หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 71
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 71
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 71
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 14 กรกฎาคม 2558
ดูดีๆ นะ พระเรา ชีเรา พิจารณาปฏิสังขาโย อย่าไปปล่อยโอกาสทิ้ง อย่าไปปล่อยเวลาทิ้งเสียดายเวลา วันนี้ก็มีคณะจากโรงปูน จากโรงปูนท่าหลวง แก่งคอย มากันกี่คนนะ มากันกี่คน สามสิบกว่า มาอยู่ 15 วันหรืออาทิตย์หนึ่ง 5 วันนะ ตัดเลขหนึ่งออกไป เหลืออยู่ 5 วันนะ มาสร้างอานิสงส์ สร้างบุญ สร้างบารมีกัน ไม่ว่าอยู่ที่บ้าน อยู่ที่โรงงาน เราก็มีความรับผิดชอบอะไร พอช่วยกันได้เราก็ช่วยกัน มีงานเยอะแยะตั้งแต่ตื่นขึ้นมา
ถ้าเรารู้จักเอานั่นแหละคือรู้จักปฏิบัติ มีความขยันหมั่นเพียร มีความรับผิดชอบ ไม่มีความเห็นแก่ตัว ความเสียสละ รู้จักพิจารณาแก้ไขตัวเราตลอดเวลา พิจารณาทั้งโลกทั้งธรรม พิจารณาสมมติ อะไรคือสมมติ อะไรคือวิมุตติ การเจริญสติเป็นอย่างไร ทำไมใจถึงเกิด ทำไมใจถึงหลง ความคิด อารมณ์ ซึ่งเป็นฝ่ายนามธรรม เขาเกิดอย่างไร เขาไปอย่างไร มาอย่างไร เราหัดสร้างความรู้ตัวไปวิเคราะห์ใจของเรา แต่กําลังความรู้ตัวสติปัญญาของเรามันยังมีไม่ต่อเนื่อง ทั้งที่ใจก็เป็นบุญ ฝักใฝ่ในบุญอยู่ตลอดเวลา เราต้องหัดสังเกต หัดวิเคราะห์การเกิดของใจ อาการของใจไปด้วย
เอาภาระหน้าที่การงานเป็นการปฏิบัติ เราก็จะได้อยู่กับบุญ ทำกายให้เป็นวัด ทำใจให้เป็นพระ เจริญสติเข้าไปเยี่ยมใจเราอยู่ตลอดเวลา ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา แม้แต่ความอยาก ความเกิดของใจ ท่านถึงบอกว่าให้รอบรู้ในกองสังขาร ให้รอบรู้ในดวงวิญญาณของเราตลอดเวลา ก็จะได้มีความสุข อะไรขาดตกบกพร่องก็จะได้รีบแก้ไข ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่ แก้ไขใหม่ ปรับปรุงตัวเราใหม่ ไม่ว่าพระ ว่าโยม ว่าชี ต้องหมั่นพร่ำสอนตัวเรา แก้ไขตัวเรา บอกตัวเองให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น ถ้าบอกตัวเราไม่ได้ สอนใจเราไม่ได้ อย่าไปเที่ยวให้คนอื่นเขาสอน ไม่มีประโยชน์หรอก ภาระหน้าที่การงาน เรามีโอกาสได้สร้างร่วมกันได้ สร้างอานิสงส์ร่วมกันได้ ก็ต้องพยายามดู แก้ไข ดูเอา ยิ่งอยู่ด้วยกันหลายคนหลายท่าน ก็ต้องพยายามรับผิดชอบ
ถ้ามีตั้งแต่ความเห็นแก่ตัว มีความเกียจคร้าน หนักตัวเอง หนักคนอื่น หนักสถานที่ ถ้าเรารู้จักแก้ไขตัวเรา ปรับปรุงตัวเรา จากหนักก็เป็นเบา จากเบาก็มีตั้งแต่ความสุข ท่านถึงบอกให้รอบรู้ในดวงวิญญาณ ให้รอบรู้ในความคิด หรือว่ารอบรู้ในกองสังขาร รอบรู้ในวิญญาณในกายของเรา แล้วก็รอบรู้ในโลกธรรม ที่เราเข้าไปยุ่งเกี่ยว รอบรู้ในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสต่างๆ ขณะนี้ใจของเราเป็นอย่างไร
พระบวชใหม่ก็เหมือนกัน ทั้งใหม่ทั้งเก่า ต้องเป็นผู้ใหม่ตลอด คือผู้ตื่น ผู้ตื่นตลอด แล้วก็ขยันหมั่นเพียร ความรับผิดชอบ ความเป็นระเบียบ ความสะอาด ความเป็นระเบียบเรียบร้อย กว่าจะมีให้ได้อยู่ดีมีความสุขได้ ก็เกิดจากอานิสงส์ของคนรุ่นก่อนคอยสร้างสะสมมาจนกระทั่งตกถึงพวกเรา พวกเราก็สร้างสานต่อ พวกเราจากไปคนรุ่นหลังก็จะได้มาสานต่อไม่ได้ลําบาก ไม่มีความลําบากมากมายเท่าไร ไม่เหมือนกับสมัยตั้งแต่ก่อนโน้น แต่ก่อนโน้นยิ่งลําบาก ทุกวันนี้อานิสงส์ผลบุญผลทาน เทวดาก็เยอะ
สมัยก่อนหาคนจะเข้าวัดค่อนข้างยาก สถานที่ที่จะพักอาศัยก็ลําบาก แม้แต่ที่นั่ง ที่เดิน ที่นอน แต่ก่อนมีแต่กองกระดูกเต็มไปหมดน่ะแถวนี้ กองกระดูก ป่าหนาม ป่าอะไรต่างๆ ก็จะได้ปลูกต้นไม้แต่ละต้นให้น่าอยู่น่าอาศัย ก็ต้องเอารากเพ็กออกเสียก่อน เอาหนามออกเสียก่อน ทำความสะอาดเสียก่อน กว่าจะปรับปรุงดินได้ลําบาก ต้นไม้แต่ละต้นดูแลรักษามา บางทีต้นไม้ต้นเดียวนี่เกิดก่อนพวกท่านเลยก็มี ประมาณ 30 ปี ถ้าคนไหนที่ยังอายุไม่ถึง 30 ปี เกิดก่อนต้นไผ่ พวกไม้ต่างๆ พวกเรามาก็มาสานต่อ มาปลูกต่อทุกปี ปลูกทุกปี
ปีนี้ก็ปลูกเยอะ ปีหน้าก็ยังจะปลูกอีกเยอะ ตอนต้นไทรเอาไว้ตั้งห้าหกร้อยต้น ปีนี้ก็จะปลูกต้นดอกไม้ สวนมะลิวัลย์หอมกรุ่น เดินไปกลางคืนกลางวัน ตกเย็นๆ หอมชมนาด ช่วยกันดูแลรักษา ก็จะได้ให้ร่มเงาได้ กว่าจะปรับปรุงได้นี่ก็ลําบาก จะได้แต่ละชิ้นแต่ละอันให้พวกเราได้อยู่ได้ใช้นี่ก็ลําบากอยู่ ก็ช่วยกันดูแลรักษาห้องส้วมห้องน้ำให้เป็นระเบียบ งานภายใน งานภายนอก งานชําระสะสางจิตใจของตัวเรา งานละกิเลส งานดูแลสมมติสังคม โลกธรรมเราก็ต้องศึกษาค้นคว้าแล้วก็ทำให้เกิดประโยชน์
โอกาสเปิด กาลเวลาเปิด สถานที่เปิด บุญภายในเราก็ทำ บุญภายนอกเราก็ทำ บุญภายนอกคือความเป็นระเบียบเรียบร้อย ประโยชน์ในทางสมมติ ประโยชน์ตน ประโยชน์ท่าน ประโยชน์สูงสุด ประโยชน์ในโลกนี้ ประโยชน์ในโลกหน้า เอาโลกปัจจุบันให้ได้เสียก่อน ตื่นขึ้นมาเรามีความรับผิดชอบหรือไม่ เรามีความขยันหมั่นเพียรหรือเปล่า จะลุกจะก้าวจะเดิน ใจของเราปกติหรือไม่ ใจของเราเกิดอารมณ์อย่างไร ความคิดผุดขึ้นมาใจเคลื่อนก็ไปรวมได้อย่างไร เราต้องหัดเป็นคนวิเคราะห์ หัดเป็นคนสังเกต แม้แต่เวลารับประทานข้าวปลาอาหาร กายของเราหิว หรือว่าใจของเราเกิดความอยาก เราก็ต้องดู ถ้าใจเกิดความอยาก ก็รู้จักหยุด รู้จักดับ เอาด้วยสติ เอาด้วยปัญญา เอาด้วยเหตุ เอาด้วยผล หมั่นพร่ำสอนตนอยู่ตลอดเวลา พร่ำสอนใจอยู่ตลอดเวลา สักวันหนึ่งเราก็คงจะเดินถึงจุดหมายปลายทางกัน
ทางโรงปูนเราก็มาช่วยกันทุกเดือนทุกปี หลายปีๆ ที่ส่งบริวารมา ผู้นําก็อยากจะให้บริวารได้มาสร้างอานิสงส์สร้างบุญบารมีกัน มาที่วัดเราก็พยายาม มีอะไรเราก็ช่วยกัน อะไรขาดตกบกพร่อง เราก็ช่วยกัน จะได้มีความสุข ให้ถือว่าบ้านของเรา อย่าไปกังวลอะไร
ตั้งใจรับพรกัน
----------------------
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเราให้ชัดเจนแล้วก็ให้ต่อเนื่อง นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย ไม่ต้องพนมมือ ฟังไปด้วย น้อมสำเหนียกอยู่ที่ปลายจมูกของเรา ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ การสูดลมหายใจยาว ผ่อนลมหายใจยาว กายก็รู้สึกว่าสบายขึ้น ความตึงเครียดของกายก็คลายลงไป สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกนั่นแหละ ในหลักธรรมท่านเรียกว่าสติรู้กาย แล้วก็พยายามรู้ให้ต่อเนื่องตั้งแต่ตื่นขึ้นมาตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่
เพียงแค่เรื่องการหายใจเข้าออก พวกเราก็ขาดการสนใจกันมากเลยทีเดียว ทั้งที่ใจก็เป็นบุญ ใจปรารถนาอยากจะรู้ธรรมอยากเห็นธรรม ใจอยากทำบุญ ความอยาก ความเกิดของใจนั่นแหละ เขาปิดกันตัวเขาเอาไว้และก็ไม่นิ่ง ใจปกติเป็นอย่างไร ความรู้ตัว รู้ไม่เท่าทันเราก็ไม่เข้าใจในชีวิตของเรา เราเข้าใจในชีวิตของเราอยู่ระดับของปัญญา ของสมมติ ของโลกีย์ ของโลกเท่านั้น
เราต้องสร้างความรู้ตัวตั้งแต่ตื่นขึ้นมาจากหนึ่งครั้งสองครั้ง ไปเป็นนาที 2 นาที จนรู้ตัวทุกอิริยาบถ จนเป็นอัตโนมัติ จนเอาไปอบรมใจของเราได้ ไปแก้ไขใจของเราได้ ควบคุมใจของเราได้ จนใจคลายออกจากความคิด หรือว่าแยกรูปแยกนาม คลายความหลงตรงนั้นแหละ เพียงแค่คลายได้ แยกได้ยังไม่พอ ต้องตามดูชี้เหตุชี้ผลทุกอย่างอีก
แต่ละวันตื่นขึ้นมา ความขยันหมั่นเพียรของเรา มีความรับผิดชอบเต็มเปี่ยมหรือเปล่า มีความเสียสละเต็มเปี่ยมหรือเปล่า เราก็ต้องพยายามสร้างให้มีให้เกิดขึ้นที่ใจของเรา ไม่ต้องไปกังวล ดับความกังวล ดับความฟุ้งซ่านต่างๆ แนวทางนั้นมีมานาน พระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบแล้วก็เอามาเปิดเผย แล้วให้สัตว์โลกได้ปฏิบัติตาม ให้มีให้เกิดขึ้นที่ใจ ให้ปรากฏขึ้นที่ใจ ท่านถึงบอกให้เชื่อ
การเจริญสติเป็นอย่างนี้ การควบคุมใจ ควบคุมอารมณ์เป็นอย่างนี้ จนกว่าใจของเราจะคลายออกจากความคิด การเจริญพรหมวิหาร สร้างความเมตตา ใจของเรามีทิฏฐิ มีมานะ เราก็พยายามละทิฏฐิ ละมานะ ละความเห็นแก่ตัว ละกิเลส ใจเกิดกิเลสเมื่อไหร่ เราก็รู้จักละ รู้จักตัวเรา
ท่านถึงว่าตนเป็นที่พึ่งของตน ก็ต้องพยายาม แต่เวลานี้กําลังสติมีน้อย เราต้องพยายามสร้างขึ้นมาให้ได้ทุกอิริยาบถ ยืนเดิน นั่งนอน กินอยู่ ขับถ่าย รู้จักแจงให้ออก ส่วนสติคือส่วนสมอง ส่วนใจนั้นเขาเกิดๆ ดับๆ ความคิดหรือว่าขันธ์ห้าเขาก็ เกิดๆ ดับๆ เขารวมกันอยู่ ทั้งใจ ทั้งอาการ ทั้งใจ ทั้งปัญญา หรือว่าส่วนสมองเขาไปด้วยกันหมดเป็นก้อนเลย เราต้องมาแจงให้ออก บอกตัวเองให้ได้ ที่ท่านว่าเป็นกองเป็นขันธ์ เป็นกองอย่างไร เป็นขันธ์อย่างไร อยู่ในกายเนื้อของเรา
พระพุทธองค์ท่านสอนเรื่องอะไร ท่านสอนเรื่องชีวิต เรื่องการดำเนินชีวิต และรู้จักชีวิต รู้จักวิญญาณของตัวเราในกายของเรา ว่าวิญญาณที่ปราศจากกิเลสเป็นอย่างไร วิญญาณที่ไม่เกิดเป็นอย่างไร วิญญาณที่ไม่หลงเป็นอย่างไร คําว่าความหลงของพระพุทธองค์หลงอะไร เราต้องแจงให้ออกให้เห็น ให้ชี้เหตุชี้ผลให้ชัดเจน เราก็จะมองออก แต่เวลานี้กําลังสติของเรามีน้อย ถ้าเราสร้างให้ต่อเนื่อง เราถึงจะรู้ว่าแต่ก่อนโน้น สติที่เราสร้างขึ้นมานั้น ไม่มี มีไม่มากเอาไปใช้การใช้งานไม่ได้ เราก็ต้องพยายามเอานะ
มีโอกาสอย่าไปปล่อยโอกาสทิ้ง อย่าไปปล่อยวันเวลาทิ้ง มีเพื่อนคิด ดูใจ อบรมใจ สติปัญญาไปอบรมใจเราอยู่ตลอดเวลา เราก็จะได้ฟังธรรมอยู่ตลอดเวลา ผิดถูกชั่วดีอย่างไร สติปัญญาไปแก้ไข ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่ แก้ไขใหม่ ปรับปรุงตัวเราใหม่ตลอดเวลา สักวันหนึ่งก็คงจะเดินถึงจุดหมายปลายทางกัน
สร้างความรู้สึกรับรู้ สัมผัสของลมหายใจให้ชัดเจนให้ต่อเนื่องกันสักนิดหนึ่งก็ยังดี ดีกว่าไม่ทำ
พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปสร้างสานต่อ ศึกษาทำความเข้าใจต่อให้รู้ทุกอิริยาบถ
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 14 กรกฎาคม 2558
ดูดีๆ นะ พระเรา ชีเรา พิจารณาปฏิสังขาโย อย่าไปปล่อยโอกาสทิ้ง อย่าไปปล่อยเวลาทิ้งเสียดายเวลา วันนี้ก็มีคณะจากโรงปูน จากโรงปูนท่าหลวง แก่งคอย มากันกี่คนนะ มากันกี่คน สามสิบกว่า มาอยู่ 15 วันหรืออาทิตย์หนึ่ง 5 วันนะ ตัดเลขหนึ่งออกไป เหลืออยู่ 5 วันนะ มาสร้างอานิสงส์ สร้างบุญ สร้างบารมีกัน ไม่ว่าอยู่ที่บ้าน อยู่ที่โรงงาน เราก็มีความรับผิดชอบอะไร พอช่วยกันได้เราก็ช่วยกัน มีงานเยอะแยะตั้งแต่ตื่นขึ้นมา
ถ้าเรารู้จักเอานั่นแหละคือรู้จักปฏิบัติ มีความขยันหมั่นเพียร มีความรับผิดชอบ ไม่มีความเห็นแก่ตัว ความเสียสละ รู้จักพิจารณาแก้ไขตัวเราตลอดเวลา พิจารณาทั้งโลกทั้งธรรม พิจารณาสมมติ อะไรคือสมมติ อะไรคือวิมุตติ การเจริญสติเป็นอย่างไร ทำไมใจถึงเกิด ทำไมใจถึงหลง ความคิด อารมณ์ ซึ่งเป็นฝ่ายนามธรรม เขาเกิดอย่างไร เขาไปอย่างไร มาอย่างไร เราหัดสร้างความรู้ตัวไปวิเคราะห์ใจของเรา แต่กําลังความรู้ตัวสติปัญญาของเรามันยังมีไม่ต่อเนื่อง ทั้งที่ใจก็เป็นบุญ ฝักใฝ่ในบุญอยู่ตลอดเวลา เราต้องหัดสังเกต หัดวิเคราะห์การเกิดของใจ อาการของใจไปด้วย
เอาภาระหน้าที่การงานเป็นการปฏิบัติ เราก็จะได้อยู่กับบุญ ทำกายให้เป็นวัด ทำใจให้เป็นพระ เจริญสติเข้าไปเยี่ยมใจเราอยู่ตลอดเวลา ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา แม้แต่ความอยาก ความเกิดของใจ ท่านถึงบอกว่าให้รอบรู้ในกองสังขาร ให้รอบรู้ในดวงวิญญาณของเราตลอดเวลา ก็จะได้มีความสุข อะไรขาดตกบกพร่องก็จะได้รีบแก้ไข ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่ แก้ไขใหม่ ปรับปรุงตัวเราใหม่ ไม่ว่าพระ ว่าโยม ว่าชี ต้องหมั่นพร่ำสอนตัวเรา แก้ไขตัวเรา บอกตัวเองให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น ถ้าบอกตัวเราไม่ได้ สอนใจเราไม่ได้ อย่าไปเที่ยวให้คนอื่นเขาสอน ไม่มีประโยชน์หรอก ภาระหน้าที่การงาน เรามีโอกาสได้สร้างร่วมกันได้ สร้างอานิสงส์ร่วมกันได้ ก็ต้องพยายามดู แก้ไข ดูเอา ยิ่งอยู่ด้วยกันหลายคนหลายท่าน ก็ต้องพยายามรับผิดชอบ
ถ้ามีตั้งแต่ความเห็นแก่ตัว มีความเกียจคร้าน หนักตัวเอง หนักคนอื่น หนักสถานที่ ถ้าเรารู้จักแก้ไขตัวเรา ปรับปรุงตัวเรา จากหนักก็เป็นเบา จากเบาก็มีตั้งแต่ความสุข ท่านถึงบอกให้รอบรู้ในดวงวิญญาณ ให้รอบรู้ในความคิด หรือว่ารอบรู้ในกองสังขาร รอบรู้ในวิญญาณในกายของเรา แล้วก็รอบรู้ในโลกธรรม ที่เราเข้าไปยุ่งเกี่ยว รอบรู้ในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสต่างๆ ขณะนี้ใจของเราเป็นอย่างไร
พระบวชใหม่ก็เหมือนกัน ทั้งใหม่ทั้งเก่า ต้องเป็นผู้ใหม่ตลอด คือผู้ตื่น ผู้ตื่นตลอด แล้วก็ขยันหมั่นเพียร ความรับผิดชอบ ความเป็นระเบียบ ความสะอาด ความเป็นระเบียบเรียบร้อย กว่าจะมีให้ได้อยู่ดีมีความสุขได้ ก็เกิดจากอานิสงส์ของคนรุ่นก่อนคอยสร้างสะสมมาจนกระทั่งตกถึงพวกเรา พวกเราก็สร้างสานต่อ พวกเราจากไปคนรุ่นหลังก็จะได้มาสานต่อไม่ได้ลําบาก ไม่มีความลําบากมากมายเท่าไร ไม่เหมือนกับสมัยตั้งแต่ก่อนโน้น แต่ก่อนโน้นยิ่งลําบาก ทุกวันนี้อานิสงส์ผลบุญผลทาน เทวดาก็เยอะ
สมัยก่อนหาคนจะเข้าวัดค่อนข้างยาก สถานที่ที่จะพักอาศัยก็ลําบาก แม้แต่ที่นั่ง ที่เดิน ที่นอน แต่ก่อนมีแต่กองกระดูกเต็มไปหมดน่ะแถวนี้ กองกระดูก ป่าหนาม ป่าอะไรต่างๆ ก็จะได้ปลูกต้นไม้แต่ละต้นให้น่าอยู่น่าอาศัย ก็ต้องเอารากเพ็กออกเสียก่อน เอาหนามออกเสียก่อน ทำความสะอาดเสียก่อน กว่าจะปรับปรุงดินได้ลําบาก ต้นไม้แต่ละต้นดูแลรักษามา บางทีต้นไม้ต้นเดียวนี่เกิดก่อนพวกท่านเลยก็มี ประมาณ 30 ปี ถ้าคนไหนที่ยังอายุไม่ถึง 30 ปี เกิดก่อนต้นไผ่ พวกไม้ต่างๆ พวกเรามาก็มาสานต่อ มาปลูกต่อทุกปี ปลูกทุกปี
ปีนี้ก็ปลูกเยอะ ปีหน้าก็ยังจะปลูกอีกเยอะ ตอนต้นไทรเอาไว้ตั้งห้าหกร้อยต้น ปีนี้ก็จะปลูกต้นดอกไม้ สวนมะลิวัลย์หอมกรุ่น เดินไปกลางคืนกลางวัน ตกเย็นๆ หอมชมนาด ช่วยกันดูแลรักษา ก็จะได้ให้ร่มเงาได้ กว่าจะปรับปรุงได้นี่ก็ลําบาก จะได้แต่ละชิ้นแต่ละอันให้พวกเราได้อยู่ได้ใช้นี่ก็ลําบากอยู่ ก็ช่วยกันดูแลรักษาห้องส้วมห้องน้ำให้เป็นระเบียบ งานภายใน งานภายนอก งานชําระสะสางจิตใจของตัวเรา งานละกิเลส งานดูแลสมมติสังคม โลกธรรมเราก็ต้องศึกษาค้นคว้าแล้วก็ทำให้เกิดประโยชน์
โอกาสเปิด กาลเวลาเปิด สถานที่เปิด บุญภายในเราก็ทำ บุญภายนอกเราก็ทำ บุญภายนอกคือความเป็นระเบียบเรียบร้อย ประโยชน์ในทางสมมติ ประโยชน์ตน ประโยชน์ท่าน ประโยชน์สูงสุด ประโยชน์ในโลกนี้ ประโยชน์ในโลกหน้า เอาโลกปัจจุบันให้ได้เสียก่อน ตื่นขึ้นมาเรามีความรับผิดชอบหรือไม่ เรามีความขยันหมั่นเพียรหรือเปล่า จะลุกจะก้าวจะเดิน ใจของเราปกติหรือไม่ ใจของเราเกิดอารมณ์อย่างไร ความคิดผุดขึ้นมาใจเคลื่อนก็ไปรวมได้อย่างไร เราต้องหัดเป็นคนวิเคราะห์ หัดเป็นคนสังเกต แม้แต่เวลารับประทานข้าวปลาอาหาร กายของเราหิว หรือว่าใจของเราเกิดความอยาก เราก็ต้องดู ถ้าใจเกิดความอยาก ก็รู้จักหยุด รู้จักดับ เอาด้วยสติ เอาด้วยปัญญา เอาด้วยเหตุ เอาด้วยผล หมั่นพร่ำสอนตนอยู่ตลอดเวลา พร่ำสอนใจอยู่ตลอดเวลา สักวันหนึ่งเราก็คงจะเดินถึงจุดหมายปลายทางกัน
ทางโรงปูนเราก็มาช่วยกันทุกเดือนทุกปี หลายปีๆ ที่ส่งบริวารมา ผู้นําก็อยากจะให้บริวารได้มาสร้างอานิสงส์สร้างบุญบารมีกัน มาที่วัดเราก็พยายาม มีอะไรเราก็ช่วยกัน อะไรขาดตกบกพร่อง เราก็ช่วยกัน จะได้มีความสุข ให้ถือว่าบ้านของเรา อย่าไปกังวลอะไร
ตั้งใจรับพรกัน
----------------------
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเราให้ชัดเจนแล้วก็ให้ต่อเนื่อง นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย ไม่ต้องพนมมือ ฟังไปด้วย น้อมสำเหนียกอยู่ที่ปลายจมูกของเรา ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ การสูดลมหายใจยาว ผ่อนลมหายใจยาว กายก็รู้สึกว่าสบายขึ้น ความตึงเครียดของกายก็คลายลงไป สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกนั่นแหละ ในหลักธรรมท่านเรียกว่าสติรู้กาย แล้วก็พยายามรู้ให้ต่อเนื่องตั้งแต่ตื่นขึ้นมาตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่
เพียงแค่เรื่องการหายใจเข้าออก พวกเราก็ขาดการสนใจกันมากเลยทีเดียว ทั้งที่ใจก็เป็นบุญ ใจปรารถนาอยากจะรู้ธรรมอยากเห็นธรรม ใจอยากทำบุญ ความอยาก ความเกิดของใจนั่นแหละ เขาปิดกันตัวเขาเอาไว้และก็ไม่นิ่ง ใจปกติเป็นอย่างไร ความรู้ตัว รู้ไม่เท่าทันเราก็ไม่เข้าใจในชีวิตของเรา เราเข้าใจในชีวิตของเราอยู่ระดับของปัญญา ของสมมติ ของโลกีย์ ของโลกเท่านั้น
เราต้องสร้างความรู้ตัวตั้งแต่ตื่นขึ้นมาจากหนึ่งครั้งสองครั้ง ไปเป็นนาที 2 นาที จนรู้ตัวทุกอิริยาบถ จนเป็นอัตโนมัติ จนเอาไปอบรมใจของเราได้ ไปแก้ไขใจของเราได้ ควบคุมใจของเราได้ จนใจคลายออกจากความคิด หรือว่าแยกรูปแยกนาม คลายความหลงตรงนั้นแหละ เพียงแค่คลายได้ แยกได้ยังไม่พอ ต้องตามดูชี้เหตุชี้ผลทุกอย่างอีก
แต่ละวันตื่นขึ้นมา ความขยันหมั่นเพียรของเรา มีความรับผิดชอบเต็มเปี่ยมหรือเปล่า มีความเสียสละเต็มเปี่ยมหรือเปล่า เราก็ต้องพยายามสร้างให้มีให้เกิดขึ้นที่ใจของเรา ไม่ต้องไปกังวล ดับความกังวล ดับความฟุ้งซ่านต่างๆ แนวทางนั้นมีมานาน พระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบแล้วก็เอามาเปิดเผย แล้วให้สัตว์โลกได้ปฏิบัติตาม ให้มีให้เกิดขึ้นที่ใจ ให้ปรากฏขึ้นที่ใจ ท่านถึงบอกให้เชื่อ
การเจริญสติเป็นอย่างนี้ การควบคุมใจ ควบคุมอารมณ์เป็นอย่างนี้ จนกว่าใจของเราจะคลายออกจากความคิด การเจริญพรหมวิหาร สร้างความเมตตา ใจของเรามีทิฏฐิ มีมานะ เราก็พยายามละทิฏฐิ ละมานะ ละความเห็นแก่ตัว ละกิเลส ใจเกิดกิเลสเมื่อไหร่ เราก็รู้จักละ รู้จักตัวเรา
ท่านถึงว่าตนเป็นที่พึ่งของตน ก็ต้องพยายาม แต่เวลานี้กําลังสติมีน้อย เราต้องพยายามสร้างขึ้นมาให้ได้ทุกอิริยาบถ ยืนเดิน นั่งนอน กินอยู่ ขับถ่าย รู้จักแจงให้ออก ส่วนสติคือส่วนสมอง ส่วนใจนั้นเขาเกิดๆ ดับๆ ความคิดหรือว่าขันธ์ห้าเขาก็ เกิดๆ ดับๆ เขารวมกันอยู่ ทั้งใจ ทั้งอาการ ทั้งใจ ทั้งปัญญา หรือว่าส่วนสมองเขาไปด้วยกันหมดเป็นก้อนเลย เราต้องมาแจงให้ออก บอกตัวเองให้ได้ ที่ท่านว่าเป็นกองเป็นขันธ์ เป็นกองอย่างไร เป็นขันธ์อย่างไร อยู่ในกายเนื้อของเรา
พระพุทธองค์ท่านสอนเรื่องอะไร ท่านสอนเรื่องชีวิต เรื่องการดำเนินชีวิต และรู้จักชีวิต รู้จักวิญญาณของตัวเราในกายของเรา ว่าวิญญาณที่ปราศจากกิเลสเป็นอย่างไร วิญญาณที่ไม่เกิดเป็นอย่างไร วิญญาณที่ไม่หลงเป็นอย่างไร คําว่าความหลงของพระพุทธองค์หลงอะไร เราต้องแจงให้ออกให้เห็น ให้ชี้เหตุชี้ผลให้ชัดเจน เราก็จะมองออก แต่เวลานี้กําลังสติของเรามีน้อย ถ้าเราสร้างให้ต่อเนื่อง เราถึงจะรู้ว่าแต่ก่อนโน้น สติที่เราสร้างขึ้นมานั้น ไม่มี มีไม่มากเอาไปใช้การใช้งานไม่ได้ เราก็ต้องพยายามเอานะ
มีโอกาสอย่าไปปล่อยโอกาสทิ้ง อย่าไปปล่อยวันเวลาทิ้ง มีเพื่อนคิด ดูใจ อบรมใจ สติปัญญาไปอบรมใจเราอยู่ตลอดเวลา เราก็จะได้ฟังธรรมอยู่ตลอดเวลา ผิดถูกชั่วดีอย่างไร สติปัญญาไปแก้ไข ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่ แก้ไขใหม่ ปรับปรุงตัวเราใหม่ตลอดเวลา สักวันหนึ่งก็คงจะเดินถึงจุดหมายปลายทางกัน
สร้างความรู้สึกรับรู้ สัมผัสของลมหายใจให้ชัดเจนให้ต่อเนื่องกันสักนิดหนึ่งก็ยังดี ดีกว่าไม่ทำ
พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปสร้างสานต่อ ศึกษาทำความเข้าใจต่อให้รู้ทุกอิริยาบถ