หลวงพ่อฝากไว้_หลวงพ่อกล้วย ลำดับที่ 54 วันที่ 11 มิถุนายน 2557
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้_หลวงพ่อกล้วย ลำดับที่ 54 วันที่ 11 มิถุนายน 2557
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ชุดที่ 3 (ลำดับที่ 41-60)
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ลำดับที่ 54
วันที่ 11 มิถุนายน 2557
เจริญธรรมญาติโยมทุกคนทุกท่าน ขอให้ญาติโยมจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเราให้ชัดเจน ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมาเราได้สร้างความรู้ตัวแล้วหรือยัง ถ้ายังก็เริ่มเสียนะ นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย และก็วางใจให้สบาย หยุดความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ เอาไว้ชั่วครั้งชั่วคราว ถึงเราละไม่ได้ ถึงเราหยุดไม่ได้ตลอด เราก็ขอให้หยุดขณะที่กำลังนั่งฟังอยู่นี่แหละ
ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียก การน้อม การสังเกต การวิเคราะห์ การสร้างความรู้ตัว ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ การสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ นี่กายของเราก็สบายขึ้นเยอะ ใจของเราจะนึกคิดไปที่อื่นเขาก็จะหยุดนิ่ง สัมผัสของลมหายใจที่กระทบปลายจมูกของเรา มีความรู้สึกรับรู้อยู่ นั่นแหละเขาเรียกว่า ‘สติรู้กาย’ ถ้าเรารู้ให้ต่อเนื่อง เวลาหายใจเข้าหายใจออก หายใจยาวหายใจสั้น หายใจเป็นธรรมชาติที่สุด เขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ มีความรู้ตัวทั่วพร้อม ไม่ใช่ไปนึกเอาไปคิดเอา ไปนึกเอาไปคิดเอาว่าเป็นสติปัญญา อันนั้นเป็นปัญญาของโลก ของกิเลส ของโลกีย์
ปัญญาในทางทำความเข้าใจกับจิตวิญญาณของเรา ก็คือเราสร้างความรู้ตัว แล้วก็รู้ให้ต่อเนื่อง ส่วนใจนั้นเขาเกิดๆ ดับๆ ความคิดก็เกิดๆ ดับๆ หรือว่าขันธ์ห้าของเรามีอยู่เดิม แต่ก่อนเขาไม่เกิด เขาหลง เขาถึงเกิด พอเกิดขึ้นมาแล้วก็เกิดความโลภ ความโกรธ ความอยาก ความทะเยอทะยานอยากเข้ามาปิดกั้นเอาไว้ ทุกอย่างเข้ามาปิดกั้นตัวเขาเอาไว้หมด หลงจนผูกมัดตัวเองจนคลายไม่ออก จนหลงเข้ามาเกิดอยู่ในภพของมนุษย์ มีขันธ์ห้าเข้ามาครอง สร้างขันธ์ห้าขึ้นมาปิดกั้นตัวเอง
คำว่า ‘ขันธ์ห้า’ เป็นลักษณะอย่างไร นี่แหละ ก็กายของเรา ใจของเรานี่แหละ ส่วนหนึ่งเป็นส่วนรูป ส่วนหนึ่งเป็นส่วนนาม เราต้องพยายามหัดสังเกต หัดวิเคราะห์ หัดจำแนกแจกแจง ชี้เหตุชี้ผลด้วยปัญญาที่เกิดจากการเจริญภาวนา ชี้เหตุชี้ผลจนใจของเราคลายออกจากความคิด ซึ่งเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ หรือว่า ‘สัมมาทิฏฐิ’ ความรู้แจ้งเห็นจริง ความเห็นถูก ความเห็นถูกเห็นใจคลายออกจากขันธ์ห้า คลายความหลง เพียงแค่คลายได้แยกแยะได้ เราก็ต้องตามทำความเข้าใจให้ละเอียดอีก เป็นเรื่องอะไรบ้าง ทำไมใจถึงเกิด ทำไมใจถึงหลง
พระพุทธองค์ท่านสอนเรื่องชีวิตของเรา เป็นเรื่องของเรา สอนการดำเนินชีวิต อยู่ในระดับของโลกีย์ อยู่ในระดับของโลกุตระ โลกกับธรรมก็อยู่ร่วมกัน ใจกับกายก็อาศัยด้วยกันอยู่ เราต้องแยกแยะด้วยสติด้วยปัญญาที่เกิดจากการเจริญภาวนา ชี้เหตุชี้ผล ทำไมพระพุทธองค์ท่านถึงบอกว่า มีตั้งแต่ความว่างเปล่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มีแต่ความว่างเปล่า เราก็มองเห็นเป็นตัวเป็นตนอยู่ นี่แหละมันจะไม่เข้าใจกันตรงนี้ นอกจากจะดำเนินตามคำสอนของพระพุทธองค์ ให้รู้ด้วย เห็นด้วย ตามทำความเข้าใจได้ด้วย ท่านถึงบอกให้เชื่อ
ทุกคนก็ปรารถนาที่จะหาทางดับทุกข์ หาทางหลุดพ้น แต่ก็พยายามเดินทางกันอยู่ จะช้าหรือเร็วก็ขึ้นอยู่กับความเพียรของแต่ละบุคคล พยายามฝักใฝ่ พยายามสนใจ สร้างตบะสร้างบารมี ให้มีให้เกิดขึ้นที่ใจของเรา พูดน้อย นอนน้อย ปฏิบัติให้มากๆ
แต่ละวันแต่ละวัน ใจของเราเป็นอย่างไร ใจของเราเกิดกิเลสสักกี่เที่ยว ใจของเราส่งออกไปภายนอกสักกี่เรื่อง เรื่องภาระหน้าที่การงานทางสมมติเราติดขัดอะไร เราก็รีบแก้ไข เพียงแค่ระดับของสมมติเราก็ยังแก้ไขกันได้ยากอยู่ ยังพากันพันธนาการอีรุงตุงนัง กว่าจะคลายออกมาได้แต่ละชิ้นแต่ละเปราะ ก็ต้องพยายาม ใช้ความอดทน ใช้ตบะ ใช้กาลเวลา ใช้ความเพียรอย่างยิ่งยวด ต้องเป็นบุคคลที่มีความเพียร ยืน เดิน นั่ง นอน กิน อยู่ ขับถ่าย หมั่นพร่ำสอนตัวเรา แก้ไขตัวเราปรับปรุงตัวเรา เป็นเรื่องของเราทั้งนั้น ไม่ใช่เรื่องของคนอื่น
การไปที่โน่นการไปที่นี่ก็เพื่อที่จะศึกษาวิธี ศึกษาแนวทางเพื่อที่จะดำเนิน ถ้าเราเข้าใจ บุคคลที่เข้าใจ ยืน เดิน นั่ง นอน ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ใจทำหน้าที่อย่างนี้ ทวารทั้งหกทำหน้าที่อย่างนี้ อาการของขันธ์ห้า ความคิดผุดขึ้นมาอย่างนี้ ลักษณะใจที่ปราศจากกิเลสเป็นยังไง ใจที่ไม่เกิดเป็นยังไง ใจที่คลายจากความหลงเป็นยังไง นี่แหละจะเป็นบุคคลที่เข้าถึงฝั่ง จะเป็นบุคคลที่มีความขยันหมั่นมั่นเพียร ชนะตัวเองได้ ใช้ตัวเองเป็น แก้ไขตัวเราอยู่ตลอดเวลา อยู่คนเดียวเราก็ดูใจ สนุกมีความสุขในการทำความเข้าใจ สนุกกับการกับงานสร้างประโยชน์ ประโยชน์ใกล้ประโยชน์ไกล ประโยชน์ตนประโยชน์ท่าน ประโยชน์ในโลกปัจจุบัน ก็ต้องพยายามนะ
ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่ แก้ไขใหม่ ไม่มีอะไรมากหรอก ถ้าเรารู้จักวิธี รู้จักแนวทาง เพียงแค่ขัดเกลากิเลสออกจากใจของเราให้มันหมด แต่การขัดเกลานี่สิมันยาก เพราะมันสะสมมานาน การพูดง่าย การกระทำการลงมือจริงๆ ต้องเป็นบุคคลที่มีความเพียร เป็นบุคคลที่มีความเสียสละ เสียสละภายนอกเป็นอย่างไร เสียสละภายในเป็นอย่างไร ส่วนรูปธรรมเป็นอย่างไร ส่วนนามธรรมเป็นอย่างไร สักวันนึงพวกท่านก็คงจะเข้าใจ
เอาละ พยายามสร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจให้ชัดเจน ให้ต่อเนื่องกันสักนาที สองนาทีก็ยังดี
ดีกว่าไม่ต่อเนื่องนะ
พากันไว้พระพร้อมๆ กัน พากันศึกษาทำความเข้าใจต่อกันนะ
วันที่ 11 มิถุนายน 2557
เจริญธรรมญาติโยมทุกคนทุกท่าน ขอให้ญาติโยมจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเราให้ชัดเจน ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมาเราได้สร้างความรู้ตัวแล้วหรือยัง ถ้ายังก็เริ่มเสียนะ นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย และก็วางใจให้สบาย หยุดความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ เอาไว้ชั่วครั้งชั่วคราว ถึงเราละไม่ได้ ถึงเราหยุดไม่ได้ตลอด เราก็ขอให้หยุดขณะที่กำลังนั่งฟังอยู่นี่แหละ
ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียก การน้อม การสังเกต การวิเคราะห์ การสร้างความรู้ตัว ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ การสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ นี่กายของเราก็สบายขึ้นเยอะ ใจของเราจะนึกคิดไปที่อื่นเขาก็จะหยุดนิ่ง สัมผัสของลมหายใจที่กระทบปลายจมูกของเรา มีความรู้สึกรับรู้อยู่ นั่นแหละเขาเรียกว่า ‘สติรู้กาย’ ถ้าเรารู้ให้ต่อเนื่อง เวลาหายใจเข้าหายใจออก หายใจยาวหายใจสั้น หายใจเป็นธรรมชาติที่สุด เขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ มีความรู้ตัวทั่วพร้อม ไม่ใช่ไปนึกเอาไปคิดเอา ไปนึกเอาไปคิดเอาว่าเป็นสติปัญญา อันนั้นเป็นปัญญาของโลก ของกิเลส ของโลกีย์
ปัญญาในทางทำความเข้าใจกับจิตวิญญาณของเรา ก็คือเราสร้างความรู้ตัว แล้วก็รู้ให้ต่อเนื่อง ส่วนใจนั้นเขาเกิดๆ ดับๆ ความคิดก็เกิดๆ ดับๆ หรือว่าขันธ์ห้าของเรามีอยู่เดิม แต่ก่อนเขาไม่เกิด เขาหลง เขาถึงเกิด พอเกิดขึ้นมาแล้วก็เกิดความโลภ ความโกรธ ความอยาก ความทะเยอทะยานอยากเข้ามาปิดกั้นเอาไว้ ทุกอย่างเข้ามาปิดกั้นตัวเขาเอาไว้หมด หลงจนผูกมัดตัวเองจนคลายไม่ออก จนหลงเข้ามาเกิดอยู่ในภพของมนุษย์ มีขันธ์ห้าเข้ามาครอง สร้างขันธ์ห้าขึ้นมาปิดกั้นตัวเอง
คำว่า ‘ขันธ์ห้า’ เป็นลักษณะอย่างไร นี่แหละ ก็กายของเรา ใจของเรานี่แหละ ส่วนหนึ่งเป็นส่วนรูป ส่วนหนึ่งเป็นส่วนนาม เราต้องพยายามหัดสังเกต หัดวิเคราะห์ หัดจำแนกแจกแจง ชี้เหตุชี้ผลด้วยปัญญาที่เกิดจากการเจริญภาวนา ชี้เหตุชี้ผลจนใจของเราคลายออกจากความคิด ซึ่งเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ หรือว่า ‘สัมมาทิฏฐิ’ ความรู้แจ้งเห็นจริง ความเห็นถูก ความเห็นถูกเห็นใจคลายออกจากขันธ์ห้า คลายความหลง เพียงแค่คลายได้แยกแยะได้ เราก็ต้องตามทำความเข้าใจให้ละเอียดอีก เป็นเรื่องอะไรบ้าง ทำไมใจถึงเกิด ทำไมใจถึงหลง
พระพุทธองค์ท่านสอนเรื่องชีวิตของเรา เป็นเรื่องของเรา สอนการดำเนินชีวิต อยู่ในระดับของโลกีย์ อยู่ในระดับของโลกุตระ โลกกับธรรมก็อยู่ร่วมกัน ใจกับกายก็อาศัยด้วยกันอยู่ เราต้องแยกแยะด้วยสติด้วยปัญญาที่เกิดจากการเจริญภาวนา ชี้เหตุชี้ผล ทำไมพระพุทธองค์ท่านถึงบอกว่า มีตั้งแต่ความว่างเปล่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มีแต่ความว่างเปล่า เราก็มองเห็นเป็นตัวเป็นตนอยู่ นี่แหละมันจะไม่เข้าใจกันตรงนี้ นอกจากจะดำเนินตามคำสอนของพระพุทธองค์ ให้รู้ด้วย เห็นด้วย ตามทำความเข้าใจได้ด้วย ท่านถึงบอกให้เชื่อ
ทุกคนก็ปรารถนาที่จะหาทางดับทุกข์ หาทางหลุดพ้น แต่ก็พยายามเดินทางกันอยู่ จะช้าหรือเร็วก็ขึ้นอยู่กับความเพียรของแต่ละบุคคล พยายามฝักใฝ่ พยายามสนใจ สร้างตบะสร้างบารมี ให้มีให้เกิดขึ้นที่ใจของเรา พูดน้อย นอนน้อย ปฏิบัติให้มากๆ
แต่ละวันแต่ละวัน ใจของเราเป็นอย่างไร ใจของเราเกิดกิเลสสักกี่เที่ยว ใจของเราส่งออกไปภายนอกสักกี่เรื่อง เรื่องภาระหน้าที่การงานทางสมมติเราติดขัดอะไร เราก็รีบแก้ไข เพียงแค่ระดับของสมมติเราก็ยังแก้ไขกันได้ยากอยู่ ยังพากันพันธนาการอีรุงตุงนัง กว่าจะคลายออกมาได้แต่ละชิ้นแต่ละเปราะ ก็ต้องพยายาม ใช้ความอดทน ใช้ตบะ ใช้กาลเวลา ใช้ความเพียรอย่างยิ่งยวด ต้องเป็นบุคคลที่มีความเพียร ยืน เดิน นั่ง นอน กิน อยู่ ขับถ่าย หมั่นพร่ำสอนตัวเรา แก้ไขตัวเราปรับปรุงตัวเรา เป็นเรื่องของเราทั้งนั้น ไม่ใช่เรื่องของคนอื่น
การไปที่โน่นการไปที่นี่ก็เพื่อที่จะศึกษาวิธี ศึกษาแนวทางเพื่อที่จะดำเนิน ถ้าเราเข้าใจ บุคคลที่เข้าใจ ยืน เดิน นั่ง นอน ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ใจทำหน้าที่อย่างนี้ ทวารทั้งหกทำหน้าที่อย่างนี้ อาการของขันธ์ห้า ความคิดผุดขึ้นมาอย่างนี้ ลักษณะใจที่ปราศจากกิเลสเป็นยังไง ใจที่ไม่เกิดเป็นยังไง ใจที่คลายจากความหลงเป็นยังไง นี่แหละจะเป็นบุคคลที่เข้าถึงฝั่ง จะเป็นบุคคลที่มีความขยันหมั่นมั่นเพียร ชนะตัวเองได้ ใช้ตัวเองเป็น แก้ไขตัวเราอยู่ตลอดเวลา อยู่คนเดียวเราก็ดูใจ สนุกมีความสุขในการทำความเข้าใจ สนุกกับการกับงานสร้างประโยชน์ ประโยชน์ใกล้ประโยชน์ไกล ประโยชน์ตนประโยชน์ท่าน ประโยชน์ในโลกปัจจุบัน ก็ต้องพยายามนะ
ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่ แก้ไขใหม่ ไม่มีอะไรมากหรอก ถ้าเรารู้จักวิธี รู้จักแนวทาง เพียงแค่ขัดเกลากิเลสออกจากใจของเราให้มันหมด แต่การขัดเกลานี่สิมันยาก เพราะมันสะสมมานาน การพูดง่าย การกระทำการลงมือจริงๆ ต้องเป็นบุคคลที่มีความเพียร เป็นบุคคลที่มีความเสียสละ เสียสละภายนอกเป็นอย่างไร เสียสละภายในเป็นอย่างไร ส่วนรูปธรรมเป็นอย่างไร ส่วนนามธรรมเป็นอย่างไร สักวันนึงพวกท่านก็คงจะเข้าใจ
เอาละ พยายามสร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจให้ชัดเจน ให้ต่อเนื่องกันสักนาที สองนาทีก็ยังดี
ดีกว่าไม่ต่อเนื่องนะ
พากันไว้พระพร้อมๆ กัน พากันศึกษาทำความเข้าใจต่อกันนะ