะมากขึ้นไปเป็นทวีคูณ สะสมไปเรื่อยๆ จากหนึ่งครั้ง 2 ครั้ง 3 ครั้ง มันก็มากขึ้นๆ ถ้าเราขัดเราเกลา เราเอาออกไปเรื่อยๆ มันก็เบาบางลงไปเรื่อยๆ จนกว่ามันจะสะอาดบริสุทธิ์ ละความโลภ ละความโกรธ ละความตระหนี่เหนียวแน่น เพิ่มความขยัน เพิ่มความรับผิดชอบ เพิ่มความเสียสละ เสียสละกับส่วนตัวให้ตัวเอง ให้กับส่วนรวม ความเสียสละไม่มี มีแต่ความเกียจคร้านเข้าครอบงำ ไม่มีความรับผิดชอบ มีแต่ความเห็นแก่ตัว ไปที่ไหนกายก็หนัก ใจก็หนัก หนักตัวเอง หนักสถานที่ หนักคนอื่น ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ใช้ตัวเองไม่ได้ มีตั้งแต่จะแบกความทุกข์ ไปโน่นก็ทุกข์ ไปนี่ก็ทุกข์ ก็ไม่เข้าใจ
เราต้องพยายามศึกษาทำความเข้าใจให้ถูกต้อง ใจที่ปราศจากกิเลสเป็นอย่างนี้ ใจที่ไม่เกิดเป็นอย่างนี้ สิ่งเล็กๆ น้อยๆ ความอยาก ความยินดียินร้าย อยากในรูป ในรส ในกลิ่นในเสียง พระพุทธองค์ท่านสอนเรื่องอะไรเราต้องศึกษา สอนเรื่องชีวิตของเรา การดำาเนินชีวิตของเรา การช่วยเหลือ การอนุเคราะห์ ต่อไปในวันข้างหน้า ไม่ใช่เฉพาะวันข้างหน้านับตั้งแต่เวลานี้เป็นต้นไป ที่วัดของเรานี่เหล่ามนุษย์เหล่าเทวดาจะหลั่งไหลมามาก เพราะว่าอานิสงส์บุญอยู่ที่ไหน เหล่ามนุษย์เหล่าเทวดาก็ย่อมจะหลั่งไหลมา เราก็ช่วยกันอนุเคราะห์กัน ทางแม่ครัว ทางโรงทาน หนักเอาการอยู่เหมือนกันนะ คนที่มีความเสียสละมาทำให้หมู่ให้คณะได้นี้มันก็ยาก ถ้าไม่มีความเสียสละจริงๆ นี่ก็ยาก
มีอะไรเราก็ช่วยกัน ทำโรงทานเท่าที่กําลังของเรามี แต่ความพร้อมของเราเยอะ แต่กําลังของเรามันมีน้อย คนทำมีน้อย คนใช้มันเยอะ เราต้องช่วยกัน ช่วยกันทำ บางทีนี่ก็กินแล้วก็ไม่รู้จักล้างก็มี ทิ้งมันเกลื่อนไปทั่วก็มี มันก็ยากอยู่ ถ้าไม่ฝึกตน ฝึกตัวเรา ฝึกแก้ไขตัวเรา ฝึกความขยันหมั่นเพียร ฝึกให้ฝึกเอาออก ฝึกความรับผิดชอบ ฝึกให้เป็นบุคคลที่มีความเป็นระเบียบเรียบร้อย เราก็ได้อานิสงส์อยู่ในตัว ความขยันหมั่นเพียรอยู่ในตัว ได้ความเสียสละอยู่ในตัว ถ้าความเสียสละไม่มี มันทำให้ไม่ได้ คนทั่วไปจะเอาตั้งแต่ผล แต่ต้นไม่ค่อยจะสนใจทำ
ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี พระเราก็เหมือนกัน ชีเราก็เหมือนกัน ให้ขยันหมั่นเพียร นึกว่าบวชเข้ามาแล้ว สติก็ไม่รู้จัก ทำใจก็ยังไม่รู้จัก มีแต่ความมืดบอด มีแต่ความเกียจคร้านเข้าครอบงำ เอาตั้งแต่ชิงดีชิงเด่น กูดี มึงดี มึงดัง มึงเด่น มันก็ตายกันหมดทุกคนนั่นแหละ ก่อนที่จะตายก็ให้รู้ใจตัวเอง ให้รู้หนทางเดินว่าเราจะได้ไปอย่างไรมาอย่างไร อะไรควรทำ อะไรควรสร้าง สร้างขึ้นมาให้เกิดประโยชน์ ฝากเอาไว้ในโลกในสมมติ ตื่นขึ้นมาแล้วก็หลวงพ่อก็มีโอกาส กําลังกายก็เหลืออยู่นิดเดียว ไม่เหลืออยู่เยอะ แต่ละวันๆ มีกําลังก็พา พามีอะไรก็ช่วยกันทำ ทางลานเจดีย์ก็ดูแลต้นไม้ พระเราชีเราว่างๆ ก็ดูแลรดต้นไม้ ให้ได้สวยได้งาม ปลูกต้นไม้ปลูกดอกไม้ ทางครัวก็ช่วยกัน ทางลานมหาเจดีย์ก็ช่วยกัน ใครเข้ามาก็ให้ได้รับความสุข เพียงแค่ย่างกรายเดินเข้ามาจิตใจก็มีความสุข ยิ่งอยู่ด้วยกันเยอะๆ หลายคนหลายท่าน ก็เพิ่มความขยัน อย่าเอาความเกียจคร้านเข้ามาใส่ตัวเอง เพิ่มความขยันหมั่นเพียร
สมัยก่อนไม่เป็นอย่างนี้หรอก ทั้งกลางวันทั้งกลางคืนเนี่ยหลวงพ่อไม่ค่อยได้นอนหรอก ทำความสะอาด ตั้งแต่ปากทางโน่น ถนนหนทางเป็นทะเลก็เอาดินไปถมไปขนใส่ดึกๆ ดื่นๆ ตี 4 ตี 5 ก็ไปเกลี่ยดิน ทำถนนอยู่คนเดียว กลางค่ำกลางคืนมาก็มานอนอยู่ตามหลุมศพโน้นหลุมนี้ ถ้วยชามไม่มีก็เก็บถ้วยชามจากหลุมศพไปไว้ใส่กับข้าวกับปลา ถนนหนทางไม่มี เวลาเช้าฉันข้าว ตอนเช้าไม่ได้อยู่อย่างนี้หรอก ไปฉันข้าวตามถนนหนทาง เพราะว่าอะไร เช้าเนี่ยเวลาฉันข้าวก็ให้โยมผู้เฒ่าผู้แก่พากันขุดรากเพ็กออกไปด้วย ทำถนนไปด้วย กว่าจะปลูกต้นไม้ได้แต่ละจุดแต่ละชิ้นแต่ละส่วน ต้องเอารากเพ็กออกเอาหนามออก ดอกไผ่นี่ก็เหมือนกัน เพียงแค่ขีดนิดเดียวเอามาปลูกมาดูแลรักษา บางทีเกิดก่อนพวกท่านก็มี ยังจะพากันเกียจคร้าน
ต้องเป็นคนขยันหมั่นเพียรเป็นเลิศ ทั้งขัดเกลากิเลสเป็นเลิศ มีความรับผิดชอบ มีความเสียสละ ไม่เห็นแก่ตัว เพียงแค่ระดับสมมติก็ขยันหมั่นเพียรไปเถอะ จะเอาตั้งแต่ผล จะเอาตั้งแต่ความสะดวกสบาย หนักไม่เอาเบาไม่สู้ มันจะไปรู้ธรรมได้อย่างไร ต้องผ่านหนักผ่านเบา ผ่านความขยันหมั่นเพียร ผ่านความรับผิดชอบให้มันเต็มเปี่ยม เราขัดเกลา ใจเกิดเมื่อไร ใจไม่มีกิเลส ใจละคลี่คลายจากความคิดเป็นอย่างไร การแยกรูปแยกนามเป็นอย่างไร สติที่ต่อเนื่องกันเป็นอย่างไร
พากันวิเคราะห์สังเกตตัวเราทุกอิริยาบถ ยืน เดิน นั่ง นอน กินอยู่ ขับถ่าย ไม่ใช่ว่าจะให้มันได้เลย ทั้งภายนอกภายใน สมมติภายนอกก็ขยัน ทำให้มีให้เกิด รู้จักประโยชน์ ประโยชน์มากประโยชน์น้อย ประโยชน์ใกล้ประโยชน์ไกล ประโยชน์ส่วนรวม ประโยชน์ส่วนตัวนี่อย่าให้มี จงมีแต่ประโยชน์ส่วนรวม เราก็พลอยได้รับอานิสงส์ในสิ่งที่พวกเราทำ ส่วนมากก็มีตั้งแต่เห็นแก่ตัว ไม่เห็นแก่ส่วนรวม เห็นแต่ความเกียจคร้าน มันก็เลยห่างไกลธรรม ก็ต้องพยายามนะ พยายามเอา ไม่เหลือวิสัยกัน
ตั้งใจรับพร
ขอให้ทุกคนจงเจริญสติ สร้างรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเราให้ชัดเจน นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียกไปด้วย ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา การสร้างความรู้ตัวเคยสร้างให้ต่อเนื่องกันแล้วหรือยัง ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ สัก 2-3 เที่ยว การสูดลมหายใจยาว ผ่อนลมหายใจยาว กายของเราก็จะสบายขึ้นเยอะ ใจของเราก็จะสงบตั้งมั่นขึ้น ความรู้สึกรับรู้เวลาลมกระทบปลายจมูก นั่นแหละเขาเรียกว่าสติรู้กาย ถ้าเรารู้ให้ต่อเนื่อง ทั้งลมเข้าลมออก ลมเข้าลมออก เขาเรียกว่าสัมปชัญญะ มีความรู้ตัวทั่วพร้อม
เพียงแค่เรื่องการหายใจเข้าออกก็ขาดการสนใจ ทั้งที่หายใจตั้งแต่เกิด เราก็ไม่ค่อยจะสนใจกัน คิดก็รู้ ทำก็รู้ ความเกิดนั่นน่ะคือความหลงปิดกั้นเอาไว้ชั้นแรกเลย หลงตั้งแต่ยังไม่ได้มีกายเนื้อ ตัวจิตตัววิญญาณเขาหลงเกิด หลงเกิด ล่องลอยเกิดไปทั่ว อยู่ในภพน้อยภพใหญ่จนกระทั่งอยู่ในเข้ามาเกิดในภพของมนุษย์ มาสร้างขันธ์ห้ามาปิดกั้นตัวเองอีก ตัววิญญาณในขันธ์ห้าของเรา ที่พระพุทธองค์ท่านบอกว่าเป็นกองเป็นขันธ์ เป็นกองอย่างไรเป็นขันธ์อย่างไร มาสร้างพบมนุษย์ก็ยังมาไม่พอ หลงแล้วนะ หลงเข้ามาเกิด หลงตั้งแต่ยังไม่ไม่ได้มาเกิด พอมาเกิดมาสร้างภพมนุษย์นี่ก็มาหลง มาสร้างขันธ์ห้าปิดกั้นตัวเองเอาไว้ก็มาหลงมายึดอีก มายึดขันธ์ห้า แล้วก็ไปยึดเอาภายนอกอีก ไปยึดเอาอันโน้นก็เป็นของเรา อันนี้ก็เป็นของเรา
ท่านถึงให้ได้มาเจริญสติเข้าลงที่กาย แล้วก็หัดสังเกต หัดรู้ให้เท่าทัน รู้ไม่ทันก็ดับเอาไว้ หยุดเอาไว้ ซึ่งถ้าท่านเรียกว่าสมถะ หยุดใจของเราให้สงบให้นิ่ง หัดสังเกตว่าเขาเกิดอย่างไร ขันธ์ห้าเป็นลักษณะอย่างไร ที่ท่านว่าเป็นกองเป็นขันธ์ ใจของเราเข้าไปรวมเป็นตัวเดียวกันได้อย่างไร นอกจากบุคคลที่มาเจริญสติที่ต่อเนื่องเร็วไว วิเคราะห์หัดสังเกตสักวันก็จะเห็น ไม่เห็นช่วงนี้ก็จะเห็นช่วงหน้า ตราบใดที่เราเจริญสติให้ต่อเนื่อง ขอให้เรามีศรัทธาน้อมเข้ามา แล้วก็ทำให้ถึงพร้อม ขยันหมั่นเพียรให้เป็นเลิศ ขัดเกลากิเลสออกให้มันหมดจด
คนเราทั่วไปนั้นก็ไม่อยากจะหลง ไม่อยากจะเป็นทาสของกิเลส เพราะความไม่รู้ความไม่เข้าใจ แล้วบางทีก็ดิ้นรนแสวงหายิ่งปิดกั้นตัวเอง ท่านให้ละทั้งความอยาก ละทั้งความหวัง ทำใจของเราให้เป็นกลาง ทำอย่างไรถึงจะเป็นกลางได้ ตอนนี้ทั้งหลงด้วย ยึดด้วย สารพัดอย่าง เราต้องมาเจริญสติเข้าไป ชี้เหตุชี้ผล เห็นเหตุเห็นผล ตามดูเหตุดูผล จนหมดความสงสัย หมดความลังเล แล้วก็ขัดเกลากิเลส ละกิเลสออกให้มันหมด พูดง่าย แต่การลงมือมันยาก แต่ก็ไม่เหลือวิสัย ก็ต้องพยายามเอา ไม่เหลือ ไม่เกินกว่าเหตุ ธรรมมีกันทุกคน จะอยู่ในระดับไหนเท่านั้น ตัวใจนั่นแหละคือตัวธรรม เราต้องพยายาม มันไม่เหลือวิสัยหรอก แต่เวลานี้กําลังสติมีน้อย ภายใน 5 นาทีนี่สร้างให้ได้ 5 นาทีก็ต้องยาก การเอาไปใช้มันก็ต้องยากอีก เอาบุญก็ยังดีนะ มาช่วยกันสร้างเจดีย์ให้มันเสร็จจะได้บุญ สร้างสมมติกองเบ้อเริ่ม ฝากเอาไว้ไม่ได้ตกอับ มีอะไรที่จะเป็นบุญเป็นประโยชน์ เราก็ช่วยกันทำ ส่วนการละกิเลสดับความเกิดนั้นก็ขึ้นอยู่กับความเพียร เป็นชั้นเลิศของแต่ละบุคคล
สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเขาออกให้ชัดเจน ให้ต่อเนื่องกันสักนิดหนึ่งก็ยังดี ดีกว่าไม่ได้ทำ
พากันไปไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปศึกษาทำความเข้าใจต่อกันเอานะ