หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 117
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 117
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
มีความสุขกันทุกคน ดูดีๆนะ พระเราชีเรา พิจารณาปฏิสังขาโย อย่าไปปล่อยโอกาสทิ้ง อย่าไปปล่อยเวลาทิ้ง ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ สํารวจกายของเรา สํารวจใจของเรา อย่าไปปล่อยเวลาโน้นเวลานี้ รู้ว่าใจปกติเป็นลักษณะอย่างนี้ ความคิดเริ่มเกิดก่อตัวเป็นอย่างนี้ ความรู้ตัวพลั้งเผลอได้อย่างไร เราก็พยายามเริ่ม พยายามหัดวิเคราะห์ หัดสังเกต อย่าไปปล่อยเลยตามเลย
ส่วนการขัดเกลากิเลส เราต้องพยายาม ขัดเกลากิเลสของเราตลอดเวลาตั้งแต่ตื่นขึ้นมาทุกอิริยาบถ กิเลสไม่ได้เลือกกาลเลือกเวลานะ ส่วนมากเราจะมีตั้งแต่ส่งเสริมมัน ไม่เจริญสติเข้าไปอบรม เข้าไปสังเกต เข้าไปวิเคราะห์ เพียงแค่การเกิดของใจนะ ถ้าไม่ถ้าไม่หลงเขาก็ไม่เกิด เราก็มาดับความเกิดหรือว่าความคิดนั่นแหละ ความคิดเกิดขึ้นตรงไหน ความคิดที่เกิดจากใจ หรือว่าความคิดที่เกิดจากอาการของขันธ์ห้า เราต้องมาเจริญสติเข้าไปดูรู้เท่าทัน รู้ไม่ทัน เราก็ต้องรู้จักดับ รู้จักหยุด รู้จักควบคุม จนกว่าใจจะคลายออกจากความคิดนั่นแหละ ถึงจะมองเห็นอะไรชัดเจน ที่ท่านบอกว่าเป็นกองเป็นขันธ์ เป็นกองเป็นขันธ์อย่างไร
ขันธ์ห้าเป็นทุกข์ กองกุศล กองอกุศล กองอดีต กองอนาคต ตัวใจของเราเข้าไปรวมไปร่วมได้อย่างไร เรารู้อยู่ คิดก็รู้ ทำก็รู้ มันก็รู้อยู่ระดับที่ยังรวมยังหลงอยู่ นอกจากบุคคลที่มาเจริญสติเข้าไปสังเกตวิเคราะห์ จนแยกได้ ใจคลายได้ ทำความเข้าใจได้ ละได้ ดับความเกิดได้ หนุนกําลังสติปัญญาไปทำหน้าที่แทนได้นั่นแหละ ถึงจะมองเห็นทางที่ชัดเจน ส่วนมากก็ใจของทุกคนก็อยู่ในบุญ อยากได้บุญ อยากรู้ธรรม อยากเห็นธรรม ความอยากก็ปิดกั้นเอาไว้หมด
ความอยาก ความเกิด ในหลักธรรมท่านให้ละทั้งความอยาก ละทั้งความเกิด ก่อนที่จะละได้เราก็ต้องเจริญสติลงที่กาย รู้กายแล้วก็รู้ใจ แล้วก็ตามดู รู้เหตุรู้ผล ชี้เหตุชี้ผล จนใจยอมรับความเป็นจริงได้นั่นแหละเขาถึงจะปล่อยจะวางได้ อยากจะปล่อย อยากจะวาง แต่ใจแยกไม่ได้ คลายไม่ได้ มันก็วางไม่ได้ ก็ได้อยู่ในอานิสงส์ของการสร้างคุณงามความดี สร้างบุญสร้างประโยชน์ สร้างอานิสงส์กัน ถึงเวลาก็เต็มเปี่ยม อย่าไปมองข้ามในการสร้างบุญสร้างบารมีกัน เหมือนกับเราปลูกผลหมากรากไม้ เราจะไปเร่งให้ออกดอกออกผล ให้ได้ให้ประโยชน์วันเดียวไม่ได้ เราก็ค่อยหมั่นฝึกฝนดูแลเขาไป ถึงเวลาเขาก็ออกดอกออกผลให้เราเหมือนกัน
การเจริญสติ การเจริญปัญญา การบริหารกายบริหารใจ เราก็ต้องรู้จัก การเจริญสติเป็นอย่างนี้ การอบรมใจเป็นอย่างนี้ ลักษณะของใจที่ไม่เกิดเป็นอย่างนี้ ใจที่คลายจากขันธ์ห้าเป็นอย่างนี้ เราละกิเลสหยาบ กิเลสละเอียด อันนี้เรื่องของกาย อันนี้เรื่องของใจ เขาร่วมกันอยู่ได้อย่างไร เราต้องแจงให้ออก บอกตัวเองให้ได้อยู่ตลอดเวลา ส่วนมากก็รวมกันไปหมด เหมารวมกันไปหมด เอาบุญก็เอาบุญทั้งก้อน ประโยชน์ ผิดก็ผิดหมด ถูกก็ถูกหมด ก็ถูกอยู่ระดับของสมมติ แต่ในหลักธรรม ต้องแยกต้องคลาย ต้องดู ต้องรู้ต้องเห็น จนมองเห็นความเป็นจริง
ถ้าใจรู้ความเป็นจริงเพียงแค่การเกิดเขาก็ไม่เกิดหรอก แต่ความหลงนี่ หลงแต่ยังไม่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ วิญญาณของทุกคน ทุกดวง หลงมาตั้งแต่ยังไม่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ หลงวนเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในภพน้อยภพใหญ่ บางทีก็เป็นเทวดาบ้าง บางทีก็เป็นมนุษย์บ้าง บางทีก็เป็นสัตว์เดรัจฉานบ้าง สารพัดอย่าง แต่ท่านให้มาดูรู้อยู่ขณะปัจจุบันนี้แหละ มาศึกษาให้ละเอียด เพียงแค่การเจริญสติส่วนปัญญาส่วนบน ส่วนสมอง ก็ต้องแยกให้ได้ เอาไปอบรมใจของเราให้ได้
ในกายในใจของเรานี่มีเยอะ ของดีมีเยอะ ปัญญาที่เกิดจากส่วนสมอง หรือปัญญาที่เกิดจากตัวใจกลางใจ หรือว่าปัญญาได้เกิดจากอาการของใจ ซึ่งพระพุทธองค์ท่านเรียกว่าขันธ์ห้า ใจไปหลง ไปรวม ไปยึดจนเกิดอัตตาตัวตน กายก็หนักใจก็หนัก ถ้าแยกได้เมื่อไรท่านถึงบอกว่าสัมมาทิฏฐิ ความรู้แจ้งเห็นจริง เปิดทางให้ ปรากฏให้ ถ้าไม่ตามทำความเข้าใจอีก ใจก็หลงก็รวมเข้าไปอีก ทุกอย่างทุกเรื่อง
พระเราชีเราก็เหมือนกัน พิจารณาปฏิสังขาโย เรื่องอาหาร การอยู่ การขบ การฉัน เราต้องดู กายของเราหิว หรือว่าใจของเราเกิดความอยาก เราต้องกะประมาณในการขบฉันของเรา ใจมันเกิดความอยากก็ดับความอยาก หรือว่าใจมันเกิดปรุงแต่งนั่นแหละ เกิดยินดียินร้าย ใจมันก็หลอกตัวเองอยู่ตลอดเวลา เขาก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เพราะเขาหลงมานาน เขาเกิดมานาน ก็หาสิ่งดีๆ นั่นแหละ มาหลอกตัวเองมาปิดกั้นตัวเอง ท่านถึงบอกว่าใจหลอกใจหรือว่าจิตหลอกจิต ละเอียด ความละเอียดเยอะในกายของเรา
ถ้ากําลังสติไม่เร็ว ไม่ไว ไม่แหลมคม มันก็ยากที่จะเข้าถึงจุดหมายคือฐานของใจ ฐานของใจการก่อตัวเป็นอย่างไร การเกิดเป็นอย่างไร ทำไมท่านถึงว่าขันธ์ทั้งห้าเป็นกองทุกข์ เป็นก้อนทุกข์ เป็นกองเป็นขันธ์ คําว่าเป็นกองเป็นขันธ์เรามองเห็นตั้งแต่เป็นรูปร่าง มีหนังห่อหุ้ม ขาดการสังเกต ขาดการวิเคราะห์ อะไรคือส่วนรูป ร่างกายของเราคือส่วนรูปนี้เขาเรียกว่ากองของรูป แต่เราไม่เห็นกองของนามเลย ตัวจิต ตัววิญญาณ ซึ่งเป็นนามธรรมมันเกิดๆ ดับๆ เราไม่เห็นตั้งแต่ต้นเหตุ เรารู้ตั้งแต่ว่าเขาเกิด เขาเริ่มก่อตัวอย่างไร เริ่มเกิดอย่างไร อาการเขาเริ่มต้นอย่างไร ความตั้งอยู่เป็นอย่างไร
ที่พระพุทธองค์ท่านบอกว่าเป็นแค่เพียงมายา เป็นแค่เพียงอาการ ไม่มีตัว ไม่มีตน ถ้าเรายังแยกไม่ได้ ตามดูไม่ได้ อยากที่จะเข้าใจในคําสอนของพระพุทธองค์ ถ้าแยกได้ ตามดูได้ หมดความสงสัยทันทีเลย ตามดูเห็นการเกิดการดับแล้วก็ละกิเลสหยาบ กิเลสละเอียด มลทินต่างๆ ยิ่งฝึกไปเท่าไรยิ่งเห็นเยอะ ยิ่งเห็นเยอะเท่าไรก็ยิ่งทำความเข้าใจ ความเพียรต้องเพิ่มเป็นทวีคูณ ยืน เดิน นั่ง นอน
ถ้าบุคคลใดมีสติรู้ใจนั่นแหละ เขาเรียกว่าการปฏิบัติ ใจปกติเขาเรียกว่าศีล ใจปกติเขาเรียกว่าสมาธิ ใจที่สงบ ที่ปราศจากการเกิดเขาเรียกว่าสมาธิ ใจที่คลายออกจากขันธ์ห้า เขาเรียกว่าวิปัสสนาญาณเริ่มเกิด สัมมาทิฏฐิเปิดทางให้ เราก็ตามดูขันธ์ห้าเห็นการเกิดการดับ เรื่องอดีตเขาเรียกว่ากองของสังขาร กองของสัญญา ใจของเราไปรวมไปร่วมได้อย่างไร ถ้าแยกแยะไม่ได้ ตามดูไม่ได้ ถึงฝั่งก็ยังไม่รู้เรื่องนะ ต้องเจริญสติ รู้จักวิธีการแนวทางตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่
เพียงแค่เรื่องการหายใจเข้าออก ก็ไม่ค่อยจะสนใจกัน หายใจทิ้ง หายใจทิ้ง หายใจเข้าเป็นอย่างนี้ หายใจออกเป็นอย่างนี้ หายใจที่ต่อเนื่องกันเป็นอย่างนี้ ขณะที่เรามีความรู้ตัวอยู่ที่การหายใจที่ต่อเนื่อง บางทีใจมันก็ก่อตัวไปเรื่องโน้นเรื่องนี้ นั่นแหละ มันจะแยกออกเป็นสอง ถ้าเห็นตั้งแต่ต้นเหตุเราก็ดับ บางทีก็อาการของใจผุดขึ้นมาใจจะเคลื่อนเข้าไปรวม ถ้าเราสังเกตทันใจก็จะดีดออกจากความคิด นั่นล่ะ เขาเรียกว่าหงาย แยกรูปแยกนาม ใจก็ว่าง สติที่เราสร้างขึ้นมาก็ตามเห็นการเกิดการดับของความคิด นั่นแหละเขาเรียกว่าเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ในขันธ์ห้า เขาเกิดขึ้น เขาตั้งอยู่ เขาดับไปอย่างไร ทุกคนไม่รู้เรื่องก็เลยไม่เข้าใจ ถ้าไม่ขยันหมั่นเพียรเป็นเลิศ ไม่ค่อยจะสนใจ เอาแต่ความถูกต้องของสมมติ เอาตั้งแต่บุญ
เราต้องพยายามให้ได้หมด ทั้งบุญ ละอกุศล เจริญกุศล แม้แต่การเจริญสติปัญญาเราก็ ถ้าเป็นอกุศลเราก็ต้องให้ดับ แต่เวลานี้กําลังสติเพียงแค่สร้างก็ยังไม่ต่อเนื่อง จะเอาไปใช้การใช้งานมันก็ยาก ใครมาเถียงพระพุทธเจ้านี้ช่วยเหลือไม่ได้ ท่านบอกว่าให้ปฏิบัติตามอย่างนี้ ทำอย่างนี้ รู้อย่างนี้ เห็นอย่างนี้ ท่านถึงบอกให้เชื่อ ส่วนมากก็ปฏิบัติตาม ทำอยู่แค่นิดๆ หน่อยๆแบบไฟไหม้ฟาง ไม่ถึงแก่น เอาแต่บุญอย่างเดียว ทำแต่บุญอย่างเดียว ทำบุญด้วยความหลง ถ้าแยกแยะไม่ได้นี่ ถ้าแยกไม่ได้นี่หลงกันทั้งนั้น แต่ยังหลงอยู่ในคุณงามความดี
พยายามหัดสังเกตหัดวิเคราะห์ ใหม่ๆก็อาจจะเป็นการฝืน ท่านเรียกได้ว่าทวนกระแสกิเลส ถ้าบอกตัวเองไม่ได้ใช้ตัวเองไม่เป็น ไม่แก้ไขตัวเราแล้ว ไปที่ไหนก็จะไม่ถึงจุดหมาย เราต้องขยันหมั่นเพียร อย่าให้กิเลสเป็นนายเหนือเรา ทุกคนก็มีกิเลสกันหมดนั่นแหละ แต่ถ้าเรารู้เท่าทัน รู้จักใช้ ก็กายของเรานี้เป็นก้อนกิเลส เดี๋ยวก็หิว เดี๋ยวก็ร้อน เดี๋ยวก็หนาว ต้องการสิ่งโน้น ต้องการสิ่งนี้ ต้องการปัจจัยสี่
แต่ความไม่รู้ ความหลง ตัวใจไปบงการหมด ไปยึดก็หมด ก็แยกไม่ได้ ถ้าแยกได้เมื่อไรเราก็ร้อง อ๋อ มันเป็นอย่างนี้ อย่างนี้ๆๆ เหมือนกับเชือก เหมือนกับเชือกมันมีอยู่ห้าเกลียว แต่เป็นแยกออกเกลียวใครเกลียวมัน มันก็ที่เรียกว่ากายขันธ์ห้าเป็นกองเป็นขันธ์ ก็เหมือนกัน แต่สติปัญญาที่เราสร้างขึ้นมานี่แหละ จะเข้าไปแยก กําลังสติไม่เพียงพอก็เลยแยกไม่ได้ จะไปเลือกเวลาโน้นเลือกเวลานี้ไม่ได้ ต้องดูรู้ทุกขณะ อบรมใจของเราทุกขณะ จิตใจของเรามีความแข็งกระด้างก็สร้างความอ่อนน้อม จิตใจของเรามีความตระหนี่เราก็ต้องละความตระหนี่ ให้อภัยทานอโหสิกรรม มองโลกในทางที่ดี คิดดี
แนวทางนั้นพระพุทธองค์ท่านค้นพบมานานแล้ว พวกเราจะดำเนินตามทางของท่านหรือไม่ วิปัสสนาญาณ วิปัสสนาภูมิ การแยกรูปแยกนาม สัมมาทิฏฐิ รู้ด้วยเห็นด้วย ตามดูได้ด้วย แล้วก็ละกิเลสได้ด้วย ละกิเลสหยาบได้ระดับนี้ ท่านตั้งชื่อว่าละอะไร น้อมใจของเราศรัทธาเข้ามา เชื่อมั่นในพระรัตนตรัย แล้วก็ปฏิบัติตาม ละกิเลสออก ก็จะเข้าสู่โสดาปัตติมรรคโสดาปัตติผล ละกิเลสได้ไปเรื่อยๆ ก็จะเข้าอนาคามีมรรคอนาคามีผล ละกิเลสเข้าไปอีกจนใจบริสุทธิ์ก็จะเข้าอรหัตมรรค อรหัตผล หน่วงเหนี่ยวความว่างความบริสุทธิ์ของใจเป็นอารมณ์ เข้าเขตอริยะโน่น มองเห็นหนทางเดินว่าจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิดกัน
แต่พวกท่านดูสิ ทุกคนดูสิ สติรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน ภายใน 1 นาที 2 นาทีนี้ มีต่อเนื่องกันแล้วหรือยัง มีเชื่อมโยงกันแล้วหรือยัง จะเอาไปประหัตประหารกิเลสได้อย่างไร มีแต่ส่งเสริมกันเสียมากกว่า มันก็เลยปิดกั้นตัวเอง ให้อยู่เหนือทุกอย่าง ทุกคนเกิดมาก็มีบุญ มีอานิสงส์กันหมด แต่ก็ยังเกิดมาด้วยความหลง เกิดมาด้วยแรงเหวี่ยงของกรรม คําว่ากรรม ขันธ์ห้านี่ก้อนกรรม ทำอย่างไรเราถึงจะรู้ แยกแยะได้ตามดูได้ทุกเรื่อง นอกนั้นก็มีตั้งแต่หัวโขนเข้ามา ท่านถึงกับว่าเป็นแค่เพียงอาการเป็นแค่เพียงมายา ไม่มีตัว ไม่มีตน
วันนี้เป็นวันพ่อแห่งชาติ ทุกคนก็ปรารถนาที่จะมาสร้างคุณงามความดี ตามความเป็นจริงต้องสร้างทุกลมหายใจเข้าออก อย่าไปเลือกกาลเลือกเวลา อบรมใจของเราจนไม่มีอะไรที่จะอบรม จนเป็นอัตโนมัติในการดู ในการรู้ ถึงจะอยู่อย่างมีความสุข อยู่บนกองทุกข์ ทำไมถึงว่างั้น เพราะกายมันเป็นก้อนทุกข์ แต่เราไม่หลงไม่ยึด ถึงเวลาก็แตกก็ดับ คนเราจะถึงจุดหมายปลายทางได้ก็สร้างสะสมจากบุญจากน้อยๆ ไปหามากๆ จนจิตใจของเราสะอาดบริสุทธิ์หลุดพ้น ตามแนวทางคําสอนของพระพุทธองค์หมดความสงสัยหมดความลังเล
ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่ทันสมัยที่สุด แม้แต่หลายร้อยหลายพันปี ทำไมถึงว่าทันสมัยที่สุด เพราะว่าท่านให้รู้ใจของเราทุกขณะจิต ทุกขณะลมหายใจเข้าออกปัจจุบันธรรม นั่นแหละเขาเรียกว่าทันสมัยที่สุด ทุกศาสนาเป็นศาสนาที่ดีหมด แต่มีศาสนาพุทธศาสนาเดียวที่ท่านถึงหลักของอนัตตา การปล่อยการวาง ทุกอย่างศาสนา ทุกศาสนา ดีหมดทุกศาสนา เป็นพื้นฐานของการปล่อยวางได้เป็นอย่างดี
ตั้งใจรับพรกัน
ขอให้ญาติโยมเราทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเราให้ต่อเนื่อง ให้ชัดเจนกันสักนิดหนึ่ง เราได้วางภาระหน้าที่การงานทางบ้านเราก็วางมาแล้ว ทีนี้เราก็มาเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้อยู่ที่การหายใจเข้าออกของเรา นั่งตามสบายนะ ไม่ต้องพนมมือ ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียกไปด้วย ลองสูดลมหายใจเขาไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ
การสูดลมหายใจยาวหรือว่าผ่อนลมหายใจยาว อันนี้เป็นแค่เพียงอุบายให้เรามีสติรู้กาย กายของเราก็จะสงบตั้งมั่นขึ้น ใจของเราก็จะสงบลงทันที เพราะว่าถ้าใจของเราเกิดความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ ไป ถ้าเราสูดลมหายใจยาวๆ ความคิดก็จะหยุด ความรู้สึกสัมผัสของลมหายใจก็ชัดเจน ความรู้ตัวเวลาหายใจเข้าเราก็จะมีความรู้สึกรับรู้อยู่ หายใจออกก็มีความรู้สึกรับรู้อยู่ นี่แหละที่ภาษาธรรมท่านเรียกว่าสติรู้กาย
ถ้าเรารู้ให้ต่อเนื่อง ทั้งลมหายใจเข้าหายใจออกให้เชื่อมโยงกันทุกครั้ง เขาเรียกว่าสัมปชัญญะ เรามองข้ามสิ่งเล็กๆ น้อยๆ เราจะไปเอาตั้งแต่ทรัพย์อันใหญ่ อยากจะได้บุญ อยากจะรู้ธรรมอยากจะเห็นธรรม วิธีการแนวทาง การเจริญสติ จากครั้งหนึ่ง 2 ครั้ง 3 ครั้งขึ้นไปเรื่อยๆ จนเป็นมหาสติ จนเอาไปใช้การใช้งาน เอาไปอบรมใจของเรา ตรงนี้เราขาดความเพียรกันตรงนี้ เราจะไปมองเอาตั้งแต่ทรัพย์ใหญ่ๆ ลืมการเจริญสติ ใหม่ๆ ความไม่เคยชินก็อาจจะอึดอัดๆ พลั้งเผลอแล้วก็เริ่มใหม่ พลั้งเผลอแล้วก็เริ่มใหม่ อึดอัด ท่านถึงเรียกว่าเป็นการทวน เป็นการสวนกระแสกิเลส เพียงแค่การสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่องให้ได้เสียก่อน ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ เวลาจะลุกจะก้าวจะเดิน เราก็เปลี่ยนความรู้สึกอยู่ที่การเดิน เวลาอันนั้นแล้วก็ดูที่ลมหายใจ
เราต้องรู้ว่ากายปกติเป็นอย่างนี้ ใจปกติเป็นอย่างนี้ เวลาตากระทบรูป ใจยังนิ่งอยู่หรือไม่ หูกระทบเสียง ใจยังนิ่งอยู่หรือไม่ ภาษาธรรม ภาษาโลก สักแต่ว่าดูสักแต่ว่ารู้สักแต่ว่าฟังเป็นอย่างนี้ เวลาใจจะก่อตัวเราก็รู้จักดู รู้จักดับ รู้จักควบคุม จนสังเกตเห็นอาการของขันธ์ห้า ความคิดที่ไม่ได้ตั้งใจมันผุดขึ้นมา ใจของเราจะเคลื่อนเข้าไปรวมเอง ถ้าเราสังเกตทันปุ๊บใจจะดีดออกจากความคิดตรงนั้น เหมือนกับขโมยขโจรจะเข้าบ้าน เวลาเจ้าของบ้านรู้เห็นเท่าทันมันจะรีบเผ่นหนีทันที ถ้าเรามีสติรู้เท่าทันตรงนั้น จิตใจของเรามันจะคลายออกดีดออก เหมือนกับเราขึงเชือกตึงๆ แล้วเอากรรไกร เอามีดไปตัด มันจะดีดออก เราจะหงาย หงายขึ้น เขาเรียกว่าหงายของที่คว่ำ เขาเรียกว่าแยกรูปแยกนาม สัมมาทิฏฐิ ความรู้แจ้งเห็นจริงเปิดทางนี้แหละ ต้องให้เห็นตรงนี้ให้ได้เสียก่อน
ถ้าไม่เห็นตรงนี้ ถ้าแยกตรงนี้ไม่ได้ ก็เพียงแค่ได้ควบคุม ควบคุมใจของเราอยู่ในความสงบ ใจของเราอยู่ในความปกติ เขายังคว่ำอยู่ คือถ้าเขาเกิดเมื่อไร เขาไปร่วมกันเมื่อไร มันก็หลงเกิดอยู่อย่างนั้น เราต้องแยกได้ คลายได้ เราก็ตามดู เห็นการเกิดการดับของความคิดของขันธ์ห้าว่าเป็นเรื่องอะไร ใจจะเข้าไปร่วมแล้วก็มาดับที่ใจอีกนั่นแหละ เราถึงจะเข้าใจในคําสอนของพระพุทธองค์ ตามดูตามค้นคว้า กําลังสติที่เราสร้างขึ้นมาก็จะเริ่มกลายเป็นมหาสติ ตามดูต้นเหตุกลาง เหตุปลายเหตุ จนหมดความสงสัยจากมหาสติก็จะกลายเป็นมหาปัญญา
ถ้าเราแยกแยะได้ตามดูได้ ถ้าเราไม่ตามดู กําลังสติของเราก็พลั้งเผลออีก ก็ไม่รู้ความเป็นจริง ท่านถึงบอกว่าให้รอบรู้ในกองสังขาร ให้รอบรู้ในขันธ์ห้า ให้รอบรู้ในโลกธรรมในสิ่งที่เราเข้าไปยุ่งเกี่ยว ปัญญาฝ่ายเกิด ปัญญาฝ่ายดับ ปัญญาฝ่ายตามทำความเข้าใจ ปัญญาฝ่ายละ มันมีหมดเลย ถ้าเราดำเนินกําลังสติของเราให้เต็มเปี่ยม ให้เข้มแข็ง ให้เฉียบคม เร็วไว ประหัตประหารกิเลสได้ มีเรื่องเดียวเท่านี้แหละ เรื่องชีวิตของเราจะต้องศึกษา อย่าไปเถลไถลที่อื่นเลย ถ้าเรารู้ด้วยเห็นด้วยทำความเข้าใจได้ด้วย หมดความสงสัยได้ด้วย ก็มีตั้งแต่ความเพียรที่จะเอาให้เดินให้ถึงจุดหมายปลายทางกันเท่านั้นแหละ
เรารู้วิธีการแล้วแนวทางแล้ว อยู่คนเดียวเราก็หมั่นสังเกต เราสังเกตใจของเรา วิเคราะห์กาย วิเคราะห์ใจของเรา เจริญพรหมวิหารอย่างไร ทำอย่างไรใจของเราถึงจะสะอาด ใจของเราถึงจะบริสุทธิ์ เราอยู่ร่วมหมู่ร่วมคณะ อยู่ด้วยวิธีไหน อยู่ด้วยพรหมวิหาร ด้วยความเมตตา ทุกอย่างในชีวิตของเรา เราต้องศึกษาให้ละเอียด ก่อนที่ธาตุขันธ์จะแตกจะดับ ดับความเกิดขณะยังมีลมหายใจ ดับความเกิดขณะที่ดำเนินชีวิตอยู่นี่แหละ คือดับความเกิดของใจ นอกนั้นก็มีตั้งแต่กําลังสติปัญญาทำหน้าที่แทน เขาเรียกว่ากิริยาของสติปัญญาไปทำหน้าที่แทนให้เกิดประโยชน์
เพียงแค่ประโยชน์ระดับสมมติ ประโยชน์ระดับโลกธรรม พวกเรายังขาดการทำความเข้าใจ ยัง เพราะว่ายังแยกคลายภายในไม่ได้ แต่ก็ขอให้อยู่ในกองบุญกองกุศลเอาไว้นะ อย่าพากันทิ้งบุญ บุญมากบุญน้อย ก็พยายามทำน้อยก็เป็นของเรา ทำมากก็เป็นของเรา เห็นคนอื่นทำเราก็พลอยอนุโมทนาสาธุด้วย เราก็จะมีส่วนแห่งบุญนั้นๆ หลวงพ่อก็จะพาทำจนกว่าจะหมดลมหายใจไปจากกัน ใครมีโอกาสก็ให้รีบมา โอกาสเปิด กาลเวลาเปิด สถานที่เปิด น้อมกายน้อมใจเข้ามาช่วยกัน ฝากเอาไว้ก่อนที่จะได้จากโลกนี้ไป
เอาล่ะ วันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอา
ส่วนการขัดเกลากิเลส เราต้องพยายาม ขัดเกลากิเลสของเราตลอดเวลาตั้งแต่ตื่นขึ้นมาทุกอิริยาบถ กิเลสไม่ได้เลือกกาลเลือกเวลานะ ส่วนมากเราจะมีตั้งแต่ส่งเสริมมัน ไม่เจริญสติเข้าไปอบรม เข้าไปสังเกต เข้าไปวิเคราะห์ เพียงแค่การเกิดของใจนะ ถ้าไม่ถ้าไม่หลงเขาก็ไม่เกิด เราก็มาดับความเกิดหรือว่าความคิดนั่นแหละ ความคิดเกิดขึ้นตรงไหน ความคิดที่เกิดจากใจ หรือว่าความคิดที่เกิดจากอาการของขันธ์ห้า เราต้องมาเจริญสติเข้าไปดูรู้เท่าทัน รู้ไม่ทัน เราก็ต้องรู้จักดับ รู้จักหยุด รู้จักควบคุม จนกว่าใจจะคลายออกจากความคิดนั่นแหละ ถึงจะมองเห็นอะไรชัดเจน ที่ท่านบอกว่าเป็นกองเป็นขันธ์ เป็นกองเป็นขันธ์อย่างไร
ขันธ์ห้าเป็นทุกข์ กองกุศล กองอกุศล กองอดีต กองอนาคต ตัวใจของเราเข้าไปรวมไปร่วมได้อย่างไร เรารู้อยู่ คิดก็รู้ ทำก็รู้ มันก็รู้อยู่ระดับที่ยังรวมยังหลงอยู่ นอกจากบุคคลที่มาเจริญสติเข้าไปสังเกตวิเคราะห์ จนแยกได้ ใจคลายได้ ทำความเข้าใจได้ ละได้ ดับความเกิดได้ หนุนกําลังสติปัญญาไปทำหน้าที่แทนได้นั่นแหละ ถึงจะมองเห็นทางที่ชัดเจน ส่วนมากก็ใจของทุกคนก็อยู่ในบุญ อยากได้บุญ อยากรู้ธรรม อยากเห็นธรรม ความอยากก็ปิดกั้นเอาไว้หมด
ความอยาก ความเกิด ในหลักธรรมท่านให้ละทั้งความอยาก ละทั้งความเกิด ก่อนที่จะละได้เราก็ต้องเจริญสติลงที่กาย รู้กายแล้วก็รู้ใจ แล้วก็ตามดู รู้เหตุรู้ผล ชี้เหตุชี้ผล จนใจยอมรับความเป็นจริงได้นั่นแหละเขาถึงจะปล่อยจะวางได้ อยากจะปล่อย อยากจะวาง แต่ใจแยกไม่ได้ คลายไม่ได้ มันก็วางไม่ได้ ก็ได้อยู่ในอานิสงส์ของการสร้างคุณงามความดี สร้างบุญสร้างประโยชน์ สร้างอานิสงส์กัน ถึงเวลาก็เต็มเปี่ยม อย่าไปมองข้ามในการสร้างบุญสร้างบารมีกัน เหมือนกับเราปลูกผลหมากรากไม้ เราจะไปเร่งให้ออกดอกออกผล ให้ได้ให้ประโยชน์วันเดียวไม่ได้ เราก็ค่อยหมั่นฝึกฝนดูแลเขาไป ถึงเวลาเขาก็ออกดอกออกผลให้เราเหมือนกัน
การเจริญสติ การเจริญปัญญา การบริหารกายบริหารใจ เราก็ต้องรู้จัก การเจริญสติเป็นอย่างนี้ การอบรมใจเป็นอย่างนี้ ลักษณะของใจที่ไม่เกิดเป็นอย่างนี้ ใจที่คลายจากขันธ์ห้าเป็นอย่างนี้ เราละกิเลสหยาบ กิเลสละเอียด อันนี้เรื่องของกาย อันนี้เรื่องของใจ เขาร่วมกันอยู่ได้อย่างไร เราต้องแจงให้ออก บอกตัวเองให้ได้อยู่ตลอดเวลา ส่วนมากก็รวมกันไปหมด เหมารวมกันไปหมด เอาบุญก็เอาบุญทั้งก้อน ประโยชน์ ผิดก็ผิดหมด ถูกก็ถูกหมด ก็ถูกอยู่ระดับของสมมติ แต่ในหลักธรรม ต้องแยกต้องคลาย ต้องดู ต้องรู้ต้องเห็น จนมองเห็นความเป็นจริง
ถ้าใจรู้ความเป็นจริงเพียงแค่การเกิดเขาก็ไม่เกิดหรอก แต่ความหลงนี่ หลงแต่ยังไม่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ วิญญาณของทุกคน ทุกดวง หลงมาตั้งแต่ยังไม่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ หลงวนเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในภพน้อยภพใหญ่ บางทีก็เป็นเทวดาบ้าง บางทีก็เป็นมนุษย์บ้าง บางทีก็เป็นสัตว์เดรัจฉานบ้าง สารพัดอย่าง แต่ท่านให้มาดูรู้อยู่ขณะปัจจุบันนี้แหละ มาศึกษาให้ละเอียด เพียงแค่การเจริญสติส่วนปัญญาส่วนบน ส่วนสมอง ก็ต้องแยกให้ได้ เอาไปอบรมใจของเราให้ได้
ในกายในใจของเรานี่มีเยอะ ของดีมีเยอะ ปัญญาที่เกิดจากส่วนสมอง หรือปัญญาที่เกิดจากตัวใจกลางใจ หรือว่าปัญญาได้เกิดจากอาการของใจ ซึ่งพระพุทธองค์ท่านเรียกว่าขันธ์ห้า ใจไปหลง ไปรวม ไปยึดจนเกิดอัตตาตัวตน กายก็หนักใจก็หนัก ถ้าแยกได้เมื่อไรท่านถึงบอกว่าสัมมาทิฏฐิ ความรู้แจ้งเห็นจริง เปิดทางให้ ปรากฏให้ ถ้าไม่ตามทำความเข้าใจอีก ใจก็หลงก็รวมเข้าไปอีก ทุกอย่างทุกเรื่อง
พระเราชีเราก็เหมือนกัน พิจารณาปฏิสังขาโย เรื่องอาหาร การอยู่ การขบ การฉัน เราต้องดู กายของเราหิว หรือว่าใจของเราเกิดความอยาก เราต้องกะประมาณในการขบฉันของเรา ใจมันเกิดความอยากก็ดับความอยาก หรือว่าใจมันเกิดปรุงแต่งนั่นแหละ เกิดยินดียินร้าย ใจมันก็หลอกตัวเองอยู่ตลอดเวลา เขาก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เพราะเขาหลงมานาน เขาเกิดมานาน ก็หาสิ่งดีๆ นั่นแหละ มาหลอกตัวเองมาปิดกั้นตัวเอง ท่านถึงบอกว่าใจหลอกใจหรือว่าจิตหลอกจิต ละเอียด ความละเอียดเยอะในกายของเรา
ถ้ากําลังสติไม่เร็ว ไม่ไว ไม่แหลมคม มันก็ยากที่จะเข้าถึงจุดหมายคือฐานของใจ ฐานของใจการก่อตัวเป็นอย่างไร การเกิดเป็นอย่างไร ทำไมท่านถึงว่าขันธ์ทั้งห้าเป็นกองทุกข์ เป็นก้อนทุกข์ เป็นกองเป็นขันธ์ คําว่าเป็นกองเป็นขันธ์เรามองเห็นตั้งแต่เป็นรูปร่าง มีหนังห่อหุ้ม ขาดการสังเกต ขาดการวิเคราะห์ อะไรคือส่วนรูป ร่างกายของเราคือส่วนรูปนี้เขาเรียกว่ากองของรูป แต่เราไม่เห็นกองของนามเลย ตัวจิต ตัววิญญาณ ซึ่งเป็นนามธรรมมันเกิดๆ ดับๆ เราไม่เห็นตั้งแต่ต้นเหตุ เรารู้ตั้งแต่ว่าเขาเกิด เขาเริ่มก่อตัวอย่างไร เริ่มเกิดอย่างไร อาการเขาเริ่มต้นอย่างไร ความตั้งอยู่เป็นอย่างไร
ที่พระพุทธองค์ท่านบอกว่าเป็นแค่เพียงมายา เป็นแค่เพียงอาการ ไม่มีตัว ไม่มีตน ถ้าเรายังแยกไม่ได้ ตามดูไม่ได้ อยากที่จะเข้าใจในคําสอนของพระพุทธองค์ ถ้าแยกได้ ตามดูได้ หมดความสงสัยทันทีเลย ตามดูเห็นการเกิดการดับแล้วก็ละกิเลสหยาบ กิเลสละเอียด มลทินต่างๆ ยิ่งฝึกไปเท่าไรยิ่งเห็นเยอะ ยิ่งเห็นเยอะเท่าไรก็ยิ่งทำความเข้าใจ ความเพียรต้องเพิ่มเป็นทวีคูณ ยืน เดิน นั่ง นอน
ถ้าบุคคลใดมีสติรู้ใจนั่นแหละ เขาเรียกว่าการปฏิบัติ ใจปกติเขาเรียกว่าศีล ใจปกติเขาเรียกว่าสมาธิ ใจที่สงบ ที่ปราศจากการเกิดเขาเรียกว่าสมาธิ ใจที่คลายออกจากขันธ์ห้า เขาเรียกว่าวิปัสสนาญาณเริ่มเกิด สัมมาทิฏฐิเปิดทางให้ เราก็ตามดูขันธ์ห้าเห็นการเกิดการดับ เรื่องอดีตเขาเรียกว่ากองของสังขาร กองของสัญญา ใจของเราไปรวมไปร่วมได้อย่างไร ถ้าแยกแยะไม่ได้ ตามดูไม่ได้ ถึงฝั่งก็ยังไม่รู้เรื่องนะ ต้องเจริญสติ รู้จักวิธีการแนวทางตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่
เพียงแค่เรื่องการหายใจเข้าออก ก็ไม่ค่อยจะสนใจกัน หายใจทิ้ง หายใจทิ้ง หายใจเข้าเป็นอย่างนี้ หายใจออกเป็นอย่างนี้ หายใจที่ต่อเนื่องกันเป็นอย่างนี้ ขณะที่เรามีความรู้ตัวอยู่ที่การหายใจที่ต่อเนื่อง บางทีใจมันก็ก่อตัวไปเรื่องโน้นเรื่องนี้ นั่นแหละ มันจะแยกออกเป็นสอง ถ้าเห็นตั้งแต่ต้นเหตุเราก็ดับ บางทีก็อาการของใจผุดขึ้นมาใจจะเคลื่อนเข้าไปรวม ถ้าเราสังเกตทันใจก็จะดีดออกจากความคิด นั่นล่ะ เขาเรียกว่าหงาย แยกรูปแยกนาม ใจก็ว่าง สติที่เราสร้างขึ้นมาก็ตามเห็นการเกิดการดับของความคิด นั่นแหละเขาเรียกว่าเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ในขันธ์ห้า เขาเกิดขึ้น เขาตั้งอยู่ เขาดับไปอย่างไร ทุกคนไม่รู้เรื่องก็เลยไม่เข้าใจ ถ้าไม่ขยันหมั่นเพียรเป็นเลิศ ไม่ค่อยจะสนใจ เอาแต่ความถูกต้องของสมมติ เอาตั้งแต่บุญ
เราต้องพยายามให้ได้หมด ทั้งบุญ ละอกุศล เจริญกุศล แม้แต่การเจริญสติปัญญาเราก็ ถ้าเป็นอกุศลเราก็ต้องให้ดับ แต่เวลานี้กําลังสติเพียงแค่สร้างก็ยังไม่ต่อเนื่อง จะเอาไปใช้การใช้งานมันก็ยาก ใครมาเถียงพระพุทธเจ้านี้ช่วยเหลือไม่ได้ ท่านบอกว่าให้ปฏิบัติตามอย่างนี้ ทำอย่างนี้ รู้อย่างนี้ เห็นอย่างนี้ ท่านถึงบอกให้เชื่อ ส่วนมากก็ปฏิบัติตาม ทำอยู่แค่นิดๆ หน่อยๆแบบไฟไหม้ฟาง ไม่ถึงแก่น เอาแต่บุญอย่างเดียว ทำแต่บุญอย่างเดียว ทำบุญด้วยความหลง ถ้าแยกแยะไม่ได้นี่ ถ้าแยกไม่ได้นี่หลงกันทั้งนั้น แต่ยังหลงอยู่ในคุณงามความดี
พยายามหัดสังเกตหัดวิเคราะห์ ใหม่ๆก็อาจจะเป็นการฝืน ท่านเรียกได้ว่าทวนกระแสกิเลส ถ้าบอกตัวเองไม่ได้ใช้ตัวเองไม่เป็น ไม่แก้ไขตัวเราแล้ว ไปที่ไหนก็จะไม่ถึงจุดหมาย เราต้องขยันหมั่นเพียร อย่าให้กิเลสเป็นนายเหนือเรา ทุกคนก็มีกิเลสกันหมดนั่นแหละ แต่ถ้าเรารู้เท่าทัน รู้จักใช้ ก็กายของเรานี้เป็นก้อนกิเลส เดี๋ยวก็หิว เดี๋ยวก็ร้อน เดี๋ยวก็หนาว ต้องการสิ่งโน้น ต้องการสิ่งนี้ ต้องการปัจจัยสี่
แต่ความไม่รู้ ความหลง ตัวใจไปบงการหมด ไปยึดก็หมด ก็แยกไม่ได้ ถ้าแยกได้เมื่อไรเราก็ร้อง อ๋อ มันเป็นอย่างนี้ อย่างนี้ๆๆ เหมือนกับเชือก เหมือนกับเชือกมันมีอยู่ห้าเกลียว แต่เป็นแยกออกเกลียวใครเกลียวมัน มันก็ที่เรียกว่ากายขันธ์ห้าเป็นกองเป็นขันธ์ ก็เหมือนกัน แต่สติปัญญาที่เราสร้างขึ้นมานี่แหละ จะเข้าไปแยก กําลังสติไม่เพียงพอก็เลยแยกไม่ได้ จะไปเลือกเวลาโน้นเลือกเวลานี้ไม่ได้ ต้องดูรู้ทุกขณะ อบรมใจของเราทุกขณะ จิตใจของเรามีความแข็งกระด้างก็สร้างความอ่อนน้อม จิตใจของเรามีความตระหนี่เราก็ต้องละความตระหนี่ ให้อภัยทานอโหสิกรรม มองโลกในทางที่ดี คิดดี
แนวทางนั้นพระพุทธองค์ท่านค้นพบมานานแล้ว พวกเราจะดำเนินตามทางของท่านหรือไม่ วิปัสสนาญาณ วิปัสสนาภูมิ การแยกรูปแยกนาม สัมมาทิฏฐิ รู้ด้วยเห็นด้วย ตามดูได้ด้วย แล้วก็ละกิเลสได้ด้วย ละกิเลสหยาบได้ระดับนี้ ท่านตั้งชื่อว่าละอะไร น้อมใจของเราศรัทธาเข้ามา เชื่อมั่นในพระรัตนตรัย แล้วก็ปฏิบัติตาม ละกิเลสออก ก็จะเข้าสู่โสดาปัตติมรรคโสดาปัตติผล ละกิเลสได้ไปเรื่อยๆ ก็จะเข้าอนาคามีมรรคอนาคามีผล ละกิเลสเข้าไปอีกจนใจบริสุทธิ์ก็จะเข้าอรหัตมรรค อรหัตผล หน่วงเหนี่ยวความว่างความบริสุทธิ์ของใจเป็นอารมณ์ เข้าเขตอริยะโน่น มองเห็นหนทางเดินว่าจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิดกัน
แต่พวกท่านดูสิ ทุกคนดูสิ สติรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน ภายใน 1 นาที 2 นาทีนี้ มีต่อเนื่องกันแล้วหรือยัง มีเชื่อมโยงกันแล้วหรือยัง จะเอาไปประหัตประหารกิเลสได้อย่างไร มีแต่ส่งเสริมกันเสียมากกว่า มันก็เลยปิดกั้นตัวเอง ให้อยู่เหนือทุกอย่าง ทุกคนเกิดมาก็มีบุญ มีอานิสงส์กันหมด แต่ก็ยังเกิดมาด้วยความหลง เกิดมาด้วยแรงเหวี่ยงของกรรม คําว่ากรรม ขันธ์ห้านี่ก้อนกรรม ทำอย่างไรเราถึงจะรู้ แยกแยะได้ตามดูได้ทุกเรื่อง นอกนั้นก็มีตั้งแต่หัวโขนเข้ามา ท่านถึงกับว่าเป็นแค่เพียงอาการเป็นแค่เพียงมายา ไม่มีตัว ไม่มีตน
วันนี้เป็นวันพ่อแห่งชาติ ทุกคนก็ปรารถนาที่จะมาสร้างคุณงามความดี ตามความเป็นจริงต้องสร้างทุกลมหายใจเข้าออก อย่าไปเลือกกาลเลือกเวลา อบรมใจของเราจนไม่มีอะไรที่จะอบรม จนเป็นอัตโนมัติในการดู ในการรู้ ถึงจะอยู่อย่างมีความสุข อยู่บนกองทุกข์ ทำไมถึงว่างั้น เพราะกายมันเป็นก้อนทุกข์ แต่เราไม่หลงไม่ยึด ถึงเวลาก็แตกก็ดับ คนเราจะถึงจุดหมายปลายทางได้ก็สร้างสะสมจากบุญจากน้อยๆ ไปหามากๆ จนจิตใจของเราสะอาดบริสุทธิ์หลุดพ้น ตามแนวทางคําสอนของพระพุทธองค์หมดความสงสัยหมดความลังเล
ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่ทันสมัยที่สุด แม้แต่หลายร้อยหลายพันปี ทำไมถึงว่าทันสมัยที่สุด เพราะว่าท่านให้รู้ใจของเราทุกขณะจิต ทุกขณะลมหายใจเข้าออกปัจจุบันธรรม นั่นแหละเขาเรียกว่าทันสมัยที่สุด ทุกศาสนาเป็นศาสนาที่ดีหมด แต่มีศาสนาพุทธศาสนาเดียวที่ท่านถึงหลักของอนัตตา การปล่อยการวาง ทุกอย่างศาสนา ทุกศาสนา ดีหมดทุกศาสนา เป็นพื้นฐานของการปล่อยวางได้เป็นอย่างดี
ตั้งใจรับพรกัน
ขอให้ญาติโยมเราทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเราให้ต่อเนื่อง ให้ชัดเจนกันสักนิดหนึ่ง เราได้วางภาระหน้าที่การงานทางบ้านเราก็วางมาแล้ว ทีนี้เราก็มาเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้อยู่ที่การหายใจเข้าออกของเรา นั่งตามสบายนะ ไม่ต้องพนมมือ ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียกไปด้วย ลองสูดลมหายใจเขาไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ
การสูดลมหายใจยาวหรือว่าผ่อนลมหายใจยาว อันนี้เป็นแค่เพียงอุบายให้เรามีสติรู้กาย กายของเราก็จะสงบตั้งมั่นขึ้น ใจของเราก็จะสงบลงทันที เพราะว่าถ้าใจของเราเกิดความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ ไป ถ้าเราสูดลมหายใจยาวๆ ความคิดก็จะหยุด ความรู้สึกสัมผัสของลมหายใจก็ชัดเจน ความรู้ตัวเวลาหายใจเข้าเราก็จะมีความรู้สึกรับรู้อยู่ หายใจออกก็มีความรู้สึกรับรู้อยู่ นี่แหละที่ภาษาธรรมท่านเรียกว่าสติรู้กาย
ถ้าเรารู้ให้ต่อเนื่อง ทั้งลมหายใจเข้าหายใจออกให้เชื่อมโยงกันทุกครั้ง เขาเรียกว่าสัมปชัญญะ เรามองข้ามสิ่งเล็กๆ น้อยๆ เราจะไปเอาตั้งแต่ทรัพย์อันใหญ่ อยากจะได้บุญ อยากจะรู้ธรรมอยากจะเห็นธรรม วิธีการแนวทาง การเจริญสติ จากครั้งหนึ่ง 2 ครั้ง 3 ครั้งขึ้นไปเรื่อยๆ จนเป็นมหาสติ จนเอาไปใช้การใช้งาน เอาไปอบรมใจของเรา ตรงนี้เราขาดความเพียรกันตรงนี้ เราจะไปมองเอาตั้งแต่ทรัพย์ใหญ่ๆ ลืมการเจริญสติ ใหม่ๆ ความไม่เคยชินก็อาจจะอึดอัดๆ พลั้งเผลอแล้วก็เริ่มใหม่ พลั้งเผลอแล้วก็เริ่มใหม่ อึดอัด ท่านถึงเรียกว่าเป็นการทวน เป็นการสวนกระแสกิเลส เพียงแค่การสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่องให้ได้เสียก่อน ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ เวลาจะลุกจะก้าวจะเดิน เราก็เปลี่ยนความรู้สึกอยู่ที่การเดิน เวลาอันนั้นแล้วก็ดูที่ลมหายใจ
เราต้องรู้ว่ากายปกติเป็นอย่างนี้ ใจปกติเป็นอย่างนี้ เวลาตากระทบรูป ใจยังนิ่งอยู่หรือไม่ หูกระทบเสียง ใจยังนิ่งอยู่หรือไม่ ภาษาธรรม ภาษาโลก สักแต่ว่าดูสักแต่ว่ารู้สักแต่ว่าฟังเป็นอย่างนี้ เวลาใจจะก่อตัวเราก็รู้จักดู รู้จักดับ รู้จักควบคุม จนสังเกตเห็นอาการของขันธ์ห้า ความคิดที่ไม่ได้ตั้งใจมันผุดขึ้นมา ใจของเราจะเคลื่อนเข้าไปรวมเอง ถ้าเราสังเกตทันปุ๊บใจจะดีดออกจากความคิดตรงนั้น เหมือนกับขโมยขโจรจะเข้าบ้าน เวลาเจ้าของบ้านรู้เห็นเท่าทันมันจะรีบเผ่นหนีทันที ถ้าเรามีสติรู้เท่าทันตรงนั้น จิตใจของเรามันจะคลายออกดีดออก เหมือนกับเราขึงเชือกตึงๆ แล้วเอากรรไกร เอามีดไปตัด มันจะดีดออก เราจะหงาย หงายขึ้น เขาเรียกว่าหงายของที่คว่ำ เขาเรียกว่าแยกรูปแยกนาม สัมมาทิฏฐิ ความรู้แจ้งเห็นจริงเปิดทางนี้แหละ ต้องให้เห็นตรงนี้ให้ได้เสียก่อน
ถ้าไม่เห็นตรงนี้ ถ้าแยกตรงนี้ไม่ได้ ก็เพียงแค่ได้ควบคุม ควบคุมใจของเราอยู่ในความสงบ ใจของเราอยู่ในความปกติ เขายังคว่ำอยู่ คือถ้าเขาเกิดเมื่อไร เขาไปร่วมกันเมื่อไร มันก็หลงเกิดอยู่อย่างนั้น เราต้องแยกได้ คลายได้ เราก็ตามดู เห็นการเกิดการดับของความคิดของขันธ์ห้าว่าเป็นเรื่องอะไร ใจจะเข้าไปร่วมแล้วก็มาดับที่ใจอีกนั่นแหละ เราถึงจะเข้าใจในคําสอนของพระพุทธองค์ ตามดูตามค้นคว้า กําลังสติที่เราสร้างขึ้นมาก็จะเริ่มกลายเป็นมหาสติ ตามดูต้นเหตุกลาง เหตุปลายเหตุ จนหมดความสงสัยจากมหาสติก็จะกลายเป็นมหาปัญญา
ถ้าเราแยกแยะได้ตามดูได้ ถ้าเราไม่ตามดู กําลังสติของเราก็พลั้งเผลออีก ก็ไม่รู้ความเป็นจริง ท่านถึงบอกว่าให้รอบรู้ในกองสังขาร ให้รอบรู้ในขันธ์ห้า ให้รอบรู้ในโลกธรรมในสิ่งที่เราเข้าไปยุ่งเกี่ยว ปัญญาฝ่ายเกิด ปัญญาฝ่ายดับ ปัญญาฝ่ายตามทำความเข้าใจ ปัญญาฝ่ายละ มันมีหมดเลย ถ้าเราดำเนินกําลังสติของเราให้เต็มเปี่ยม ให้เข้มแข็ง ให้เฉียบคม เร็วไว ประหัตประหารกิเลสได้ มีเรื่องเดียวเท่านี้แหละ เรื่องชีวิตของเราจะต้องศึกษา อย่าไปเถลไถลที่อื่นเลย ถ้าเรารู้ด้วยเห็นด้วยทำความเข้าใจได้ด้วย หมดความสงสัยได้ด้วย ก็มีตั้งแต่ความเพียรที่จะเอาให้เดินให้ถึงจุดหมายปลายทางกันเท่านั้นแหละ
เรารู้วิธีการแล้วแนวทางแล้ว อยู่คนเดียวเราก็หมั่นสังเกต เราสังเกตใจของเรา วิเคราะห์กาย วิเคราะห์ใจของเรา เจริญพรหมวิหารอย่างไร ทำอย่างไรใจของเราถึงจะสะอาด ใจของเราถึงจะบริสุทธิ์ เราอยู่ร่วมหมู่ร่วมคณะ อยู่ด้วยวิธีไหน อยู่ด้วยพรหมวิหาร ด้วยความเมตตา ทุกอย่างในชีวิตของเรา เราต้องศึกษาให้ละเอียด ก่อนที่ธาตุขันธ์จะแตกจะดับ ดับความเกิดขณะยังมีลมหายใจ ดับความเกิดขณะที่ดำเนินชีวิตอยู่นี่แหละ คือดับความเกิดของใจ นอกนั้นก็มีตั้งแต่กําลังสติปัญญาทำหน้าที่แทน เขาเรียกว่ากิริยาของสติปัญญาไปทำหน้าที่แทนให้เกิดประโยชน์
เพียงแค่ประโยชน์ระดับสมมติ ประโยชน์ระดับโลกธรรม พวกเรายังขาดการทำความเข้าใจ ยัง เพราะว่ายังแยกคลายภายในไม่ได้ แต่ก็ขอให้อยู่ในกองบุญกองกุศลเอาไว้นะ อย่าพากันทิ้งบุญ บุญมากบุญน้อย ก็พยายามทำน้อยก็เป็นของเรา ทำมากก็เป็นของเรา เห็นคนอื่นทำเราก็พลอยอนุโมทนาสาธุด้วย เราก็จะมีส่วนแห่งบุญนั้นๆ หลวงพ่อก็จะพาทำจนกว่าจะหมดลมหายใจไปจากกัน ใครมีโอกาสก็ให้รีบมา โอกาสเปิด กาลเวลาเปิด สถานที่เปิด น้อมกายน้อมใจเข้ามาช่วยกัน ฝากเอาไว้ก่อนที่จะได้จากโลกนี้ไป
เอาล่ะ วันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอา