หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 76
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 76
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 76
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 31 กรกฎาคม 2558
มีความสุขกันทุกคน วันนี้อากาศแจ่ม ฝนฟ้าก็ตกปรอยๆ เมื่อคืนญาติโยมก็มาเวียนเทียนกันเยอะ มีงานมีการวันสำคัญ ทุกวันนี้ญาติโยมเยอะแน่นกันตั้งแต่เช้า มาสั่งสมบุญ คนไทยใจบุญ อยู่ที่ไหนก็พากันฝักใฝ่ในการทำบุญในการให้ทาน ในการแสวงหาแนวทางที่จะหาทางดับทุกข์หาทางหลุดพ้น การทำบุญให้ทานนี้มีกันทุกที่ทั่วประเทศ ก็เป็นประเทศที่มีความสุขอยู่มากมาย
คนเกิดมาก็ปรารถนาที่จะหาทางดับทุกข์กัน เราต้องพยายามศึกษาค้นคว้า รู้กายรู้ใจของตัวเราเองตั้งแต่ตื่นขึ้น ใจของเราวิญญาณในกายของเราเป็นอย่างไร การเกิดการดับ ทำไมใจถึงเกิด ทำไมใจถึงหลง ทำไมใจถึงเป็นทาสของกิเลส เราต้องมาเจริญสติเข้าไปศึกษาวิเคราะห์พิจารณาทุกเรื่องทั้งโลกทั้งธรรม หมั่นฝักใฝ่หมั่นสร้างตบะสร้างบารมี เพื่อลดละกิเลสออกจากจิตจากใจของเรา
เมื่อวานนี้แน่นขนัด รถแทบไม่มีที่จอด อานิสงส์แห่งบุญแหล่งบุญอยู่ที่ไหน เหล่ามนุษย์เหล่าเทวดาย่อมจะหลั่งไหลมาเป็นธรรมดา การละกิเลสต้องละเอา พวกเราก็มาละกิเลสของตัวเรา มาวัดก็เพื่อมาละกิเลส แต่เราไม่เข้าใจเพราะว่ากําลังสติของเรามีไม่เพียงพอที่จะเข้าไปอบรมใจได้ก็เลยไปทั้งก้อน ทำบุญทั้งก้อน ทั้งก้อนทั้งสติปัญญา ทั้งสติทั้งปัญญา ทั้งจิตวิญญาณ ทั้งอาการของวิญญาณ ก็ไปด้วยกันหมด
ส่วนการทำบุญให้ทานทุกคนก็มีกันเต็มเปี่ยม ศรัทธาก็มีกันเต็มเปี่ยม แต่การเจริญสติเข้าไปอบรมใจของเรานี่ต้องเอาตั้งแต่ตื่นขึ้นมาเลยนะ ต้องเอาตั้งแต่ตื่นขึ้นมาทำใจให้สะอาดทำใจให้บริสุทธิ์ ใจสะอาดนั้นมีมาแต่ก่อน แต่ความไม่รู้ ความหลงเขาถึงเกิด เขาถึงเป็นทาสของกิเลส เราต้องมาเจริญสติเข้าไปอบรมใจ จนกว่าใจจะคลายออกจากขันธ์ห้าซึ่งเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ ตามเห็นการเกิดการดับ เข้าใจในชีวิตของตัวเรา มองเห็นหนทางเดิน
แนวทางนั้นมีมานานแล้ว พระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบแล้วก็เอามาเปิดเผย แล้วก็มาชี้เหตุชี้ผล เห็นเหตุเห็นผล เห็นการเกิดการดับ จนใจไม่เกิดนั่นแหละ ดับความเกิดของใจได้นั่นแหละ จนวางใจให้กลับคืนสู่สภาพอิสรภาพ กลับคืนสู่ธรรมชาติของเขาได้นั่นแหละถึงจะไม่กลับมาเกิดกัน มีโอกาสก็ได้เชิญชวนพี่น้องเรามาร่วมกัน มาร่วมกันมาช่วยกันทำมาช่วยกันสร้าง มาจุดเทียนเล่มใหญ่ไว้สักเล่มนึง แล้วก็หมู่คณะเพื่อนฝูงก็มาจุดต่อ สว่างไสวไม่จบไม่สิ้น บุญของสมมติ สมมติวิมุตติก็อยู่ด้วยกัน โลกกับธรรมก็อยู่ด้วยกัน แต่เราต้องแยกแยะด้วยสติแยกแยะด้วยปัญญา ชี้เหตุชี้ผลด้วยสติด้วยปัญญา
ตามแนวทางของพระพุทธองค์ ท่านบอกให้ปฏิบัติอย่างนี้ทำอย่างนี้ ให้รู้ให้เห็น ท่านถึงบอกให้เชื่อ ไม่ใช่ว่าให้เชื่อแบบหลงงมงาย ให้เชื่อให้มองให้เห็นตามเหตุตามปัจจัยที่มีอยู่ วิญญาณในกายของเราเป็นอย่างไรมีอะไร กายทำหน้าที่อย่างไร ทวารทั้งหกทำหน้าที่อย่างไร เขาอยู่ด้วยกันได้อย่างไร ไม่ใช่ว่าจะไปเอาตั้งแต่ธรรม แต่ปฏิบัติธรรมไม่รู้จักธรรม เจริญสติไม่รู้จักสติ เอาตั้งแต่ความคิดของกิเลสเข้ามาห้ำหั่นกัน
การฝึกหัดปฏิบัติธรรมจะคร่ำเคร่งมากมายถึงขนาดไหน จุดมุ่งหมายก็เพื่อที่จะละกิเลส เพื่อที่จะคลายความหลง ความหลงมีหลายระดับ ความหลงตั้งแต่หลงในขันธ์ห้าของตัวเอง หลงในขันธ์ห้า หลงยึดมั่นถือมั่นในคุณงามความดีทุกสิ่งทุกอย่าง แม้แต่ความอยากความไม่อยากท่านก็ต้องให้ละให้หมด ความอยากความเกิดของวิญญาณ เพียงแค่การเกิดนั้นก็หลงแล้ว ถ้าไม่หลงไม่เกิด เขาหลงเพียงแค่ระดับละเอียด เกิดอยู่ในภพของมนุษย์ เขาก็มาสร้างกายเนื้อมาปิดกั้นตัวเอาไว้ แล้วก็เกิดต่ออีกเป็นทาสของกิเลสอีก
เราก็ต้องพยายามหมั่นขัดเกลาด้วยการสร้างตบะบารมี ใจของเราเกิดความโลภ เราก็ละความโลภด้วยยการให้ด้วยการเอาออก ใจเกิดความอาฆาตพยาบาท เราก็พยายามละความอาฆาตพยาบาทด้วยการให้อภัยทานอโหสิกรรม ใจเกิดความหลงในขันธ์ห้าในความคิด เราก็แยกเจริญสติเข้าไปรู้เท่าทัน จนแยกได้คลายได้ ในหลักธรรมท่านถึงเรียกว่า ‘วิปัสสนา’
‘สัมมาทิฏฐิ’ ความรู้แจ้งเห็นจริง เพียงแค่แยกได้นั้นยังไม่พอ ต้องตามดู รู้เห็นความเป็นจริงทุกอย่างอีก เราก็ละออกให้มันหมดอีกให้ถึงจุดหมายปลายทาง จนมองเห็นหนทางเดินว่าเราละกิเลสได้ตัวไหนบ้าง ตัวไหนยังเหลืออยู่บ้าง จนไม่เหลือ จนเหลือแต่สมมติคือกายเนื้อที่เราต้องดูแลรักษา หนุนกําลังสติปัญญาเข้าไปทำหน้าที่แทน แม้แต่สติปัญญาถ้าเป็นอกุศลในทางที่ไม่ดีเราก็ต้องให้ละอีกไม่ให้เกิดอีก ให้มองโลกในทางที่ดี คิดดี ทำดี ถึงจะเกิดประโยชน์ กิเลสหยาบกิเลสละเอียดมีเยอะมากมาย
เราพยายามหมั่นพร่ำสอนใจของเรา ถ้าสอนเราไม่ได้อย่าไปเที่ยวให้คนอื่นเขาสอน ไม่เกิดประโยชน์ แนวทางนั้นมีมาตั้งนาน แต่ละวันๆ ความเกิดของจิตวิญญาณ ความเกิดของขันธ์ห้านี่มันมีเยอะ ถ้าเรารู้จักแยกแยะให้ออก ลักษณะของสติปัญญาที่เอาไปใช้การใช้งาน เห็นแล้วก็มีความสุข พี่น้องเราก็พากันเข้าวัด ไม่ว่าอยู่ที่ไหนเราต้องเข้าวัดภายในของเราเสียก่อนให้จบ วัดกายวัดใจ แล้วก็มีโอกาสก็ไปวัดภายนอก ไปสร้างบุญสร้างอานิสงส์ฝากฝังเอาไว้ คิดดีทำดี การกระทำของเราก็ต้องถึงพร้อม อยู่ด้วยพรหมวิหาร อยู่ด้วยความเมตตา ไปที่ไหนก็จะมีตั้งแต่ความสุข อยู่หลายคนก็มีความสุข อยู่คนเดียวก็มีความสุข
มีโอกาส พวกเราก็ได้มาสร้างอานิสงส์ร่วมกัน หลวงพ่อก็บอกกล่าวทุกคนให้มีโอกาสได้มาร่วมกัน จะพาสร้างมหาเจดีย์ซึ่งตั้งชื่อว่าพุทธเมตตาหลวง พุทธะหมายถึงนามของพระพุทธองค์คือ ผู้รู้ ได้เมตตาจากท่านได้ค้นพบแล้วก็มาเปิดเผย สอนสัตว์โลกให้ได้ปฏิบัติตาม เกิดเมตตามากมายเรียกว่าเมตตาหลวง เมตตามหาศาลมากมาย เป็นเจดีย์ของผู้รู้ของพระพุทธองค์ น้อมระลึกนึกถึงคุณของท่าน
เราก็สร้างเจดีย์อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุซึ่งจะได้มาจากส่วนที่ท่านเสด็จมามากมาย ซึ่งคุณลุงทองดีที่อยู่นครปฐม ที่บ้านท่านนี่เสด็จมามากมายอยู่ตรงนั้น ท่านก็จะได้น้อมมาประดิษฐานเอาไว้ ณ ที่ตรงนี้ ให้ทุกคนได้กราบได้ไหว้กัน เป็นสิ่งที่ประเสริฐ เป็นสิ่งที่เป็นสิริมงคลของทุกคน ของเหล่ามนุษย์ของเหล่าเทวดา พวกเรามีโอกาส โอกาสมากก็ได้ทำมาก พวกเรามีโอกาสน้อย ใครมีโอกาสมากใครมีกําลังพอก็ได้ทำ น้อมกายน้อมใจของเราก็มาทำช่วยกันฝากเอาไว้ให้เป็นสมบัติของส่วนกลาง ให้เป็นสมบัติของส่วนรวมไม่ใช่ของคนใดคนหนึ่ง
แม้แต่ร่างกายของเรานี่จะยังจะกลับคืนสู่สภาพเดิม ถึงเวลาที่ขณะร่างกายของเรายังแข็งแรงอยู่ เราก็พยายามสร้างบุญอันมหาศาลทั้งภายนอกภายในฝากเอาไว้ก็จะมีตั้งแต่ความสุข ตราบใดที่ใจของเราต้องดับความเกิดไม่หมดจด เราก็ยังอาศัยเข้าพกเข้าห่อตรงนี้แหละดำเนินทางดำเนินไปให้ถึงจุดหมายปลายทาง ไม่ถึงช้าก็ต้องถึงเร็ว
มีโอกาสหลวงพ่อก็ขอเชิญชวนทุกคน จะได้มีอานิสงส์แห่งบุญร่วมกัน อยู่ใกล้อยู่ไกล ไม่นาน ไม่นานประมาณสัก 2-3 ปี ก็คงจะเสร็จ ไม่เยอะหรอก ประมาณสัก 200 - 300 ล้านเอง คนละบาทสองบาท คนทั่วประเทศไทยนี่ก็เหลือเฟือแล้ว คือไม่ต้องมานั่นมากมาย ออกคนละบาทสองบาทรวมกันก็พอ บางคนมีเยอะก็ออกเยอะ บางคนมีน้อยก็ออกน้อย บางคนไม่มีก็น้อมกายเข้ามาช่วยก็เป็นอำนาจแห่งบุญ บุญระดับสมมติเราก็ทำเหมือนกับต้นไม้นั่นแหละ มีทั้งเปลือก มีทั้งกระพี้ มีทั้งแก่น เราจะเอาตั้งแต่แก่น เปลือกกระพี้ไม่เอามันก็ตาย นี่เราก็ต้องดูแลทุกอย่างๆ ถึงจะมีความสุขกัน
ตั้งใจรับพรกัน
ขอให้พี่น้องเราทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ต่อเนื่องเชื่อมโยงกันสักนิดหนึ่งก็ยังดี นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย แล้วก็วางใจให้สบาย หยุดความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ เอาไว้ชั่วครั้งชั่วคราว ถึงเราหยุดไม่ได้ ดับไม่ได้ ละไม่ได้ ก็ให้รู้จักลักษณะของการเจริญสติให้ได้เสียก่อน ฟังไปด้วยน้อมระลึกรู้ ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ สัก 2-3 เที่ยว กายของเราก็จะสงบตั้งมั่นขึ้น ใจของเราก็จะสงบลงทันที
การสูดลมหายใจยาว ผ่อนลมหายใจยาวนี้รู้สึกว่าความคิดต่างๆ เขาก็จะหยุด สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเรา ความรู้สึกรับรู้นั้นแหละภาษาธรรมท่านเรียกว่า สติ ‘สติรู้กาย’ รู้หายใจเข้าหายใจออก รู้ให้ต่อเนื่องเขาเรียกว่าเชื่อมโยงเขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’
เราต้องรู้ ตั้งแต่ตื่นขึ้นตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ พอรู้ตัวปุ๊บ ลมหายใจรู้เข้าออก รู้ให้ต่อเนื่อง กําลังสติของเราก็จะตั้งมั่นขึ้น นี่แหละที่เราจะต้องสร้างขึ้นมาขยัน ส่วนศรัทธา ความเสียสละ การสร้างบารมีส่วนอื่นนั้นมีกันเต็มอยู่แล้ว แต่กําลังสติตรงนี้เราต้องพยายามสร้างขึ้นมาให้ได้เสียก่อน ถ้าเราสร้างขึ้นมาได้ต่อเนื่อง การเกิดของใจก็จะเห็น เห็นการเกิดของใจแล้วก็จะเห็นเป็นสองอย่าง กําลังสติของเราต่อเนื่องขึ้นไปอีกเราก็จะเห็นความคิดที่เราไม่ตั้งใจคิดหรือว่าอาการของใจ อาการของขันธ์ห้า เขามีกันทุกคน มีกันเต็มเปี่ยมเลยทีเดียว เขาเห็น เห็นเขาก่อตัวจิตหรือว่าตัวใจจะเคลื่อนเข้าไปรวมเอง ส่วนมากเคลื่อนเข้าไปรวมแล้วเราถึงรู้
ถ้าเรารู้เท่าทันใจเคลื่อนเข้าไปรวม ใจจะดีดออกจากความคิดตรงนั้นเขาเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ หงายจากของที่คว่ำ เห็นหงายจากของที่คว่ำ ใจก็จะว่าง สติก็จะตามดู การเกิดการดับของความคิด ซึ่งเป็นอาการของขันธ์ห้า เขาเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปนั่นแหละ เขาเรียกว่าเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาในขันธ์ห้า เราก็จะเห็นเป็น 3 ส่วนแล้วนะ ถ้าเห็นเป็นสามส่วนแล้ว ตามดูแล้วเป็นเรื่องอะไรอีก บางทีก็เป็นเรื่องอดีต บางทีก็เป็นเรื่องอนาคต บางทีก็เป็นกองกุศลบ้าง กองอกุศลบ้าง ก็จะเข้าใจในคําสอนของพระพุทธองค์ว่าท่านสอนเรื่องอะไร นี่แหละ ท่านถึงบอกว่าให้รอบรู้ในกองสังขาร ให้รอบรู้ในดวงวิญญาณในกายของตัวเรา เพียงแค่ขั้นเริ่มต้นนี้คลายความหลง คลายความหลงจากขันธ์ห้าให้ได้เสียก่อน แล้วก็ตามดูทุกเรื่อง ถ้าขาดการตามดูอีก เขาก็จะซึมเข้าสู่สภาพเดิมอีก
ถ้ากําลังสติตามดู กําลังสติจะพุ่งแรงเริ่มกลายเป็นมหาสติ ตามดูรู้เหตุ ชี้เหตุชี้ผล ตามดูทุกอย่างจากมหาสติก็จะกลายเป็นมหาปัญญา จากมหาปัญญาก็จะกลายเป็นปัญญารู้เห็นตามความเป็นจริง เห็นการเกิดการดับ ในหลักธรรมภาษาธรรมะท่านเรียกว่า ‘ปฏิจจสมุปบาท’ มันเกิดๆ ดับๆ เกิดๆ ดับๆ อยู่ตลอดเวลา อะไรตามดูเราก็ลงไตรลักษณ์ ลงความว่าง มันเป็นแค่เพียงอาการ เป็นแค่เพียงมายา มีกุศลหรือว่าอกุศลเป็นกอง หรือว่ามีความโลภ ความโกรธ ความอยาก
โกรธ อยาก เกิดตัววิญญาณเข้าไปผสมโรงอีกเราก็ต้องแก้ให้ออก บอกตัวเองให้ได้ ตัวความว่างนั่นแหละ ตัววิญญาณมีอยู่ในความว่างอยู่ ก็รู้ด้วย เห็นด้วย ตามดูด้วยทุกเรื่อง ใจถึงยอมรับความเป็นจริงได้ ใจถึงจะ ปล่อยจะวางได้ แต่คนทั่วไปกําลังสติมีก็ไม่เพียงพอ แต่การทำบุญให้ทานมีอยู่ การฝักใฝ่ การสนใจมีอยู่ กิเลสหยาบกิเลสละเอียดนี่มีเยอะแยะเลย จนกระทั่งมลทินนิวรณธรรมต่างๆ ความกังวล ความฟุ้งซ่าน มองโลกในแง่ร้ายหรือว่ามองโลกในแง่ดี ตราบใดที่แยกแยะได้ ตามดูได้ รู้เห็นได้ยังไม่เพียงพอ เราต้องมาดับความเกิดที่ใจอีก ละกิเลสที่ใจอีก
แม้แต่การเกิดของใจก็ยังไม่ให้มี ดับการเกิดของวิญญาณ วิญญาณไม่เกิด วางวิญญาณให้กลับคืนสู่สภาพอีก หนุนกําลังสติปัญญาไปใช้กับโลกจนกว่าธาตุขันธ์จะแตกจะดับ จะเห็นจะปรากฎขึ้นที่ใจของเรา ให้รู้ด้วย เห็นด้วย เข้าถึงด้วย ประกาศด้วยตนเองได้อีกด้วยว่าเราไปอย่างไรมาอย่างไง ถึงอย่างไร เอาความเป็นกลาง ความว่าง ไม่เข้าข้างตัวเองเข้าข้างคนอื่นนั่นแหละคือเครื่องตัดสิน เราจะได้มองเห็นชีวิตของเราว่าเราจะดำเนินชีวิตของเราไปในทางใดบ้าง เราก็ต้องพยายามนะ
ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่ แก้ไขใหม่ ปรับปรุงตัวเราใหม่ พลั้งเผลอเมื่อไหร่เราก็เริ่ม การทำบุญให้ทานเราก็ทำ การสร้างอานิสงส์สร้างบุญบารมี ทุกสิ่งทุกอย่างจะเกื้อหนุนส่งถึงจุดหมายปลายทาง เหมือนกับเราขึ้นบันได เราก็จะขึ้นขั้นแรกจนถึงตัวเรือน อาศัยจากตัวเรือนลงมาก็อาศัยบันได เหมือนกันหมด
การทำบุญให้ทาน เราจะเอาสิ่งหนึ่งใดสิ่งหนึ่งก็ไม่ได้เพราะว่าเกี่ยวเนื่องกัน ถ้าถึงจุดหมายปลายทางจริงๆ เราก็อยู่ด้วยปัญญา บริหารด้วยปัญญา อยู่ที่ไหนก็มีความสุข อยู่คนเดียวก็มีความสุข อยู่หลายคนก็มีความสุข หมั่นพร่ำสอนตัวเรา เจริญสติเข้าไปอบรมใจ เป็นเพื่อนของใจของเราให้ได้ ทำไมใจถึงเกิด ทำไมใจถึงหลง แนวทางนั้นมีมานาน ถ้าเราสอนตัวเราไม่ได้อย่าไปเที่ยวให้คนอื่นเขาสอน จงสอนตัวเราแก้ไขตัวเรา ปรับปรุงตัวเรา แนวทางนั้นมีอยู่แล้ว
พยายามสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจให้ต่อเนื่องให้เชื่อมโยงกันสักนิดหนึ่งก็ยังดี ดีกว่าไม่ทำ ทำใจให้ว่าง สมองให้โล่ง กายให้โปร่ง อยู่หลายคนก็เหมือนกับอยู่คนเดียว อยู่คนเดียวขณะนี้ก็ให้รู้ว่าลมหายใจวิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจนกันนะ
พากันไหว้พระพร้อมๆ กันค่อยไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอานะ
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 31 กรกฎาคม 2558
มีความสุขกันทุกคน วันนี้อากาศแจ่ม ฝนฟ้าก็ตกปรอยๆ เมื่อคืนญาติโยมก็มาเวียนเทียนกันเยอะ มีงานมีการวันสำคัญ ทุกวันนี้ญาติโยมเยอะแน่นกันตั้งแต่เช้า มาสั่งสมบุญ คนไทยใจบุญ อยู่ที่ไหนก็พากันฝักใฝ่ในการทำบุญในการให้ทาน ในการแสวงหาแนวทางที่จะหาทางดับทุกข์หาทางหลุดพ้น การทำบุญให้ทานนี้มีกันทุกที่ทั่วประเทศ ก็เป็นประเทศที่มีความสุขอยู่มากมาย
คนเกิดมาก็ปรารถนาที่จะหาทางดับทุกข์กัน เราต้องพยายามศึกษาค้นคว้า รู้กายรู้ใจของตัวเราเองตั้งแต่ตื่นขึ้น ใจของเราวิญญาณในกายของเราเป็นอย่างไร การเกิดการดับ ทำไมใจถึงเกิด ทำไมใจถึงหลง ทำไมใจถึงเป็นทาสของกิเลส เราต้องมาเจริญสติเข้าไปศึกษาวิเคราะห์พิจารณาทุกเรื่องทั้งโลกทั้งธรรม หมั่นฝักใฝ่หมั่นสร้างตบะสร้างบารมี เพื่อลดละกิเลสออกจากจิตจากใจของเรา
เมื่อวานนี้แน่นขนัด รถแทบไม่มีที่จอด อานิสงส์แห่งบุญแหล่งบุญอยู่ที่ไหน เหล่ามนุษย์เหล่าเทวดาย่อมจะหลั่งไหลมาเป็นธรรมดา การละกิเลสต้องละเอา พวกเราก็มาละกิเลสของตัวเรา มาวัดก็เพื่อมาละกิเลส แต่เราไม่เข้าใจเพราะว่ากําลังสติของเรามีไม่เพียงพอที่จะเข้าไปอบรมใจได้ก็เลยไปทั้งก้อน ทำบุญทั้งก้อน ทั้งก้อนทั้งสติปัญญา ทั้งสติทั้งปัญญา ทั้งจิตวิญญาณ ทั้งอาการของวิญญาณ ก็ไปด้วยกันหมด
ส่วนการทำบุญให้ทานทุกคนก็มีกันเต็มเปี่ยม ศรัทธาก็มีกันเต็มเปี่ยม แต่การเจริญสติเข้าไปอบรมใจของเรานี่ต้องเอาตั้งแต่ตื่นขึ้นมาเลยนะ ต้องเอาตั้งแต่ตื่นขึ้นมาทำใจให้สะอาดทำใจให้บริสุทธิ์ ใจสะอาดนั้นมีมาแต่ก่อน แต่ความไม่รู้ ความหลงเขาถึงเกิด เขาถึงเป็นทาสของกิเลส เราต้องมาเจริญสติเข้าไปอบรมใจ จนกว่าใจจะคลายออกจากขันธ์ห้าซึ่งเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ ตามเห็นการเกิดการดับ เข้าใจในชีวิตของตัวเรา มองเห็นหนทางเดิน
แนวทางนั้นมีมานานแล้ว พระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบแล้วก็เอามาเปิดเผย แล้วก็มาชี้เหตุชี้ผล เห็นเหตุเห็นผล เห็นการเกิดการดับ จนใจไม่เกิดนั่นแหละ ดับความเกิดของใจได้นั่นแหละ จนวางใจให้กลับคืนสู่สภาพอิสรภาพ กลับคืนสู่ธรรมชาติของเขาได้นั่นแหละถึงจะไม่กลับมาเกิดกัน มีโอกาสก็ได้เชิญชวนพี่น้องเรามาร่วมกัน มาร่วมกันมาช่วยกันทำมาช่วยกันสร้าง มาจุดเทียนเล่มใหญ่ไว้สักเล่มนึง แล้วก็หมู่คณะเพื่อนฝูงก็มาจุดต่อ สว่างไสวไม่จบไม่สิ้น บุญของสมมติ สมมติวิมุตติก็อยู่ด้วยกัน โลกกับธรรมก็อยู่ด้วยกัน แต่เราต้องแยกแยะด้วยสติแยกแยะด้วยปัญญา ชี้เหตุชี้ผลด้วยสติด้วยปัญญา
ตามแนวทางของพระพุทธองค์ ท่านบอกให้ปฏิบัติอย่างนี้ทำอย่างนี้ ให้รู้ให้เห็น ท่านถึงบอกให้เชื่อ ไม่ใช่ว่าให้เชื่อแบบหลงงมงาย ให้เชื่อให้มองให้เห็นตามเหตุตามปัจจัยที่มีอยู่ วิญญาณในกายของเราเป็นอย่างไรมีอะไร กายทำหน้าที่อย่างไร ทวารทั้งหกทำหน้าที่อย่างไร เขาอยู่ด้วยกันได้อย่างไร ไม่ใช่ว่าจะไปเอาตั้งแต่ธรรม แต่ปฏิบัติธรรมไม่รู้จักธรรม เจริญสติไม่รู้จักสติ เอาตั้งแต่ความคิดของกิเลสเข้ามาห้ำหั่นกัน
การฝึกหัดปฏิบัติธรรมจะคร่ำเคร่งมากมายถึงขนาดไหน จุดมุ่งหมายก็เพื่อที่จะละกิเลส เพื่อที่จะคลายความหลง ความหลงมีหลายระดับ ความหลงตั้งแต่หลงในขันธ์ห้าของตัวเอง หลงในขันธ์ห้า หลงยึดมั่นถือมั่นในคุณงามความดีทุกสิ่งทุกอย่าง แม้แต่ความอยากความไม่อยากท่านก็ต้องให้ละให้หมด ความอยากความเกิดของวิญญาณ เพียงแค่การเกิดนั้นก็หลงแล้ว ถ้าไม่หลงไม่เกิด เขาหลงเพียงแค่ระดับละเอียด เกิดอยู่ในภพของมนุษย์ เขาก็มาสร้างกายเนื้อมาปิดกั้นตัวเอาไว้ แล้วก็เกิดต่ออีกเป็นทาสของกิเลสอีก
เราก็ต้องพยายามหมั่นขัดเกลาด้วยการสร้างตบะบารมี ใจของเราเกิดความโลภ เราก็ละความโลภด้วยยการให้ด้วยการเอาออก ใจเกิดความอาฆาตพยาบาท เราก็พยายามละความอาฆาตพยาบาทด้วยการให้อภัยทานอโหสิกรรม ใจเกิดความหลงในขันธ์ห้าในความคิด เราก็แยกเจริญสติเข้าไปรู้เท่าทัน จนแยกได้คลายได้ ในหลักธรรมท่านถึงเรียกว่า ‘วิปัสสนา’
‘สัมมาทิฏฐิ’ ความรู้แจ้งเห็นจริง เพียงแค่แยกได้นั้นยังไม่พอ ต้องตามดู รู้เห็นความเป็นจริงทุกอย่างอีก เราก็ละออกให้มันหมดอีกให้ถึงจุดหมายปลายทาง จนมองเห็นหนทางเดินว่าเราละกิเลสได้ตัวไหนบ้าง ตัวไหนยังเหลืออยู่บ้าง จนไม่เหลือ จนเหลือแต่สมมติคือกายเนื้อที่เราต้องดูแลรักษา หนุนกําลังสติปัญญาเข้าไปทำหน้าที่แทน แม้แต่สติปัญญาถ้าเป็นอกุศลในทางที่ไม่ดีเราก็ต้องให้ละอีกไม่ให้เกิดอีก ให้มองโลกในทางที่ดี คิดดี ทำดี ถึงจะเกิดประโยชน์ กิเลสหยาบกิเลสละเอียดมีเยอะมากมาย
เราพยายามหมั่นพร่ำสอนใจของเรา ถ้าสอนเราไม่ได้อย่าไปเที่ยวให้คนอื่นเขาสอน ไม่เกิดประโยชน์ แนวทางนั้นมีมาตั้งนาน แต่ละวันๆ ความเกิดของจิตวิญญาณ ความเกิดของขันธ์ห้านี่มันมีเยอะ ถ้าเรารู้จักแยกแยะให้ออก ลักษณะของสติปัญญาที่เอาไปใช้การใช้งาน เห็นแล้วก็มีความสุข พี่น้องเราก็พากันเข้าวัด ไม่ว่าอยู่ที่ไหนเราต้องเข้าวัดภายในของเราเสียก่อนให้จบ วัดกายวัดใจ แล้วก็มีโอกาสก็ไปวัดภายนอก ไปสร้างบุญสร้างอานิสงส์ฝากฝังเอาไว้ คิดดีทำดี การกระทำของเราก็ต้องถึงพร้อม อยู่ด้วยพรหมวิหาร อยู่ด้วยความเมตตา ไปที่ไหนก็จะมีตั้งแต่ความสุข อยู่หลายคนก็มีความสุข อยู่คนเดียวก็มีความสุข
มีโอกาส พวกเราก็ได้มาสร้างอานิสงส์ร่วมกัน หลวงพ่อก็บอกกล่าวทุกคนให้มีโอกาสได้มาร่วมกัน จะพาสร้างมหาเจดีย์ซึ่งตั้งชื่อว่าพุทธเมตตาหลวง พุทธะหมายถึงนามของพระพุทธองค์คือ ผู้รู้ ได้เมตตาจากท่านได้ค้นพบแล้วก็มาเปิดเผย สอนสัตว์โลกให้ได้ปฏิบัติตาม เกิดเมตตามากมายเรียกว่าเมตตาหลวง เมตตามหาศาลมากมาย เป็นเจดีย์ของผู้รู้ของพระพุทธองค์ น้อมระลึกนึกถึงคุณของท่าน
เราก็สร้างเจดีย์อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุซึ่งจะได้มาจากส่วนที่ท่านเสด็จมามากมาย ซึ่งคุณลุงทองดีที่อยู่นครปฐม ที่บ้านท่านนี่เสด็จมามากมายอยู่ตรงนั้น ท่านก็จะได้น้อมมาประดิษฐานเอาไว้ ณ ที่ตรงนี้ ให้ทุกคนได้กราบได้ไหว้กัน เป็นสิ่งที่ประเสริฐ เป็นสิ่งที่เป็นสิริมงคลของทุกคน ของเหล่ามนุษย์ของเหล่าเทวดา พวกเรามีโอกาส โอกาสมากก็ได้ทำมาก พวกเรามีโอกาสน้อย ใครมีโอกาสมากใครมีกําลังพอก็ได้ทำ น้อมกายน้อมใจของเราก็มาทำช่วยกันฝากเอาไว้ให้เป็นสมบัติของส่วนกลาง ให้เป็นสมบัติของส่วนรวมไม่ใช่ของคนใดคนหนึ่ง
แม้แต่ร่างกายของเรานี่จะยังจะกลับคืนสู่สภาพเดิม ถึงเวลาที่ขณะร่างกายของเรายังแข็งแรงอยู่ เราก็พยายามสร้างบุญอันมหาศาลทั้งภายนอกภายในฝากเอาไว้ก็จะมีตั้งแต่ความสุข ตราบใดที่ใจของเราต้องดับความเกิดไม่หมดจด เราก็ยังอาศัยเข้าพกเข้าห่อตรงนี้แหละดำเนินทางดำเนินไปให้ถึงจุดหมายปลายทาง ไม่ถึงช้าก็ต้องถึงเร็ว
มีโอกาสหลวงพ่อก็ขอเชิญชวนทุกคน จะได้มีอานิสงส์แห่งบุญร่วมกัน อยู่ใกล้อยู่ไกล ไม่นาน ไม่นานประมาณสัก 2-3 ปี ก็คงจะเสร็จ ไม่เยอะหรอก ประมาณสัก 200 - 300 ล้านเอง คนละบาทสองบาท คนทั่วประเทศไทยนี่ก็เหลือเฟือแล้ว คือไม่ต้องมานั่นมากมาย ออกคนละบาทสองบาทรวมกันก็พอ บางคนมีเยอะก็ออกเยอะ บางคนมีน้อยก็ออกน้อย บางคนไม่มีก็น้อมกายเข้ามาช่วยก็เป็นอำนาจแห่งบุญ บุญระดับสมมติเราก็ทำเหมือนกับต้นไม้นั่นแหละ มีทั้งเปลือก มีทั้งกระพี้ มีทั้งแก่น เราจะเอาตั้งแต่แก่น เปลือกกระพี้ไม่เอามันก็ตาย นี่เราก็ต้องดูแลทุกอย่างๆ ถึงจะมีความสุขกัน
ตั้งใจรับพรกัน
ขอให้พี่น้องเราทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ต่อเนื่องเชื่อมโยงกันสักนิดหนึ่งก็ยังดี นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย แล้วก็วางใจให้สบาย หยุดความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ เอาไว้ชั่วครั้งชั่วคราว ถึงเราหยุดไม่ได้ ดับไม่ได้ ละไม่ได้ ก็ให้รู้จักลักษณะของการเจริญสติให้ได้เสียก่อน ฟังไปด้วยน้อมระลึกรู้ ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ สัก 2-3 เที่ยว กายของเราก็จะสงบตั้งมั่นขึ้น ใจของเราก็จะสงบลงทันที
การสูดลมหายใจยาว ผ่อนลมหายใจยาวนี้รู้สึกว่าความคิดต่างๆ เขาก็จะหยุด สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเรา ความรู้สึกรับรู้นั้นแหละภาษาธรรมท่านเรียกว่า สติ ‘สติรู้กาย’ รู้หายใจเข้าหายใจออก รู้ให้ต่อเนื่องเขาเรียกว่าเชื่อมโยงเขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’
เราต้องรู้ ตั้งแต่ตื่นขึ้นตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ พอรู้ตัวปุ๊บ ลมหายใจรู้เข้าออก รู้ให้ต่อเนื่อง กําลังสติของเราก็จะตั้งมั่นขึ้น นี่แหละที่เราจะต้องสร้างขึ้นมาขยัน ส่วนศรัทธา ความเสียสละ การสร้างบารมีส่วนอื่นนั้นมีกันเต็มอยู่แล้ว แต่กําลังสติตรงนี้เราต้องพยายามสร้างขึ้นมาให้ได้เสียก่อน ถ้าเราสร้างขึ้นมาได้ต่อเนื่อง การเกิดของใจก็จะเห็น เห็นการเกิดของใจแล้วก็จะเห็นเป็นสองอย่าง กําลังสติของเราต่อเนื่องขึ้นไปอีกเราก็จะเห็นความคิดที่เราไม่ตั้งใจคิดหรือว่าอาการของใจ อาการของขันธ์ห้า เขามีกันทุกคน มีกันเต็มเปี่ยมเลยทีเดียว เขาเห็น เห็นเขาก่อตัวจิตหรือว่าตัวใจจะเคลื่อนเข้าไปรวมเอง ส่วนมากเคลื่อนเข้าไปรวมแล้วเราถึงรู้
ถ้าเรารู้เท่าทันใจเคลื่อนเข้าไปรวม ใจจะดีดออกจากความคิดตรงนั้นเขาเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ หงายจากของที่คว่ำ เห็นหงายจากของที่คว่ำ ใจก็จะว่าง สติก็จะตามดู การเกิดการดับของความคิด ซึ่งเป็นอาการของขันธ์ห้า เขาเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปนั่นแหละ เขาเรียกว่าเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาในขันธ์ห้า เราก็จะเห็นเป็น 3 ส่วนแล้วนะ ถ้าเห็นเป็นสามส่วนแล้ว ตามดูแล้วเป็นเรื่องอะไรอีก บางทีก็เป็นเรื่องอดีต บางทีก็เป็นเรื่องอนาคต บางทีก็เป็นกองกุศลบ้าง กองอกุศลบ้าง ก็จะเข้าใจในคําสอนของพระพุทธองค์ว่าท่านสอนเรื่องอะไร นี่แหละ ท่านถึงบอกว่าให้รอบรู้ในกองสังขาร ให้รอบรู้ในดวงวิญญาณในกายของตัวเรา เพียงแค่ขั้นเริ่มต้นนี้คลายความหลง คลายความหลงจากขันธ์ห้าให้ได้เสียก่อน แล้วก็ตามดูทุกเรื่อง ถ้าขาดการตามดูอีก เขาก็จะซึมเข้าสู่สภาพเดิมอีก
ถ้ากําลังสติตามดู กําลังสติจะพุ่งแรงเริ่มกลายเป็นมหาสติ ตามดูรู้เหตุ ชี้เหตุชี้ผล ตามดูทุกอย่างจากมหาสติก็จะกลายเป็นมหาปัญญา จากมหาปัญญาก็จะกลายเป็นปัญญารู้เห็นตามความเป็นจริง เห็นการเกิดการดับ ในหลักธรรมภาษาธรรมะท่านเรียกว่า ‘ปฏิจจสมุปบาท’ มันเกิดๆ ดับๆ เกิดๆ ดับๆ อยู่ตลอดเวลา อะไรตามดูเราก็ลงไตรลักษณ์ ลงความว่าง มันเป็นแค่เพียงอาการ เป็นแค่เพียงมายา มีกุศลหรือว่าอกุศลเป็นกอง หรือว่ามีความโลภ ความโกรธ ความอยาก
โกรธ อยาก เกิดตัววิญญาณเข้าไปผสมโรงอีกเราก็ต้องแก้ให้ออก บอกตัวเองให้ได้ ตัวความว่างนั่นแหละ ตัววิญญาณมีอยู่ในความว่างอยู่ ก็รู้ด้วย เห็นด้วย ตามดูด้วยทุกเรื่อง ใจถึงยอมรับความเป็นจริงได้ ใจถึงจะ ปล่อยจะวางได้ แต่คนทั่วไปกําลังสติมีก็ไม่เพียงพอ แต่การทำบุญให้ทานมีอยู่ การฝักใฝ่ การสนใจมีอยู่ กิเลสหยาบกิเลสละเอียดนี่มีเยอะแยะเลย จนกระทั่งมลทินนิวรณธรรมต่างๆ ความกังวล ความฟุ้งซ่าน มองโลกในแง่ร้ายหรือว่ามองโลกในแง่ดี ตราบใดที่แยกแยะได้ ตามดูได้ รู้เห็นได้ยังไม่เพียงพอ เราต้องมาดับความเกิดที่ใจอีก ละกิเลสที่ใจอีก
แม้แต่การเกิดของใจก็ยังไม่ให้มี ดับการเกิดของวิญญาณ วิญญาณไม่เกิด วางวิญญาณให้กลับคืนสู่สภาพอีก หนุนกําลังสติปัญญาไปใช้กับโลกจนกว่าธาตุขันธ์จะแตกจะดับ จะเห็นจะปรากฎขึ้นที่ใจของเรา ให้รู้ด้วย เห็นด้วย เข้าถึงด้วย ประกาศด้วยตนเองได้อีกด้วยว่าเราไปอย่างไรมาอย่างไง ถึงอย่างไร เอาความเป็นกลาง ความว่าง ไม่เข้าข้างตัวเองเข้าข้างคนอื่นนั่นแหละคือเครื่องตัดสิน เราจะได้มองเห็นชีวิตของเราว่าเราจะดำเนินชีวิตของเราไปในทางใดบ้าง เราก็ต้องพยายามนะ
ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่ แก้ไขใหม่ ปรับปรุงตัวเราใหม่ พลั้งเผลอเมื่อไหร่เราก็เริ่ม การทำบุญให้ทานเราก็ทำ การสร้างอานิสงส์สร้างบุญบารมี ทุกสิ่งทุกอย่างจะเกื้อหนุนส่งถึงจุดหมายปลายทาง เหมือนกับเราขึ้นบันได เราก็จะขึ้นขั้นแรกจนถึงตัวเรือน อาศัยจากตัวเรือนลงมาก็อาศัยบันได เหมือนกันหมด
การทำบุญให้ทาน เราจะเอาสิ่งหนึ่งใดสิ่งหนึ่งก็ไม่ได้เพราะว่าเกี่ยวเนื่องกัน ถ้าถึงจุดหมายปลายทางจริงๆ เราก็อยู่ด้วยปัญญา บริหารด้วยปัญญา อยู่ที่ไหนก็มีความสุข อยู่คนเดียวก็มีความสุข อยู่หลายคนก็มีความสุข หมั่นพร่ำสอนตัวเรา เจริญสติเข้าไปอบรมใจ เป็นเพื่อนของใจของเราให้ได้ ทำไมใจถึงเกิด ทำไมใจถึงหลง แนวทางนั้นมีมานาน ถ้าเราสอนตัวเราไม่ได้อย่าไปเที่ยวให้คนอื่นเขาสอน จงสอนตัวเราแก้ไขตัวเรา ปรับปรุงตัวเรา แนวทางนั้นมีอยู่แล้ว
พยายามสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจให้ต่อเนื่องให้เชื่อมโยงกันสักนิดหนึ่งก็ยังดี ดีกว่าไม่ทำ ทำใจให้ว่าง สมองให้โล่ง กายให้โปร่ง อยู่หลายคนก็เหมือนกับอยู่คนเดียว อยู่คนเดียวขณะนี้ก็ให้รู้ว่าลมหายใจวิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจนกันนะ
พากันไหว้พระพร้อมๆ กันค่อยไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอานะ