หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 114
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 114
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเราให้ชัดเจน แล้วก็ให้ต่อเนื่อง หยุดความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ เอาไว้ชั่วครั้งชั่วคราว ถึงเราหยุดไม่ได้เด็ดขาดก็ขอให้หยุดขณะเรากําลังนั่งอยู่นี่แหละ ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียกไปด้วย ไม่ต้องพนมมือ เสียงก็สักแต่ว่าเสียง ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ สัก 2-3 เที่ยว
เพียงแค่เรื่องการหายใจเข้าออก พวกเราก็ขาดการสังเกต ขาดการวิเคราะห์ ว่าความรู้สึกรับรู้เวลาลมหายใจเข้าเป็นลักษณะอย่างนี้นะ ลมหายใจออกเป็นลักษณะอย่างนี้นะ ทั้งที่ใจนั้นเกิดอยู่ตลอดเวลา ความคิดเกิดปรุงแต่งอยู่ตลอดเวลา ภายใน 5 นาทีไม่รู้ไปสักกี่เรื่อง เราพยายามสร้างความรู้ตัวตัวใหม่ เข้าไปควบคุมความคิดตัวเก่าที่เกิดจากตัวใจ เพราะว่าเรายังไม่เห็น ยังแยกแยะไม่ได้ ก็ท่านถึงเรียกว่าใช้สมถะเข้าไปควบคุม
ตั้งสติอยู่กับลมหายใจ จิตของเราคิดไป ใจของเราคิดไป เขาจะกลับมาอยู่กับลมหายใจใหม่ มันคิดไปอีก เราก็ดึงเข้ามาอยู่กับลมหายใจใหม่ ฝึกให้เกิดความเคยชิน มันก็จะชักเย่อกันอยู่นั่นแหละ ถ้ากําลังฝ่ายไหนเยอะ กําลังฝ่ายสติเยอะ สติก็จะต่อเนื่อง แต่เวลานี้กําลังสติของเรามีเป็นกระท่อนกระแท่นหรือไม่มีเลย แทบไม่มีเลย
เราต้องมาสร้างเสียก่อน มาสร้าง มาสร้างให้ต่อเนื่องให้เข้มแข็ง ให้เร็วให้ไว ลึกลงไปเราก็จะรู้ลักษณะของใจ ใจที่ปกติเป็นอย่างนี้นะ เวลาใจเกิดปรุงแต่ง เขาเริ่มเกิดอย่างนี้ เขาเริ่มก่อตัวอย่างนี้ ความคิดผุดขึ้นมา ใจเคลื่อนไปรวมอย่างไร สังเกตทันเขาแยกออก เขาคลายออก ตามดู เห็นการเกิดการดับของขันธ์ห้า เรื่องอะไรที่เกิดเป็นกุศลหรือว่าอกุศล ใจของเราเกิดกิเลสหยาบ กิเลสละเอียด ใจเกิดมลทิน ไปอยู่ที่ไหน คนโน้นเป็นอย่างนั้น คนนั้นเป็นอย่างนี้ สารพัดเรื่องมันผุดขึ้นมา มีบางทีก็เป็นกุศลฝ่ายดี บางทีก็เป็นอกุศลฝ่ายเลวร้าย ฝ่ายดำ ฝ่ายขาวส่วนมากจะเป็นฝ่ายดำ ถ้าน้อยคนที่จะเป็นฝ่ายขาว
มีตั้งแต่อาการที่เพ่งโทษคนโน้นไม่ดีอย่างนั้น คนนั้นไม่ดี ใจของเรานะไม่ดี ถึงไปมองเห็นคนอื่นไม่ดี ถึงคนอื่นไม่ดี ใจของเราดี ใจของเราก็ดีอยู่เหมือนเดิม เราพยายามมาแก้ไขที่ใจของเรา ดับที่ใจของเรา มองเรื่องเฉพาะส่วนที่ดีๆ ของเขา อย่าไปมองส่วนเลวร้าย นี่ถ้าใจสูงขึ้นไปเดินปัญญาแยกแยะภายใน ละกิเลส ดับความเกิดภายในแล้วมองเห็นทุกอย่างเป็นธรรมดาหมด จะดีก็เป็นธรรมดา จะชั่วก็เป็นธรรมดา เพราะว่าไม่มีใครอยากจะทำชั่ว
ก็เพราะความหลง ความไม่รู้มันถึงเกิด เกิดเราก็รีบแก้ไขเสีย รีบแก้ไขตัวเรา สร้างความขยันหมั่นเพียร ขัดเกลากิเลส เรามีความเกียจคร้านก็ละความเกียจคร้าน เราไม่มีความรับผิดชอบเราก็สร้างความรับผิดชอบ สติเราพลั้งเผลอเราก็พยายามกระตุ้นสติให้ต่อเนื่อง ทำอยู่บ่อยๆ ฝึกความเคยชินอยู่บ่อยๆ ใจของเรามีความแข็งกระด้างละความแข็งกระด้าง ใจของเรามีอคติเพ่งโทษเราก็จัดการ
ถ้าเราไม่สอนเราแล้วใครเขาจะสอนให้ล่ะ นอกจากตัวของเรา แนวทางนั้นพระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบมานานแล้ว พวกเราพยายามดำเนิน ไม่ต้องไปกังวลว่ากลัวจะไม่ได้คิด หรือกลัวจะไม่มีปัญญา กลัวจะไม่มีอยู่มีกิน เราขยันด้วยเหตุด้วยผล ด้วยสติ ด้วยปัญญา สร้างความเพียรเข้าไป ทำมากก็ได้มาก ทำน้อยก็ได้น้อย เรามีโอกาสทำได้ทุกอย่างหมดนั่นแหละ ขอให้ทำด้วยปัญญา
อะไรเป็นอกุศล อะไรที่จะนําความทุกข์นําโศก ความโศกความเศร้ามาให้เราก็ละเสีย เจริญตั้งแต่สิ่งดีๆ แล้วก็ไม่หลงไม่ยึด สักวันหนึ่งเราก็ต้องพลัดพรากจากกันหมด ไม่ได้พลัดพรากจากกันตอนเป็น ก็ต้องได้พลัดพรากจากกันตอนตาย ยิ่งเรามาอยู่ด้วยกันหลายคนหลายท่านก็ยิ่งเพิ่มความเสียสละ เพิ่มความรับผิดชอบ อนุเคราะห์ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ไม่ใช่ว่ากูดี มึงดี กูเด่น มึงเด่น อะไรก็ไม่รู้จักฝักใฝ่ ไม่รู้จักขวนขวาย เอาตั้งแต่กินแรงเพื่อน เอาตั้งแต่ความเกียจคร้านเข้าครอบงำ อยู่คนเดียวมันก็ทุกข์อยู่หลายคนมันก็ทุกข์
ถ้าเราเข้าใจแล้ว ต่างคนต่างร่วมแรงร่วมกายร่วมใจ มีอะไรก็ช่วยกันทำไปในทางเส้นเดียว หาทางดับทุกข์ หาทางหลุดพ้น แม้แต่กายก็สร้างประโยชน์ แม้แต่วาจาก็สร้างประโยชน์ ไม่กระทบกระทั่งกัน ลึกลงไปแม้แต่ใจก็ไม่ให้เกิดไม่ให้คิด ให้เกิดด้วยปัญญา ให้เกิดด้วยแรงบุญแรงกุศล ไปอยู่ที่ไหนก็จะมีแต่ความเจริญ ส่วนมากมันก็พูด พูดง่ายอยู่ แต่การลงมือการปฏิบัตินี่ต้องพยายาม ต้องอาศัยกาลอาศัยเวลา อาศัยตบะ อาศัยความเพียรอย่างแรงกล้า รู้บ้างไม่รู้บ้างก็ต้องพยายามทำ ทำสักวันหนึ่งก็คงจะเข้าใจในความหมายในสิ่งที่หลวงพ่อพูด ไม่เข้าใจในวันนี้ พรุ่งนี้เดือนหน้า ปีหน้า มันไม่เข้าใจจริงๆ มันจะไปต่อภพหน้าโน่น เพราะว่าตราบใดที่ใจยังเกิดอยู่ ก็ต้องพยายามกัน
วันนี้พระเราชีเราก็พยายาม ช่วยกันทุกอย่าง เราก็พากันไปทำความสะอาด ล้างน้ำประปา ถังน้ำประปาทั้งข้างล่างข้างบน น้ำประปาที่พวกเราใช้อยู่ทุกวันนี้แหละ ถ้าไม่ทำมันก็สกปรก ถ้าไม่ช่วยกันทำก็ไม่รู้ใครเขาจะทำให้ มีแต่คนใช้ คนทำไม่ค่อยมี คนเสียสละไม่ค่อยมี คนเสียสละต่อส่วนรวม มันยากเพียงแค่เรื่องกับข้าวกับปลานี่ก็ยังยากลําบาก หาคนช่วยก็ไม่ค่อยจะมี มีแต่คนกิน กินแล้วยังไม่ได้ล้างเสียอีก ทิ้งระเกะระกะ สารพัดอย่าง จะไปได้ธรรมขั้นสูงได้อย่างไร สิ่งเล็กๆ น้อยๆ ความเสียสละต่อส่วนตัวก็ยังยาก ต่อส่วนรวมก็ยังยาก ไม่มีใครเขาอยากจะเป็นอย่างนั้น เพราะความหลง ความไม่รู้
เราก็ต้องมาแก้ไขตัวเรา ปรับปรุงตัวเรา ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน อยู่ที่บ้าน ก็พยายามสร้างความขยันหมั่นเพียร อยู่ที่วัดก็สร้างความขยันหมั่นเพียร รู้ตั้งแต่ฐานของใจของเราโน่นนะมันถึงจะเกิดประโยชน์ จะไปเที่ยวให้คนโน้นเขาบังคับ คนนี้เขาบังคับ มีแต่คนโง่เท่านั้น ที่ไปเที่ยวให้คนอื่นเขาบังคับตัวเอง เราต้องบังคับตัวเรา แก้ไขตัวเรา ปรับปรุงตัวเรา บุคคลที่มีบุญมีปัญญา ฟังนิดเดียว สะกิดนิดเดียว โน่นไปถึงฝั่งพระนิพพานโน่น ความว่างความบริสุทธิ์ของใจโน่น ไม่ได้ลําบากยากเลย
สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกให้ชัดเจน ให้ต่อเนื่องกันสักนิดหนึ่งก็ยังดี ดีกว่าไม่ทำนะ
พากันไหว้พระพร้อมๆ กันพากันไปศึกษาทำความเข้าใจต่อกันเอา
เพียงแค่เรื่องการหายใจเข้าออก พวกเราก็ขาดการสังเกต ขาดการวิเคราะห์ ว่าความรู้สึกรับรู้เวลาลมหายใจเข้าเป็นลักษณะอย่างนี้นะ ลมหายใจออกเป็นลักษณะอย่างนี้นะ ทั้งที่ใจนั้นเกิดอยู่ตลอดเวลา ความคิดเกิดปรุงแต่งอยู่ตลอดเวลา ภายใน 5 นาทีไม่รู้ไปสักกี่เรื่อง เราพยายามสร้างความรู้ตัวตัวใหม่ เข้าไปควบคุมความคิดตัวเก่าที่เกิดจากตัวใจ เพราะว่าเรายังไม่เห็น ยังแยกแยะไม่ได้ ก็ท่านถึงเรียกว่าใช้สมถะเข้าไปควบคุม
ตั้งสติอยู่กับลมหายใจ จิตของเราคิดไป ใจของเราคิดไป เขาจะกลับมาอยู่กับลมหายใจใหม่ มันคิดไปอีก เราก็ดึงเข้ามาอยู่กับลมหายใจใหม่ ฝึกให้เกิดความเคยชิน มันก็จะชักเย่อกันอยู่นั่นแหละ ถ้ากําลังฝ่ายไหนเยอะ กําลังฝ่ายสติเยอะ สติก็จะต่อเนื่อง แต่เวลานี้กําลังสติของเรามีเป็นกระท่อนกระแท่นหรือไม่มีเลย แทบไม่มีเลย
เราต้องมาสร้างเสียก่อน มาสร้าง มาสร้างให้ต่อเนื่องให้เข้มแข็ง ให้เร็วให้ไว ลึกลงไปเราก็จะรู้ลักษณะของใจ ใจที่ปกติเป็นอย่างนี้นะ เวลาใจเกิดปรุงแต่ง เขาเริ่มเกิดอย่างนี้ เขาเริ่มก่อตัวอย่างนี้ ความคิดผุดขึ้นมา ใจเคลื่อนไปรวมอย่างไร สังเกตทันเขาแยกออก เขาคลายออก ตามดู เห็นการเกิดการดับของขันธ์ห้า เรื่องอะไรที่เกิดเป็นกุศลหรือว่าอกุศล ใจของเราเกิดกิเลสหยาบ กิเลสละเอียด ใจเกิดมลทิน ไปอยู่ที่ไหน คนโน้นเป็นอย่างนั้น คนนั้นเป็นอย่างนี้ สารพัดเรื่องมันผุดขึ้นมา มีบางทีก็เป็นกุศลฝ่ายดี บางทีก็เป็นอกุศลฝ่ายเลวร้าย ฝ่ายดำ ฝ่ายขาวส่วนมากจะเป็นฝ่ายดำ ถ้าน้อยคนที่จะเป็นฝ่ายขาว
มีตั้งแต่อาการที่เพ่งโทษคนโน้นไม่ดีอย่างนั้น คนนั้นไม่ดี ใจของเรานะไม่ดี ถึงไปมองเห็นคนอื่นไม่ดี ถึงคนอื่นไม่ดี ใจของเราดี ใจของเราก็ดีอยู่เหมือนเดิม เราพยายามมาแก้ไขที่ใจของเรา ดับที่ใจของเรา มองเรื่องเฉพาะส่วนที่ดีๆ ของเขา อย่าไปมองส่วนเลวร้าย นี่ถ้าใจสูงขึ้นไปเดินปัญญาแยกแยะภายใน ละกิเลส ดับความเกิดภายในแล้วมองเห็นทุกอย่างเป็นธรรมดาหมด จะดีก็เป็นธรรมดา จะชั่วก็เป็นธรรมดา เพราะว่าไม่มีใครอยากจะทำชั่ว
ก็เพราะความหลง ความไม่รู้มันถึงเกิด เกิดเราก็รีบแก้ไขเสีย รีบแก้ไขตัวเรา สร้างความขยันหมั่นเพียร ขัดเกลากิเลส เรามีความเกียจคร้านก็ละความเกียจคร้าน เราไม่มีความรับผิดชอบเราก็สร้างความรับผิดชอบ สติเราพลั้งเผลอเราก็พยายามกระตุ้นสติให้ต่อเนื่อง ทำอยู่บ่อยๆ ฝึกความเคยชินอยู่บ่อยๆ ใจของเรามีความแข็งกระด้างละความแข็งกระด้าง ใจของเรามีอคติเพ่งโทษเราก็จัดการ
ถ้าเราไม่สอนเราแล้วใครเขาจะสอนให้ล่ะ นอกจากตัวของเรา แนวทางนั้นพระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบมานานแล้ว พวกเราพยายามดำเนิน ไม่ต้องไปกังวลว่ากลัวจะไม่ได้คิด หรือกลัวจะไม่มีปัญญา กลัวจะไม่มีอยู่มีกิน เราขยันด้วยเหตุด้วยผล ด้วยสติ ด้วยปัญญา สร้างความเพียรเข้าไป ทำมากก็ได้มาก ทำน้อยก็ได้น้อย เรามีโอกาสทำได้ทุกอย่างหมดนั่นแหละ ขอให้ทำด้วยปัญญา
อะไรเป็นอกุศล อะไรที่จะนําความทุกข์นําโศก ความโศกความเศร้ามาให้เราก็ละเสีย เจริญตั้งแต่สิ่งดีๆ แล้วก็ไม่หลงไม่ยึด สักวันหนึ่งเราก็ต้องพลัดพรากจากกันหมด ไม่ได้พลัดพรากจากกันตอนเป็น ก็ต้องได้พลัดพรากจากกันตอนตาย ยิ่งเรามาอยู่ด้วยกันหลายคนหลายท่านก็ยิ่งเพิ่มความเสียสละ เพิ่มความรับผิดชอบ อนุเคราะห์ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ไม่ใช่ว่ากูดี มึงดี กูเด่น มึงเด่น อะไรก็ไม่รู้จักฝักใฝ่ ไม่รู้จักขวนขวาย เอาตั้งแต่กินแรงเพื่อน เอาตั้งแต่ความเกียจคร้านเข้าครอบงำ อยู่คนเดียวมันก็ทุกข์อยู่หลายคนมันก็ทุกข์
ถ้าเราเข้าใจแล้ว ต่างคนต่างร่วมแรงร่วมกายร่วมใจ มีอะไรก็ช่วยกันทำไปในทางเส้นเดียว หาทางดับทุกข์ หาทางหลุดพ้น แม้แต่กายก็สร้างประโยชน์ แม้แต่วาจาก็สร้างประโยชน์ ไม่กระทบกระทั่งกัน ลึกลงไปแม้แต่ใจก็ไม่ให้เกิดไม่ให้คิด ให้เกิดด้วยปัญญา ให้เกิดด้วยแรงบุญแรงกุศล ไปอยู่ที่ไหนก็จะมีแต่ความเจริญ ส่วนมากมันก็พูด พูดง่ายอยู่ แต่การลงมือการปฏิบัตินี่ต้องพยายาม ต้องอาศัยกาลอาศัยเวลา อาศัยตบะ อาศัยความเพียรอย่างแรงกล้า รู้บ้างไม่รู้บ้างก็ต้องพยายามทำ ทำสักวันหนึ่งก็คงจะเข้าใจในความหมายในสิ่งที่หลวงพ่อพูด ไม่เข้าใจในวันนี้ พรุ่งนี้เดือนหน้า ปีหน้า มันไม่เข้าใจจริงๆ มันจะไปต่อภพหน้าโน่น เพราะว่าตราบใดที่ใจยังเกิดอยู่ ก็ต้องพยายามกัน
วันนี้พระเราชีเราก็พยายาม ช่วยกันทุกอย่าง เราก็พากันไปทำความสะอาด ล้างน้ำประปา ถังน้ำประปาทั้งข้างล่างข้างบน น้ำประปาที่พวกเราใช้อยู่ทุกวันนี้แหละ ถ้าไม่ทำมันก็สกปรก ถ้าไม่ช่วยกันทำก็ไม่รู้ใครเขาจะทำให้ มีแต่คนใช้ คนทำไม่ค่อยมี คนเสียสละไม่ค่อยมี คนเสียสละต่อส่วนรวม มันยากเพียงแค่เรื่องกับข้าวกับปลานี่ก็ยังยากลําบาก หาคนช่วยก็ไม่ค่อยจะมี มีแต่คนกิน กินแล้วยังไม่ได้ล้างเสียอีก ทิ้งระเกะระกะ สารพัดอย่าง จะไปได้ธรรมขั้นสูงได้อย่างไร สิ่งเล็กๆ น้อยๆ ความเสียสละต่อส่วนตัวก็ยังยาก ต่อส่วนรวมก็ยังยาก ไม่มีใครเขาอยากจะเป็นอย่างนั้น เพราะความหลง ความไม่รู้
เราก็ต้องมาแก้ไขตัวเรา ปรับปรุงตัวเรา ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน อยู่ที่บ้าน ก็พยายามสร้างความขยันหมั่นเพียร อยู่ที่วัดก็สร้างความขยันหมั่นเพียร รู้ตั้งแต่ฐานของใจของเราโน่นนะมันถึงจะเกิดประโยชน์ จะไปเที่ยวให้คนโน้นเขาบังคับ คนนี้เขาบังคับ มีแต่คนโง่เท่านั้น ที่ไปเที่ยวให้คนอื่นเขาบังคับตัวเอง เราต้องบังคับตัวเรา แก้ไขตัวเรา ปรับปรุงตัวเรา บุคคลที่มีบุญมีปัญญา ฟังนิดเดียว สะกิดนิดเดียว โน่นไปถึงฝั่งพระนิพพานโน่น ความว่างความบริสุทธิ์ของใจโน่น ไม่ได้ลําบากยากเลย
สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกให้ชัดเจน ให้ต่อเนื่องกันสักนิดหนึ่งก็ยังดี ดีกว่าไม่ทำนะ
พากันไหว้พระพร้อมๆ กันพากันไปศึกษาทำความเข้าใจต่อกันเอา