หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 74

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 74
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ผู้บรรยาย
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 74
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 74
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 26 กรกฎาคม 2558

มีความสุขกันทุกคน วันนี้วันอาทิตย์ ตื่นเช้าขึ้นมาก็รู้สึกว่าคล้ายๆ ฝนจะตกนะ แต่ก็ไม่ตกสักที ตกโปรยๆ ลงมานิดๆ หน่อยๆ พอให้ไม่ได้ร้อน แต่น้ำก็ยังแล้งยังแห้งอยู่ ก็คงจะใกล้ถึงเวลาที่จะน้ำมา ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา อะไรที่จะเป็นกุศล อะไรที่จะเป็นอกุศลเราก็ควรละ ละอกุศล เจริญกุศล สร้างคุณงามความดีให้ปรากฏขึ้นที่ใจของเรา ให้ได้รับความสุขตลอดเวลา เราก็จะได้สร้างเสบียง สร้างเข้าพกเข้าห่อติดตามตัวเรา

ตราบใดที่ใจยังเกิดอยู่ ก็ต้องสร้างบารมีกัน หยุดเกิดเมื่อไรนั่นแหละ ดับความเกิดได้เมื่อไรนั่นแหละ คลายความหลง ดับความเกิด ละกิเลสได้เมื่อไรนั่นแหละ ถึงจะได้ไม่กลับมาเกิดกัน เกิดในพบมนุษย์เป็นภพสุดท้าย ตราบใดที่ใจยังเกิดก็พยายามสร้างอานิสงส์สร้างบุญบารมีเอาไว้ต่อสู้กับกิเลส กิเลสเกิดความโลภ เกิดความอยาก เราก็ละความโลภ ละความอยาก เกิดความโกรธเราก็พยายามให้อภัยอโหสิกรรม ทำบ่อยๆ หมั่นสังเกต หมั่นสร้างความรู้ตัวบ่อยๆ รู้ตัวแล้วก็รู้ใจ แล้วก็อบรมใจของตัวเราเองอยู่ตลอดเวลา เอาเจริญสติเป็นเพื่อนใจ

แต่เวลานี้กําลังสติมีน้อย ไม่ค่อยจะสร้างกัน จะเอาแต่บุญจะเอาแต่ธรรม แต่การเจริญปัญญา เจริญสติเจริญปัญญามีไม่ต่อเนื่องก็เลยไม่ทันกิเลสเขาสักที กิเลสปัญญาเขาก็แหลมคม เอาก็เอาตั้งแต่สิ่งดีๆ มาหลอก มาหลอกในการสร้างคุณงามความดี คุณงามความดียังเป็นกิเลสฝ่ายดีนะ แต่ก็ต้องสร้าง

ในหลักธรรมแล้วท่านไม่ให้ยึดให้อยู่เหนือทุกอย่าง ทั้งดีทั้งไม่ดี ละไม่ดี สร้างดีแต่ไม่ยึด ดับความเกิด แต่ส่วนมากก็มีตั้งแต่เกิดหาความคิดนั่นแหละ เขาเกิดแสวงหาคิดปรุงแต่ง ถ้าเราดับบ่อยๆ ดับบ่อยๆ มันก็เหือดแห้งลงๆ ถึงต้นตอ ถอนรากถอนโคน ถึงตัว ถึงตัวใจ แต่ส่วนมากก็มีแต่ใจเขาจะวิ่งหาแสวงหา เขาปิดกั้นตัวเองเพราะเขาหลงมานาน เขาเกิดมานาน ก็เลยมีตั้งแต่เกิดอยู่เรื่อยร่ำไป ถึงเกิดก็ขอให้เกิดอยู่ในกองบุญเอาไว้ ในกองกุศลเอาไว้

ทุกเรื่องตั้งแต่ตื่นขึ้นมาจนกระทั่งถึงเวลาเรื่องขบเรื่องฉัน เรื่องรับประทานข้าวปลาอาหาร กายหิวหรือใจเกิดความอยาก เราก็ต้องดู หมั่นพร่ำสอนใจตัวเรา สติเป็นเพื่อนใจอยู่ตลอดเวลา มีความสุขคุยกับใจตัวเอง ไม่จำเป็นต้องไปคุยอะไรมากมาย คนทั่วไปวาจาก็ยังไม่ได้ควบคุมได้ตลอด ใจก็ยิ่งห่างไกล ยังคิดวิ่งตลอด ก็ต้องพยายามเอา ได้บ้างไม่ได้บ้างก็พยายาม คําสอนแนวทางของพระพุทธองค์มีมานาน มีมานาน

ค่อยๆ เดินคุณยาย ได้คุณแม่ชีมาอยู่ สมัยยี่สิบกว่าปี ขยันหมั่นเพียรมาตั้งแต่เป็นเด็ก อยู่ไม่ได้ อยู่นิ่งแล้วป่วย นี่แหละได้ความขยันหมั่นเพียรของคุณยาย ใครทำได้เป็นตัวอย่าง เอาอย่างคุณยายนี้ดีมาก ดีเลิศเลยทีเดียว ทำขนมนมเนยแจกลูกแจกหลาน เลี้ยงพระ ใครมาต้องได้มาทานขนมคุณยาย ทำได้หมด มะม่วงเน่า กล้วยเน่า ก็มาทำขนมอร่อย เอาเด็กๆ มาอยู่ด้วยมาฝึกนี่ ทำขนมเก่ง คนใจบุญก็อย่างนี้แหละ อยากจะให้คนได้อยู่ดีมีความสุข ได้อยู่ได้กินได้ทาน ทำอะไรก็มีส่วนร่วมหมด

วันนี้พระเรา หนุ่มๆ สามเณร หรือว่าโยม ก็ไปช่วยกันรดต้นไม้ให้หน่อยนะ ต้นไม้ที่โยมเอามาปลูกริมคลอง คลองที่ลานเจดีย์ต้นกัลปพฤกษ์ เอามาปลูกริมคลอง รดต้นละครึ่งป๋องก็ได้ เอาน้ำในคลองนั่นแหละ ช่วยกันรดๆกัน รอให้เทวดาฝนตกลงมาสักหน่อยหนึ่ง จะได้ให้เป็นสถานที่ประวัติศาสตร์ต่อไปในวันข้างหน้า ปลูกต้นกัลปพฤกษ์ประมาณสักสี่ร้อยต้น ริมคลองออกดอก หรือเรียกว่าซากุระเมืองไทย ให้เป็นประวัติศาสตร์ ต้นซากุระ แล้วก็ต้นหางนกยูงอยู่รอบนอก ออกดอกสีแดง สีส้ม สีเหลือง แล้วก็ต้นชมพูพันธุ์ทิพย์ออกดอกทั้งต้น ต้นใหญ่ ถ้าต้นโตก็คงคนโอบกอดได้นั่นแหละ นี่ต้นใหญ่ จะได้ให้เป็นสถานที่ประวัติศาสตร์ของจังหวัดขอนแก่นของประเทศ

เราทำเอาไว้คนรุ่นหลังก็ได้มาสร้างสานต่อ ถ้าเราไม่ทำเอาไว้ สถานที่น่าอยู่น่าอาศัยน่ารื่นรมย์ก็จะไม่มี ใครไปใครมาก็จะได้มีความสุข ก็เกิดจากร่วมแรงร่วมใจร่วมกาย จากคนรุ่นก่อนส่งมาถึงคนรุ่นหลัง ส่งมาถึงพวกเรา พวกเราก็สร้างสานต่อ ส่งให้ถึงคนข้างหน้าที่จะมาสานต่อ จะได้ไม่ได้ลําบาก ใครเข้ามาก็มีความสุข ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ช่วยกันดูแลรักษาความสะอาด ความเป็นระเบียบเรียบร้อย ตั้งแต่ภายในใจของเราต้องให้สะอาด สะอาดจากข้างในส่งถึงข้างนอก

อยากจะได้ธรรม แต่ไม่รู้จักละกิเลส มันก็ใจก็ไม่สะอาด อยากจะได้ แต่การกระทำการแสวงหาแนวทางไม่ถูกวิธี ไม่ถูกแนวทาง ก็ยิ่งยากห่างไกล แนวทางนั้นพระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบเอามาเปิดเผย การละกิเลส การทำใจให้สะอาด ข้อวัตรปฏิบัติทุกอย่าง ก็เพื่อที่จะละกิเลสออกจากใจของเรา ก็ต้องทำเอา จะไปให้คนอื่นเขาทำให้ไม่ได้ บอกตัวเองไม่ได้ ใช้ตัวเองไม่เป็น จะไปเที่ยวให้คนอื่นเขาสอนนี่ไปไม่ถึงไหน ถ้าเราสอนตัวเองไม่ได้แล้วก็ไม่มีใครจะช่วยเราได้หรอก วิธีการแนวทางนั้นมีอยู่ เราต้องรีบเดิน

ตั้งใจรับพรกัน

ขอให้ทุกคนทุกท่าน จงเจริญสติ หรือว่าสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเราให้เชื่อมโยงแล้วก็ให้ต่อเนื่อง นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย แล้วก็วางใจให้สบาย ไม่ต้องพนมมือ ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียก ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ สัก 2-3 เที่ยว กายของเราก็รู้สึกว่าสบายขึ้นเยอะ ใจของเราก็จะสงบตั้งมั่นขึ้น

การสูดลมหายใจยาว ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ ความรู้สึกสัมผัสเวลาลมกระทบปลายจมูกของเรา หลักธรรมท่านว่า ‘สติความรู้ตัวรู้กาย’ ถ้ารู้ทั้งเวลาลมเข้าลมออกเขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’

เราพยายามสร้างความรู้ตัวตรงนี้แหละ ตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ พอรู้ตัวปุ๊บก็กระตุ้นความรู้สึกให้ชัดเจน รู้กายให้ชัดเจน แล้วก็รู้ตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ จะลุกจะก้าวจะเดินเราก็มีความรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน ใจนั้นก็ปกติอยู่ เวลาจะลุกจะก้าวจะเดิน จะเข้าห้องส้วมห้องน้ำ มีความรู้ตัวที่ต่อเนื่อง เวลาใจเกิดปรุงแต่งส่งออกไปภายนอก ก็จะรู้เท่าทันการเกิดของใจ เวลาความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งใจ หรือว่าอาการของขันธ์ห้า ผุดขึ้นมาใจจะเคลื่อนเข้าไปรวมโดยปริยาย นั่นแหละความหลง

ความหลงในขันธ์ห้าทำให้เกิดอัตตาตัวตน อันนี้เพียงแค่ใจมาสร้างขันธ์ห้ามาปิดกั้นตัวเอง ซึ่งเรียกว่าภพมนุษย์ มาสังเกตมาวิเคราะห์ ใจแยกใจคลายออกจากความคิด เขาเรียกว่า แยกรูปแยกนาม ก็วางอัตตาตัวตน กายก็จะเบา ใจก็จะว่าง แต่การเกิดของใจยังมีอยู่ เราก็มาดับความเกิดของใจ ใจยังมีกิเลสอยู่ เราก็มาละกิเลสที่ใจอีก ดับความเกิด ดับที่นั้นที่นี้ กําลังของใจก็จะสั้นลงๆๆ

เวลาเขาก่อตัว เราดับที่ต้นเหตุก็จะถึงตัวใจ ก็จะเห็นตัวใจ แต่ส่วนมากตัวใจจะคิดแสวงหาปิดกั้นตัวเอง อยู่ตลอดเวลา เขาก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เหมือนกัน เพราะว่าเขาเกิดมานาน เขาหลงมานาน เขามาสร้างกายเนื้อ มาสร้างขันธ์ห้าปิดกั้นตัวเอง แล้วก็ยังมีความทะเยอทะยานอยาก ทั้งอยากทั้งไม่อยากอีกปิดกั้นตัวเองเอาไว้ เราก็ต้องพยายามเจริญสติเข้าไปสังเกตเข้าไปวิเคราะห์ ตามดูรู้เห็น แยกแยะได้คลายได้ ตามดู ชี้เหตุชี้ผล จนใจยอมรับความเป็นจริงได้นั่นแหละเขาถึงจะยอมปล่อยยอมวาง จนยอมรับทุกสิ่งทุกอย่างว่าเป็นของไม่เที่ยง เห็นความว่าง มองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างเป็นความว่าง ละอัตตาตัวตน ละทิฏฐิ ละมานะ

แนวทางนั้นมีอยู่ แต่เราพยายามเดินให้ถึง สังเกตวิเคราะห์ให้ดู ให้รู้ ให้เห็นทุกเรื่อง ไม่ใช่ว่าทำนิดๆ หน่อยๆ แล้วก็ปล่อยวาง ทำนิดๆ หน่อยๆ แล้วก็ทิ้ง แล้วก็ทิ้ง ตรงนั้นเราก็เลยเข้าไม่ถึงความเป็นจริง เรารู้เห็นจากน้อยๆ ไปหามากขึ้นๆ ตามดูจนไม่มีอะไรเหลือที่ใจของเรา จนเหลือตั้งแต่สมมติ โลกธรรม เคารพสมมติ ไม่ยึดติดสมมติ แยกแยะให้ถูก ก็ต้องพยายาม แต่เวลานี้กําลังสติของเรามีน้อยเต็มทน ส่วนสติปัญญาทางโลกนั้นเป็นอัจฉริยะกันหมดทุกคน เก่งกันหมดทุกคน สติปัญญาในทางธรรมต้องสร้าง ต้องรู้ ต้องเห็น ต้องทำความเข้าใจ จนเอาไปใช้การใช้งานได้ตลอด จนไม่มีอะไรเหลือ จนเหลือแต่สมมติกับวิมุตติ อาศัยกันอยู่จนกว่าจะหมดลมหายใจ

สร้างความรู้สึกรับรู้ สัมผัสของลมหายใจให้ชัดเจนให้ต่อเนื่องให้เชื่อมโยงกันสักนิดหนึ่งก็ยังดี ดีกว่าไม่ได้ทำ

พากันไปไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปทำความเข้าใจต่อนะ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง