หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 23
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 23
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 23
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2558
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเราให้ต่อเนื่อง ให้เชื่อมโยงกันสักพักหนึ่ง ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา เรายังไม่ได้สร้างความรู้ตัวเลย ทั้งที่การหายใจเข้าออกของเราก็หายใจตั้งแต่เกิด เราไปมองข้าม มีตั้งแต่ไปไขว่คว้าหาตั้งแต่ภายนอกกัน เราเลยลืมการเจริญสติเข้าไปน้อมดูรู้ว่าในใจของเราเป็นอย่างไร ในกายของเราเป็นอย่างไร หาวิธีการแก้ไข การดับทุกข์ หาทางดับทุกข์ หาทางหลุดพ้น เราก็ต้องพยายาม
สิ่งพวกนี้จะไปบังคับกันไม่ได้เลย ดังบุคคลที่มีศรัทธา แล้วก็แสวงหาวิธีการ แสวงหาแนวทาง แนวทางนั้นมีมานาน อุบายการทำความเข้าใจก็มีตั้งเยอะแยะ ทำอย่างไรใจของเราถึงจะสะอาด ใจของเราถึงจะบริสุทธิ์ ศรัทธานั้นมีกันมานานแล้วแหละ ตั้งแต่พ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย พาฝักใฝ่ในการทำบุญ ในการให้ทาน ผ่านกาลผ่านเวลา สติปัญญาหรือว่าจิตวิญญาณของเราก็ผ่านการพัฒนามาเรื่อยๆ รู้จักอะไรควรละ อะไรควรเจริญ อะไรควรดำเนิน ดำเนินชีวิตของตัวเรา ประคับประคองทั้งทางสมมติ ทางโลกธรรม เราก็ยังสมมติของเราให้อยู่ดีมีความสุขทางด้านจิตวิญญาณของเราก็ให้รู้ว่าอะไรผิด อะไรถูก เราก็ควรที่จะแก้ไขตัวเรา นอกจากตัวเราแล้วไม่มีใครแก้ไขให้เราได้เลย
แนวทางนั้นพระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบมานานแล้วแหละ พวกเราพยายาม อย่าเอาทิฏฐิ เอาความคิดแบบโลกๆ มาตัดสิน จงพยายามเชื่อในสิ่งที่พุทธองค์ท่านได้ค้นพบ แล้วก็ปฏิบัติตามให้ปรากฏขึ้นที่ใจของตัวเรา จนหมดความสงสัย ปฏิบัติอย่างนี้ ทำอย่างนี้ สิ่งนี้จะปรากฏ เราละกิเลสได้ เราดับความเกิดได้ คลายความหลงได้ ใจของเราก็จะสะอาดบริสุทธิ์ มองเห็นหนทางเดิน
ทำไมท่านถึงว่าความจริงอันประเสริฐ อริยสัจสี่เป็นอย่างไร หลักของอริยสัจ ความจริงอันประเสริฐ เราจะดำเนินได้อย่างไร วิญญาณในกายของเราเป็นอย่างไร ท่านชี้แนะแนวทางเอาไว้หมด กิเลสหยาบ กิเลสละเอียด การละกิเลสหยาบ ละกิเลสละเอียด จนละออกได้หมดจด แม้แต่ตัวใจหรือว่าตัววิญญาณก็ต้องวาง วางไว้กับโลก เขาก็อยู่อย่างนั้น ถ้าเขาไม่เกิด เขาก็ไม่เกิด
แต่เวลานี้นาทีหนึ่งสองนาทีไม่รู้เขาเกิดสักกี่เรื่อง กิเลสมารต่างๆ เขาก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เหมือนกัน เขาก็อยู่ด้วยกันมานาน จะให้เขาแพ้ ได้แค่วัน 2 วันเป็นไปไม่ได้ เราต้องศึกษาให้ละเอียด ทำความเข้าใจให้ละเอียด แล้วก็เจริญตบะบารมี ให้มีให้เกิดขึ้นตลอดเวลา ความอดทนอดกลั้น
การสังเกต การวิเคราะห์ การให้ การเอาออก การคลาย มองโลกในทางที่ดี คิดดี คำว่าปัจจุบันธรรมเป็นลักษณะอย่างไร ภาษาธรรม ภาษาโลกเป็นอย่างไร สักแต่ว่าดู สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าฟัง เป็นอย่างไร ฐานของใจเวลาเขาก่อตัว เขาเกิด เป็นอย่างไร ทำไมใจกับความคิดเขาเคลื่อนเข้าไปรวมกันเป็นสิ่งเดียวกันได้อย่างไร กําลังสติของเราสังเกตทันหรือไม่ รู้ไม่ทัน เราก็รู้จักหยุด รู้จักดับ เอาใหม่ เริ่มใหม่
ใหม่ๆ ก็อาจจะเป็นการฝืน เป็นการทวนกระแส ถ้าเราเข้าใจแล้ว จิตคลายออก คลายความหลงได้แล้ว แยกรูปแยกนามได้แล้ว มองเห็นความเป็นจริง เขาเรียกว่าสัมมาทิฏฐิเริ่มต้น เพียงแค่เริ่มต้นในการรู้ถูก ทำความเข้าใจ มันก็จะถูกไปตลอด แต่เราเข้าไม่ถึงฐานของใจเท่านั้น มีแต่ไปนึกเอาคิดเอา หาเรื่องมาปกปิดใจของตัวเองตลอดเวลาทุกเรื่อง ทั้งโลกธรรมก็เอามาปกปิด ทั้งความคิด อารมณ์ นามธรรมต่างๆ ก็มาปกปิด วิญญาณนั่นแหละเป็นตัวรวมตัวร่วม แล้วก็หลงไปด้วยกัน
เราต้องมาศึกษาให้ละเอียด ขณะที่เรายังมีกําลังยังมีลมหายใจอยู่ อย่าไปปล่อยเวลาทิ้ง ทุกเวลาทุกลมหายใจเข้าออกมีคุณค่ามากมายมหาศาลเลยทีเดียว ก็พยายามกันนะ ทำได้บ้างไม่ได้บ้าง ก็พยายามทำ คอยสะสมกําลังบุญ กําลังสติปัญญาของเราไป อย่าไปมองข้ามแม้แต่บุญเล็กๆ น้อยๆ เราก็อย่าไปมองข้าม การคิดดีก็เป็นบุญ ทำดีก็เป็นบุญ สํารวจตรวจตรากายใจของเราตลอดเวลา จนล้นออกไปสู่หมู่สู่คณะ ไม่มีใครเอาอะไรไปได้หรอก เรามาอาศัยแผ่นดินอยู่ มาอาศัยสมมติอยู่ ถึงเวลาเราก็ต้องกลับคืนสู่สภาพเดิม คือดิน น้ำ ลม ไฟ เหลือแต่วิญญาณ ไปกับบุญ ไปกับอานิสงส์ที่เราสร้างเอาไว้ ตราบใดที่ยังเกิดอยู่
สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกให้ชัดเจนให้ต่อเนื่องกันสักพักนะ
ไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจนะ ให้รู้ตัวทุกอิริยาบถ
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2558
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเราให้ต่อเนื่อง ให้เชื่อมโยงกันสักพักหนึ่ง ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา เรายังไม่ได้สร้างความรู้ตัวเลย ทั้งที่การหายใจเข้าออกของเราก็หายใจตั้งแต่เกิด เราไปมองข้าม มีตั้งแต่ไปไขว่คว้าหาตั้งแต่ภายนอกกัน เราเลยลืมการเจริญสติเข้าไปน้อมดูรู้ว่าในใจของเราเป็นอย่างไร ในกายของเราเป็นอย่างไร หาวิธีการแก้ไข การดับทุกข์ หาทางดับทุกข์ หาทางหลุดพ้น เราก็ต้องพยายาม
สิ่งพวกนี้จะไปบังคับกันไม่ได้เลย ดังบุคคลที่มีศรัทธา แล้วก็แสวงหาวิธีการ แสวงหาแนวทาง แนวทางนั้นมีมานาน อุบายการทำความเข้าใจก็มีตั้งเยอะแยะ ทำอย่างไรใจของเราถึงจะสะอาด ใจของเราถึงจะบริสุทธิ์ ศรัทธานั้นมีกันมานานแล้วแหละ ตั้งแต่พ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย พาฝักใฝ่ในการทำบุญ ในการให้ทาน ผ่านกาลผ่านเวลา สติปัญญาหรือว่าจิตวิญญาณของเราก็ผ่านการพัฒนามาเรื่อยๆ รู้จักอะไรควรละ อะไรควรเจริญ อะไรควรดำเนิน ดำเนินชีวิตของตัวเรา ประคับประคองทั้งทางสมมติ ทางโลกธรรม เราก็ยังสมมติของเราให้อยู่ดีมีความสุขทางด้านจิตวิญญาณของเราก็ให้รู้ว่าอะไรผิด อะไรถูก เราก็ควรที่จะแก้ไขตัวเรา นอกจากตัวเราแล้วไม่มีใครแก้ไขให้เราได้เลย
แนวทางนั้นพระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบมานานแล้วแหละ พวกเราพยายาม อย่าเอาทิฏฐิ เอาความคิดแบบโลกๆ มาตัดสิน จงพยายามเชื่อในสิ่งที่พุทธองค์ท่านได้ค้นพบ แล้วก็ปฏิบัติตามให้ปรากฏขึ้นที่ใจของตัวเรา จนหมดความสงสัย ปฏิบัติอย่างนี้ ทำอย่างนี้ สิ่งนี้จะปรากฏ เราละกิเลสได้ เราดับความเกิดได้ คลายความหลงได้ ใจของเราก็จะสะอาดบริสุทธิ์ มองเห็นหนทางเดิน
ทำไมท่านถึงว่าความจริงอันประเสริฐ อริยสัจสี่เป็นอย่างไร หลักของอริยสัจ ความจริงอันประเสริฐ เราจะดำเนินได้อย่างไร วิญญาณในกายของเราเป็นอย่างไร ท่านชี้แนะแนวทางเอาไว้หมด กิเลสหยาบ กิเลสละเอียด การละกิเลสหยาบ ละกิเลสละเอียด จนละออกได้หมดจด แม้แต่ตัวใจหรือว่าตัววิญญาณก็ต้องวาง วางไว้กับโลก เขาก็อยู่อย่างนั้น ถ้าเขาไม่เกิด เขาก็ไม่เกิด
แต่เวลานี้นาทีหนึ่งสองนาทีไม่รู้เขาเกิดสักกี่เรื่อง กิเลสมารต่างๆ เขาก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เหมือนกัน เขาก็อยู่ด้วยกันมานาน จะให้เขาแพ้ ได้แค่วัน 2 วันเป็นไปไม่ได้ เราต้องศึกษาให้ละเอียด ทำความเข้าใจให้ละเอียด แล้วก็เจริญตบะบารมี ให้มีให้เกิดขึ้นตลอดเวลา ความอดทนอดกลั้น
การสังเกต การวิเคราะห์ การให้ การเอาออก การคลาย มองโลกในทางที่ดี คิดดี คำว่าปัจจุบันธรรมเป็นลักษณะอย่างไร ภาษาธรรม ภาษาโลกเป็นอย่างไร สักแต่ว่าดู สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าฟัง เป็นอย่างไร ฐานของใจเวลาเขาก่อตัว เขาเกิด เป็นอย่างไร ทำไมใจกับความคิดเขาเคลื่อนเข้าไปรวมกันเป็นสิ่งเดียวกันได้อย่างไร กําลังสติของเราสังเกตทันหรือไม่ รู้ไม่ทัน เราก็รู้จักหยุด รู้จักดับ เอาใหม่ เริ่มใหม่
ใหม่ๆ ก็อาจจะเป็นการฝืน เป็นการทวนกระแส ถ้าเราเข้าใจแล้ว จิตคลายออก คลายความหลงได้แล้ว แยกรูปแยกนามได้แล้ว มองเห็นความเป็นจริง เขาเรียกว่าสัมมาทิฏฐิเริ่มต้น เพียงแค่เริ่มต้นในการรู้ถูก ทำความเข้าใจ มันก็จะถูกไปตลอด แต่เราเข้าไม่ถึงฐานของใจเท่านั้น มีแต่ไปนึกเอาคิดเอา หาเรื่องมาปกปิดใจของตัวเองตลอดเวลาทุกเรื่อง ทั้งโลกธรรมก็เอามาปกปิด ทั้งความคิด อารมณ์ นามธรรมต่างๆ ก็มาปกปิด วิญญาณนั่นแหละเป็นตัวรวมตัวร่วม แล้วก็หลงไปด้วยกัน
เราต้องมาศึกษาให้ละเอียด ขณะที่เรายังมีกําลังยังมีลมหายใจอยู่ อย่าไปปล่อยเวลาทิ้ง ทุกเวลาทุกลมหายใจเข้าออกมีคุณค่ามากมายมหาศาลเลยทีเดียว ก็พยายามกันนะ ทำได้บ้างไม่ได้บ้าง ก็พยายามทำ คอยสะสมกําลังบุญ กําลังสติปัญญาของเราไป อย่าไปมองข้ามแม้แต่บุญเล็กๆ น้อยๆ เราก็อย่าไปมองข้าม การคิดดีก็เป็นบุญ ทำดีก็เป็นบุญ สํารวจตรวจตรากายใจของเราตลอดเวลา จนล้นออกไปสู่หมู่สู่คณะ ไม่มีใครเอาอะไรไปได้หรอก เรามาอาศัยแผ่นดินอยู่ มาอาศัยสมมติอยู่ ถึงเวลาเราก็ต้องกลับคืนสู่สภาพเดิม คือดิน น้ำ ลม ไฟ เหลือแต่วิญญาณ ไปกับบุญ ไปกับอานิสงส์ที่เราสร้างเอาไว้ ตราบใดที่ยังเกิดอยู่
สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกให้ชัดเจนให้ต่อเนื่องกันสักพักนะ
ไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจนะ ให้รู้ตัวทุกอิริยาบถ