หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 9
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 9
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 9
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 21 มกราคม 2558
มีความสุขกันทุกคน วันที่ 4 เมษายนนี้ บวชเยอะเลยเห็นว่าบวช 30 กว่า วันที่ 5 นะวันที่ 5 ตั้งแต่อาจารย์วรภัทร์ ภู่เจริญ พาหมู่พาคณะลูกศิษย์ลูกหามา พากันมาบวช พากันมาบวชมาศึกษาตัวเรานั่นแหละ ศึกษาใจของเรานั่นแหละ หาโอกาสหาเวลามาทำความเข้าใจว่าชีวิตของเราเกิดมาอย่างไร ไปอย่างไร อยู่อย่างไร พระพุทธเจ้าหรือว่าพระพุทธองค์ท่านสอนเรื่องอะไร ก็สอนเรื่องชีวิตของเรา
ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ใจของเราทำไมถึงเกิด ใจของเราทำไมถึงหลง คําว่าหลงของพระพุทธองค์นั้นหลงอะไรอีก ท่านบอกว่าให้รอบรู้ เราจะเอาอะไรไปรอบรู้ รอบรู้ในกองสังขารรอบรู้ในวิญญาณในกายของเรา เราก็ต้องมาเจริญสติ คําว่า‘สติ’ ของพระพุทธองค์เป็นลักษณะอย่างไร คําว่า ‘ปัจจุบันธรรม’ ความรู้ตัวปัจจุบันธรรม ส่วนมากคิดก็รู้ทำก็รู้
มันเกิดมาตั้งนาน ใจเกิดมาตั้งนาน ใจหลงมาตั้งนาน ได้มาเกิดอยู่ในภพของมนุษย์ มาสร้างร่างกายปิดกั้นตัวเขาเอาไว้ตัววิญญาณ แล้วก็เขาก็ยังหนีไปเที่ยวต่อ ไปเที่ยวที่โน่นไปเที่ยวที่นี่ เดี๋ยวก็คิดนั่นแหละความคิดบางทีก็เป็นกุศลอกุศล ตั้งแต่เช้ามาคิดสักกี่เรื่องนับไม่ถ้วน เพียงแค่ 5 นาที 10 นาที เพียงแค่ชั่วโมงเดียว กําลังฝ่ายสติฝ่ายปัญญาที่จะเข้าไปอบรมใจมันไม่มี ก็เลยมีตั้งแต่ความถูกต้องระดับของสมมติ อยู่ในกองบุญกองกุศล อยู่ในการสร้างคุณงามความดี
แต่ในหลักธรรมนั้นยังหลงอยู่ เพราะว่ายังแยกรูปแยกนาม คลายความยึดมั่นถือมั่นไม่ได้ ก็เลยหลงวนเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในภพน้อยภพใหญ่ ภพตอนนี้อยู่ในภพของมนุษย์ยังไม่ตายๆ เมื่อเช้านี้ตาย 2 มารับโลง 2 เมื่อวานก็มารับโลง 1 เป็น 296 โลงที่ได้มอบไป อันนี้ตายทางกายเนื้อ แต่ตัวใจตัววิญญาณนั้นถ้าเรียงดับความเกิดไม่ได้ก็ต้องไปต่อ ไปด้วยแรงเหวี่ยงของกรรม เราต้องมาศึกษาเรื่องกรรมให้รู้เรื่องเสียก่อน ขันธ์ห้านี่แหละก่อนกรรม เอามาคลายมาแยกรูปแยกนามก็วางขันธ์ห้าได้ แต่ยังดับความเกิดของใจได้อีกหรือเปล่า ถ้าเราทำความเข้าใจได้เราก็จะเข้าใจเรื่องกรรม
การดำเนินชีวิตเพียงแค่คนทั่วไประดับสมมติก็ยังดำเนินกันไม่ค่อยจะราบรื่น อันโน้นก็ติดขัดอันนี้ก็ติดขัด แถมเป็นทาสของกิเลสอีก ความโลภความโกรธเข้าครอบงำอีก ความทะยานทะยานอยากเข้าครอบงำอีก ในหลักธรรมท่านให้ละทั้งความอยาก ละทั้งความหวัง แต่การกระทำความรับผิดชอบด้วยสติด้วยปัญญา อยากมี อยากเป็น อยากไปก็เป็นความต้องการของปัญญาก็ไปทำหน้าที่แทนทุกเรื่อง แต่เวลานี้กําลังสติเข้าไปอบรมใจนี่แทบจะไม่มีหรือไม่มีเลย ก็เลยไม่รู้เรื่องชีวิตก็เลยรู้เรื่องแบบโลกๆ ไปกันทั้งก้อน ไปกันทั้งดุ้น ปนกันไป วนเวียนว่ายกันไป
ไม่ว่าพระ ว่าโยม ว่าชีทุกเรื่องต้องดู เวลาขบเวลาฉันก็เหมือนกัน กะประมาณในการขบฉันของตัวเราเอง ใจของเราเกิดความอยากหรือว่ากายของเราเกิดความหิว ถ้าใจเกิดความอยาก เราก็รู้จักดับรู้จักหยุด พิจารณากะประมาณในการขบฉันของตัวเรา แล้วก็พิจารณาเราอยู่ในสภาวะในเพศนี้ เราบริหารกาย บริหารใจของเราอย่างไร เป็นเรื่องของเรา ไม่ใช่เรื่องของคนอื่น
แต่เรามาอยู่ด้วยกันหลายคนหลายท่านก็ต้องรู้จักวิเคราะห์พิจารณา อันนี้สมมติอันนี้วิมุตติ ความสมัครสมานสามัคคี ความเสียสละ ความอนุเคราะห์ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน แต่ก่อนก็อยู่กันคนละทิศละที่ละทางมาอยู่รวมกัน บางทีมาอยู่รวมกันก็ขัดแย้งกันทะเลาะเบาะแว้งกัน กิเลสมันมีอัตตามันมี ในหลักธรรมท่านให้มาละทิฏฐิ ละมานะ ละอัตตา มาจัดระบบระเบียบของตัวเรา ถ้าคนเราไม่มีความเป็นระบบระเบียบ ไม่มีความเสียสละ มีแต่ความเกียจคร้านเข้าครอบงำ มีตั้งแต่ทิฏฐิมานะ อยู่คนเดียวก็เป็นทุกข์อยู่ หลายคนก็เป็นทุกข์ ก็ไม่รู้จักวิธีแก้ ก็ต้องพยายามนะ
คนวัดต้องเป็นคนขยันหมั่นเพียร มีความเสียสละ มีความอดทน แก้ไขตัวเรา ปรับปรุงตัวเรา อย่าไปโยนภาระให้คนโน้นโยนภาระให้คนนี้ ก็มาวัดก็มาโยนภาระให้กับพระกับวัดก็ใช้การไม่ได้ ก็ต้องรีบแก้ไข มีอะไรเราก็ช่วยกัน สะสางกิเลสภายในตัวเรานี้ก็หนักอยู่ ยังแบกรับภาระให้กับคนโน้นคนนี้ก็ยิ่งหนักเข้าไปอีก ทำภาระภายในให้จบ แล้วก็ช่วยเหลือ เราเปลี่ยนจากภาระเป็นความรับผิดชอบ ช่วยเหลือเกื้อกูลหมู่คณะ ช่วยเหลือเกื้อกูลเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกันด้วยความเมตตา ด้วยความเสียสละ
เข้ามาวัดแล้วก็มาขวางหมู่ขวางคณะ เราก็ใช้การไม่ได้ หอบตั้งแต่กิเลสก็ใช้การไม่ได้ ต้องพิจารณาวิเคราะห์ตัวใจของเรากายของเรา ความเป็นอยู่ของเราว่าจะดำเนินให้อยู่ดีมีความสุขได้ทุกอย่างก็ต้องอาศัยอานิสงส์ของแต่ละบุคคลหล่อหลอมรวมกันถึงเป็นบุญก้อนใหญ่ เราก็มาสร้างมาสานต่อ ก็ขอขอบใจทุกคน ไม่ว่าจะอยู่ที่บ้านที่วัดที่ทำการทำงาน เราก็ต้องพยายามทำ ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาตั้งแต่ที่พักที่อาศัย ที่หลับที่นอน ก่อนจะลุกเข้าห้องส้วมห้องน้ำ สติของเราตั้งมั่นหรือเปล่า ใจของเราตั้งมั่นหรือเปล่า เราต้องดูจนเป็นอัตโนมัติจนคลายได้ คลายได้แยกได้ ตามดูได้ เข้าใจในคําสอนของพระพุทธองค์ น้อมนําเอาพระพุทธเจ้ามาไว้ในใจ
พุทธะก็คือ ‘ผู้รู้’ ใครรู้ธรรมคนนั้นเห็นเรา ท่านว่าอย่างนั้น อะไรคือธรรมล่ะที่นี้ ตัวใจนั่นแหละคือตัวธรรม แต่เวลานี้เขายังเกิดยังหลงอยู่ เราต้องมาเจริญสติเข้าไปอบรมธรรม ปฏิบัติธรรมไม่รู้จักธรรม เจริญสติไม่รู้จักสติ จะไปเข้าใจในชีวิตของตัวเองได้ยังไง เราก็ต้องพยายามทำความเข้าใจให้เรียบร้อย เรื่องการปฏิบัติใจปฏิบัติชีวิตของเรานี่เป็นของละเอียด ส่วนจิตวิญญาณซึ่งเป็นนามธรรมยิ่งละเอียด ผิดทางนิดเดียวก็ไม่เห็น ไม่รู้ไม่เข้าใจ
เราก็รู้ตั้งแต่เปลือกก็เลยเข้าไม่ถึงแก่น ทั้งเปลือกทั้งกระพี้ทั้งแก่นเขาก็อาศัยกันอยู่ เราก็ต้องทำความเข้าใจ แล้วก็เคารพสมมติวิมุตติ กิเลสหยาบกิเลสละเอียด กิเลสหยาบๆ นานๆ มันถึงจะเกิด ความโลภอย่างรุนแรง ความโกรธอย่างรุนแรง ความโมโหอย่างรุนแรง มันเกิดมันเผารนจิตใจ ก็ต้องพยายาม
เพียงแค่การเกิดของความคิดนั่นแหละเขาเรียกว่า ‘ใจเกิด’ มันมีการเกิดของใจ การเกิดของอาการของใจมันรวมกันอยู่ ท่านถึงให้มาเจริญสติ คําว่าสติรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน อย่างหลวงพ่อพูดทุกวันๆ พูดของเก่า แต่พวกท่านไม่ไปทำ การเจริญสติเป็นอย่างนี้ การระลึกรู้ลมหายใจเข้าออกเป็นอย่างนี้ ที่ต่อเนื่องเชื่อมโยงเป็นอย่างนี้ กายวิเวกเป็นอย่างนี้ ใจวิเวกเป็นอย่างนี้ ไปทำ ไปทำไปฝึกจนรู้ รู้เท่าทัน ทำความเข้าใจ อบรมใจของเราได้ ดับกิเลสของใจได้
รู้จักวิธีรู้จักแนวทางแล้วก็ไปทำ ไม่ใช่เอาไปตั้งแต่จะให้คนอื่นเขาบังคับต้องเดินต้องนั่ง ต้องฝืนให้กิเลส มันไม่ได้เลือกกาลเลือกเวลาสักหน่อย มันเล่นงานเราตลอดเวลา ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี มันเล่นงานอยู่ตลอด ภายใน 5 นาที นาทีเดียวมันคิดไปตั้งกี่เรื่องก็ไม่รู้ ขณะนั่งฟังอยู่มันยังวิ่งไปโน่นวิ่งไปนี่อยู่อีก มีไม่ต่อเนื่อง
แต่การทำบุญให้ทานนั้นมีกัน ศรัทธานั้นมีกัน ไปที่โน่นไปที่นี่ คนโน้นเป็นอย่างนั้นคนนั้นเป็นอย่างนี้ อยู่ที่บ้านก็ลูกสะใภ้ฉันเป็นอย่างนั้นลูกเขยฉันเป็นอย่างนี้ ไปโทษเอาลูกสะใภ้ลูกเขยเขาไม่รู้เรื่องอะไรเลย มันตื่นสายไม่รู้จักทำมาหากิน ต้องมาวัดก็มาโทษมาอคติ หลวงตานั่นเป็นอย่างนั้น หลวงตานี่เป็นอย่างนี้ ใจมันเกิดอยู่ตลอดเวลา ไม่รู้จักมองโลกในทางที่ดี คิดดี อะไรไม่ดีเราก็รีบละเสีย
ทำภารกิจของเราให้มันจบ ภารกิจภายในก็ยังไม่รู้เรื่อง แถมแบกรับภาระหนี้สินมาปิดอีกเป็นดินพอกหางหมูอีก ล้นออกไปเรื่อยๆ มันก็เลยห่างไกล จะเอาธรรมก็เลยไม่รู้ธรรม มีธรรมก็เลยมีแต่ทำธรรมเมา จับกลุ่มคุยกัน ทะเลาะเบาะแว้งกัน ธรรมเมาแล้วก็ตีกัน ฆ่ากันตาย ธรรมเขามีไว้ให้ละกิเลส ปฏิบัติธรรมคร่ำคร่งมากมายถึงขนาดไหนก็เพื่อละกิเลส ก็เพื่อที่จะคลายความหลง หมดความสงสัยในใจของตัวเอง ดำเนินชีวิตของเราให้มันจบ ประกาศด้วยตัวเองว่าเรา ใจของเราเป็นยังไง สะอาดบริสุทธิ์ ใจของเราดับความเกิดได้แล้วหรือยัง
แนวทางนั้นพระพุทธเจ้าท่านค้นพบออกมาเปิดเผยเสียตั้งนานตั้งสองสามพันกว่าปีแล้ว เพียงแค่การเกิดของใจในอัตตามันเกิด ยังคลายขันธ์ห้าไม่ได้ แยกรูปแยกนามไม่ได้ คําว่าแยกรูปแยกนามมันเป็นอย่างไร มีเชือกอยู่เส้นเดียวมีกี่เกลียว ฉีกออกให้รู้ออกเป็นเกลียวๆ อยู่ในเชือกเส้นเดียว กายของเราก็มีอยู่ห้ากองห้าขันธ์เหมือนกัน เรามาเจริญสติเข้าไปสํารวจเข้าไปแยก อบรมใจ แล้วก็ละ อะไรควรละ อะไรควรเจริญ เดี๋ยวค่อยดำเนินไปเรื่อยๆ จนกว่าไม่มีอะไรที่จะละ จนกว่าใจของเราสะอาดบริสุทธิ์
ง่ายอยู่ แต่การลงมือต้องเป็นบุคคลที่มีความเพียรมีศรัทธา มีความเพียรแล้วก็ศรัทธา แล้วเกิดจากการเจริญภาวนา การเกิดจากการเจริญสติที่ถูกต้องอีกด้วย ไม่ใช่ว่าศรัทธาแบบหลงงมงาย ใครว่าอย่างไรว่าตาม เราต้องปฏิบัติให้มีให้เห็นให้เกิด หมดความสงสัยในตัวของเรา ความขยันเต็มที่หรือเปล่า ความเสียสละเต็มที่หรือเปล่า
มาอยู่วัดก็ต้องขยัน ไม่ใช่จะแบกตั้งแต่ความลําบากใจมาให้กับทางวัดทางพระ หนีออกมาอยู่ป่าช้าเราก็ตามกันมาอีก ป่าช้าก็กายของเรานี่แหละ พยายามดูให้ถึงให้ทั่ว ถ้าไม่ได้ฝึกฝนตัวเราแล้วก็มันก็ยาก ขณะฝึกฝนมันก็ยังยากลําบากอยู่ ยิ่งคนหมู่มากต่างคนต่างก็ไม่เป็นระเบียบยิ่งเละเทะ ให้เป็นบุคคลที่มีความเป็นระเบียบเรียบร้อยในตัว จัดความเป็นระเบียบทั้งกาย ทั้งวาจาทั้งใจ ทั้งความคิดอารมณ์ก็จะเป็นระเบียบทั้งภายนอกทั้งภายใน ขนาดจัดมา 20-30 สิบปี ถ้าไม่ช่วยกันแล้วใครจะช่วย ก็พวกเรานั่นแหละช่วยกัน
บางทีก็ทิ้งมันไปทั่ว ไปโทษใครก็โทษหลวงพ่อนี่แหละ ถ้าหลวงพ่อไม่มาสร้างวัดมันก็ไม่ได้มาอย่างนี้หรอก ถ้าไม่ได้มาอยู่มาสร้างวัด มาทำ ก็ไม่ได้มาเยอะถึงขนาดนี้ ก็แสดงว่ามีวิบากกรรมร่วมกัน เกิดมา มารับใช้ มาทำให้ มารับใช้ให้มันจบๆ จะได้ไม่ต้องกลับมาเกิดอีก เทวดาไม่สงสารหรือไงก็ไม่รู้ เทวดาสงสารถึงได้มาช่วยกัน สมัยก่อนนี้แม้แต่กับข้าวกับถ้วยชามนี่ยังเก็บตามหลุมศพมาใส่กิน น้ำปานะนี่ก็เอาเก็บใบส้มป่อยแล้วมาต้ม
ทุกวันนี้มันล้นมันเหลือให้รู้จักประหยัดมัธยัสถ์ แบ่งกินแบ่งใช้ แบ่งเก็บแบ่งทาน ถ้าไม่ทานออกไปนี่เยอะกว่านี้อีก เยอะกว่านี้อีก ทานทั้งทุกอย่างเท่าที่มีโอกาส เงินทองมีเยอะก็ทานให้เยอะ ปีนี้ทานไปตั้งหลายล้าน 4–5 ล้าน และพวกสิ่งของต่างๆ เราก็พยายามใช้ให้เกิดประโยชน์ ประหยัดมัธยัสถ์ ทั้งของเก่าทั้งของใหม่ ทั้งการใช้ฟืนใช้ไฟใช้น้ำ ให้เป็นระเบียบ แต่ก่อนไม่มี เราก็ขวนขวายให้ทำให้มี ลําบากถึงขนาดไหนก็ต้องทำให้มี
ตั้งใจรับพรกัน
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้ สัมผัสทางลมหายใจของเราให้ชัดเจนแล้วก็ให้ต่อเนื่องแล้วก็ให้เชื่อมโยง ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียก นั่งตามสบาย ไม่ต้องพนมมือ วางกายให้สบาย วางใจให้สบาย ลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ เพียงแค่เรื่องการหายใจเข้าออกอานาปานสติพวกเราก็ไม่สนใจกันเลย ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมาถึงเรายังรู้ไม่ทัน ก็ขอให้รู้ขณะที่กําลังนั่งฟังอยู่นี่แหละ
ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ เราสูดลมหายใจยาว กายของเราก็สบายขึ้นเยอะ สัมผัสของลมหายใจก็จะชัดเจน ความรู้สึกที่เวลาลมวิ่งเข้ากระทบปลายจมูก นั่นแหละหลักธรรมท่านเรียกว่า ‘สติรู้กาย’ ส่วนหนึ่งก็คือรู้ลมหายใจเข้าออกเขาเรียกว่า ‘รู้กาย’ ถ้าเรารู้ให้ต่อเนื่อง เขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’
เราพยายามสร้างให้เกิดความเคยชินให้ต่อเนื่อง แล้วก็เอาไปใช้ เอาไปวิเคราะห์ใจ เอาไปอบรมใจ ไปทำความเข้าใจกับวิญญาณในกายของเรา ว่าทำไม หรือว่าวิญญาณหรือว่ากายบางคนบางท่านก็เรียกใจ บางคนบางท่านก็เรียกวิญญาณ วิญญาณในกายของเรา ทำไมถึงเกิด ทำไมถึงหลง ทำไมถึงเป็นทาสของกิเลส อะไรคือส่วนรูปธรรมอะไรคือส่วนนามธรรม เอาไว้ทีหลังเถอะ
มาเจริญสติให้ได้ทุกอิริยาบถให้ได้เสียก่อน ไม่ต้องไปคิดเอา ไปเออไปเองเอาว่าจะเป็นอย่างนั้นว่าเป็นอย่างนี้ ใหม่ๆ ก็อาจจะเป็นการฝืน เพราะความเคยชินเก่า ความคิดเก่า ปัญญาเก่ามันปิดกั้นตัวเขาเอาไว้หมด เพียงแค่การเกิดของความคิด เขาก็หลงแล้ว ศรัทธาวิริยะความเพียร บารมีส่วนอื่นนั้นมีกันอยู่ จากการเจริญสติให้ต่อเนื่องเชื่อมโยงมีบ้างเป็นบางครั้งบางคราว นาทีหนึ่ง 2 นาที 3 นาที 5 นาที 10 นาที ชั่วโมงหนึ่ง ไอ้ความคิดเก่ากับความรู้ตัวใหม่ตัวไหนมันจะเยอะกว่ากัน
เราต้องมาสร้างความรู้ตัว จนกว่าจะแยกได้คลายได้ อบรมใจได้ จนกว่าใจของเราจะอยู่ในโอวาทของสติปัญญาของเราได้ ชี้เหตุชี้ผล เห็นเหตุเห็นผล มีอยู่ในกายของเราหมด เพียงแค่แต่ว่าพวกเราจะทำหรือเปล่าเท่านั้นเอง กายวิเวกเป็นอย่างนี้ การเจริญสติเป็นอย่างนี้ ความคิดหยาบความคิดละเอียดเป็นอย่างนี้ ที่ท่านว่ามลทินนิวรณธรรมต่างๆ การเกิดของใจของเราเป็นอย่างนี้ มันจะมีหมด เว้นเสียแต่ว่าพวกเราจะรู้จะเห็นหรือเปล่าเท่านั้น ก็ต้องพยายามนะ
ล้มแล้วลุกขึ้นใหม่ แก้ไขใหม่ ปรับปรุงตัวใหม่ โทษตัวเอง แก้ไขตัวเอง ปรับปรุงตัวเอง อย่าไปเที่ยวโทษคนโน้นเที่ยวโทษคนนี้ ธรรมะจะอยู่ที่โน่นที่นี่ก็ตัวใจของเรานั่นแหละ เราขัดเกลากิเลสออกคลายความหลงได้ ดับความเกิดได้ เขาก็สะอาด เขาก็บริสุทธิ์ มองเห็นหนทางเดิน
สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสทางลมหายใจให้ชัดเจนให้ต่อเนื่องเชื่อมโยงกันสักนาทีก็ยังดี ดีกว่าไม่ได้ทำ
พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปสร้างสานต่อเอานะ
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 21 มกราคม 2558
มีความสุขกันทุกคน วันที่ 4 เมษายนนี้ บวชเยอะเลยเห็นว่าบวช 30 กว่า วันที่ 5 นะวันที่ 5 ตั้งแต่อาจารย์วรภัทร์ ภู่เจริญ พาหมู่พาคณะลูกศิษย์ลูกหามา พากันมาบวช พากันมาบวชมาศึกษาตัวเรานั่นแหละ ศึกษาใจของเรานั่นแหละ หาโอกาสหาเวลามาทำความเข้าใจว่าชีวิตของเราเกิดมาอย่างไร ไปอย่างไร อยู่อย่างไร พระพุทธเจ้าหรือว่าพระพุทธองค์ท่านสอนเรื่องอะไร ก็สอนเรื่องชีวิตของเรา
ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ใจของเราทำไมถึงเกิด ใจของเราทำไมถึงหลง คําว่าหลงของพระพุทธองค์นั้นหลงอะไรอีก ท่านบอกว่าให้รอบรู้ เราจะเอาอะไรไปรอบรู้ รอบรู้ในกองสังขารรอบรู้ในวิญญาณในกายของเรา เราก็ต้องมาเจริญสติ คําว่า‘สติ’ ของพระพุทธองค์เป็นลักษณะอย่างไร คําว่า ‘ปัจจุบันธรรม’ ความรู้ตัวปัจจุบันธรรม ส่วนมากคิดก็รู้ทำก็รู้
มันเกิดมาตั้งนาน ใจเกิดมาตั้งนาน ใจหลงมาตั้งนาน ได้มาเกิดอยู่ในภพของมนุษย์ มาสร้างร่างกายปิดกั้นตัวเขาเอาไว้ตัววิญญาณ แล้วก็เขาก็ยังหนีไปเที่ยวต่อ ไปเที่ยวที่โน่นไปเที่ยวที่นี่ เดี๋ยวก็คิดนั่นแหละความคิดบางทีก็เป็นกุศลอกุศล ตั้งแต่เช้ามาคิดสักกี่เรื่องนับไม่ถ้วน เพียงแค่ 5 นาที 10 นาที เพียงแค่ชั่วโมงเดียว กําลังฝ่ายสติฝ่ายปัญญาที่จะเข้าไปอบรมใจมันไม่มี ก็เลยมีตั้งแต่ความถูกต้องระดับของสมมติ อยู่ในกองบุญกองกุศล อยู่ในการสร้างคุณงามความดี
แต่ในหลักธรรมนั้นยังหลงอยู่ เพราะว่ายังแยกรูปแยกนาม คลายความยึดมั่นถือมั่นไม่ได้ ก็เลยหลงวนเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในภพน้อยภพใหญ่ ภพตอนนี้อยู่ในภพของมนุษย์ยังไม่ตายๆ เมื่อเช้านี้ตาย 2 มารับโลง 2 เมื่อวานก็มารับโลง 1 เป็น 296 โลงที่ได้มอบไป อันนี้ตายทางกายเนื้อ แต่ตัวใจตัววิญญาณนั้นถ้าเรียงดับความเกิดไม่ได้ก็ต้องไปต่อ ไปด้วยแรงเหวี่ยงของกรรม เราต้องมาศึกษาเรื่องกรรมให้รู้เรื่องเสียก่อน ขันธ์ห้านี่แหละก่อนกรรม เอามาคลายมาแยกรูปแยกนามก็วางขันธ์ห้าได้ แต่ยังดับความเกิดของใจได้อีกหรือเปล่า ถ้าเราทำความเข้าใจได้เราก็จะเข้าใจเรื่องกรรม
การดำเนินชีวิตเพียงแค่คนทั่วไประดับสมมติก็ยังดำเนินกันไม่ค่อยจะราบรื่น อันโน้นก็ติดขัดอันนี้ก็ติดขัด แถมเป็นทาสของกิเลสอีก ความโลภความโกรธเข้าครอบงำอีก ความทะยานทะยานอยากเข้าครอบงำอีก ในหลักธรรมท่านให้ละทั้งความอยาก ละทั้งความหวัง แต่การกระทำความรับผิดชอบด้วยสติด้วยปัญญา อยากมี อยากเป็น อยากไปก็เป็นความต้องการของปัญญาก็ไปทำหน้าที่แทนทุกเรื่อง แต่เวลานี้กําลังสติเข้าไปอบรมใจนี่แทบจะไม่มีหรือไม่มีเลย ก็เลยไม่รู้เรื่องชีวิตก็เลยรู้เรื่องแบบโลกๆ ไปกันทั้งก้อน ไปกันทั้งดุ้น ปนกันไป วนเวียนว่ายกันไป
ไม่ว่าพระ ว่าโยม ว่าชีทุกเรื่องต้องดู เวลาขบเวลาฉันก็เหมือนกัน กะประมาณในการขบฉันของตัวเราเอง ใจของเราเกิดความอยากหรือว่ากายของเราเกิดความหิว ถ้าใจเกิดความอยาก เราก็รู้จักดับรู้จักหยุด พิจารณากะประมาณในการขบฉันของตัวเรา แล้วก็พิจารณาเราอยู่ในสภาวะในเพศนี้ เราบริหารกาย บริหารใจของเราอย่างไร เป็นเรื่องของเรา ไม่ใช่เรื่องของคนอื่น
แต่เรามาอยู่ด้วยกันหลายคนหลายท่านก็ต้องรู้จักวิเคราะห์พิจารณา อันนี้สมมติอันนี้วิมุตติ ความสมัครสมานสามัคคี ความเสียสละ ความอนุเคราะห์ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน แต่ก่อนก็อยู่กันคนละทิศละที่ละทางมาอยู่รวมกัน บางทีมาอยู่รวมกันก็ขัดแย้งกันทะเลาะเบาะแว้งกัน กิเลสมันมีอัตตามันมี ในหลักธรรมท่านให้มาละทิฏฐิ ละมานะ ละอัตตา มาจัดระบบระเบียบของตัวเรา ถ้าคนเราไม่มีความเป็นระบบระเบียบ ไม่มีความเสียสละ มีแต่ความเกียจคร้านเข้าครอบงำ มีตั้งแต่ทิฏฐิมานะ อยู่คนเดียวก็เป็นทุกข์อยู่ หลายคนก็เป็นทุกข์ ก็ไม่รู้จักวิธีแก้ ก็ต้องพยายามนะ
คนวัดต้องเป็นคนขยันหมั่นเพียร มีความเสียสละ มีความอดทน แก้ไขตัวเรา ปรับปรุงตัวเรา อย่าไปโยนภาระให้คนโน้นโยนภาระให้คนนี้ ก็มาวัดก็มาโยนภาระให้กับพระกับวัดก็ใช้การไม่ได้ ก็ต้องรีบแก้ไข มีอะไรเราก็ช่วยกัน สะสางกิเลสภายในตัวเรานี้ก็หนักอยู่ ยังแบกรับภาระให้กับคนโน้นคนนี้ก็ยิ่งหนักเข้าไปอีก ทำภาระภายในให้จบ แล้วก็ช่วยเหลือ เราเปลี่ยนจากภาระเป็นความรับผิดชอบ ช่วยเหลือเกื้อกูลหมู่คณะ ช่วยเหลือเกื้อกูลเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกันด้วยความเมตตา ด้วยความเสียสละ
เข้ามาวัดแล้วก็มาขวางหมู่ขวางคณะ เราก็ใช้การไม่ได้ หอบตั้งแต่กิเลสก็ใช้การไม่ได้ ต้องพิจารณาวิเคราะห์ตัวใจของเรากายของเรา ความเป็นอยู่ของเราว่าจะดำเนินให้อยู่ดีมีความสุขได้ทุกอย่างก็ต้องอาศัยอานิสงส์ของแต่ละบุคคลหล่อหลอมรวมกันถึงเป็นบุญก้อนใหญ่ เราก็มาสร้างมาสานต่อ ก็ขอขอบใจทุกคน ไม่ว่าจะอยู่ที่บ้านที่วัดที่ทำการทำงาน เราก็ต้องพยายามทำ ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาตั้งแต่ที่พักที่อาศัย ที่หลับที่นอน ก่อนจะลุกเข้าห้องส้วมห้องน้ำ สติของเราตั้งมั่นหรือเปล่า ใจของเราตั้งมั่นหรือเปล่า เราต้องดูจนเป็นอัตโนมัติจนคลายได้ คลายได้แยกได้ ตามดูได้ เข้าใจในคําสอนของพระพุทธองค์ น้อมนําเอาพระพุทธเจ้ามาไว้ในใจ
พุทธะก็คือ ‘ผู้รู้’ ใครรู้ธรรมคนนั้นเห็นเรา ท่านว่าอย่างนั้น อะไรคือธรรมล่ะที่นี้ ตัวใจนั่นแหละคือตัวธรรม แต่เวลานี้เขายังเกิดยังหลงอยู่ เราต้องมาเจริญสติเข้าไปอบรมธรรม ปฏิบัติธรรมไม่รู้จักธรรม เจริญสติไม่รู้จักสติ จะไปเข้าใจในชีวิตของตัวเองได้ยังไง เราก็ต้องพยายามทำความเข้าใจให้เรียบร้อย เรื่องการปฏิบัติใจปฏิบัติชีวิตของเรานี่เป็นของละเอียด ส่วนจิตวิญญาณซึ่งเป็นนามธรรมยิ่งละเอียด ผิดทางนิดเดียวก็ไม่เห็น ไม่รู้ไม่เข้าใจ
เราก็รู้ตั้งแต่เปลือกก็เลยเข้าไม่ถึงแก่น ทั้งเปลือกทั้งกระพี้ทั้งแก่นเขาก็อาศัยกันอยู่ เราก็ต้องทำความเข้าใจ แล้วก็เคารพสมมติวิมุตติ กิเลสหยาบกิเลสละเอียด กิเลสหยาบๆ นานๆ มันถึงจะเกิด ความโลภอย่างรุนแรง ความโกรธอย่างรุนแรง ความโมโหอย่างรุนแรง มันเกิดมันเผารนจิตใจ ก็ต้องพยายาม
เพียงแค่การเกิดของความคิดนั่นแหละเขาเรียกว่า ‘ใจเกิด’ มันมีการเกิดของใจ การเกิดของอาการของใจมันรวมกันอยู่ ท่านถึงให้มาเจริญสติ คําว่าสติรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน อย่างหลวงพ่อพูดทุกวันๆ พูดของเก่า แต่พวกท่านไม่ไปทำ การเจริญสติเป็นอย่างนี้ การระลึกรู้ลมหายใจเข้าออกเป็นอย่างนี้ ที่ต่อเนื่องเชื่อมโยงเป็นอย่างนี้ กายวิเวกเป็นอย่างนี้ ใจวิเวกเป็นอย่างนี้ ไปทำ ไปทำไปฝึกจนรู้ รู้เท่าทัน ทำความเข้าใจ อบรมใจของเราได้ ดับกิเลสของใจได้
รู้จักวิธีรู้จักแนวทางแล้วก็ไปทำ ไม่ใช่เอาไปตั้งแต่จะให้คนอื่นเขาบังคับต้องเดินต้องนั่ง ต้องฝืนให้กิเลส มันไม่ได้เลือกกาลเลือกเวลาสักหน่อย มันเล่นงานเราตลอดเวลา ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี มันเล่นงานอยู่ตลอด ภายใน 5 นาที นาทีเดียวมันคิดไปตั้งกี่เรื่องก็ไม่รู้ ขณะนั่งฟังอยู่มันยังวิ่งไปโน่นวิ่งไปนี่อยู่อีก มีไม่ต่อเนื่อง
แต่การทำบุญให้ทานนั้นมีกัน ศรัทธานั้นมีกัน ไปที่โน่นไปที่นี่ คนโน้นเป็นอย่างนั้นคนนั้นเป็นอย่างนี้ อยู่ที่บ้านก็ลูกสะใภ้ฉันเป็นอย่างนั้นลูกเขยฉันเป็นอย่างนี้ ไปโทษเอาลูกสะใภ้ลูกเขยเขาไม่รู้เรื่องอะไรเลย มันตื่นสายไม่รู้จักทำมาหากิน ต้องมาวัดก็มาโทษมาอคติ หลวงตานั่นเป็นอย่างนั้น หลวงตานี่เป็นอย่างนี้ ใจมันเกิดอยู่ตลอดเวลา ไม่รู้จักมองโลกในทางที่ดี คิดดี อะไรไม่ดีเราก็รีบละเสีย
ทำภารกิจของเราให้มันจบ ภารกิจภายในก็ยังไม่รู้เรื่อง แถมแบกรับภาระหนี้สินมาปิดอีกเป็นดินพอกหางหมูอีก ล้นออกไปเรื่อยๆ มันก็เลยห่างไกล จะเอาธรรมก็เลยไม่รู้ธรรม มีธรรมก็เลยมีแต่ทำธรรมเมา จับกลุ่มคุยกัน ทะเลาะเบาะแว้งกัน ธรรมเมาแล้วก็ตีกัน ฆ่ากันตาย ธรรมเขามีไว้ให้ละกิเลส ปฏิบัติธรรมคร่ำคร่งมากมายถึงขนาดไหนก็เพื่อละกิเลส ก็เพื่อที่จะคลายความหลง หมดความสงสัยในใจของตัวเอง ดำเนินชีวิตของเราให้มันจบ ประกาศด้วยตัวเองว่าเรา ใจของเราเป็นยังไง สะอาดบริสุทธิ์ ใจของเราดับความเกิดได้แล้วหรือยัง
แนวทางนั้นพระพุทธเจ้าท่านค้นพบออกมาเปิดเผยเสียตั้งนานตั้งสองสามพันกว่าปีแล้ว เพียงแค่การเกิดของใจในอัตตามันเกิด ยังคลายขันธ์ห้าไม่ได้ แยกรูปแยกนามไม่ได้ คําว่าแยกรูปแยกนามมันเป็นอย่างไร มีเชือกอยู่เส้นเดียวมีกี่เกลียว ฉีกออกให้รู้ออกเป็นเกลียวๆ อยู่ในเชือกเส้นเดียว กายของเราก็มีอยู่ห้ากองห้าขันธ์เหมือนกัน เรามาเจริญสติเข้าไปสํารวจเข้าไปแยก อบรมใจ แล้วก็ละ อะไรควรละ อะไรควรเจริญ เดี๋ยวค่อยดำเนินไปเรื่อยๆ จนกว่าไม่มีอะไรที่จะละ จนกว่าใจของเราสะอาดบริสุทธิ์
ง่ายอยู่ แต่การลงมือต้องเป็นบุคคลที่มีความเพียรมีศรัทธา มีความเพียรแล้วก็ศรัทธา แล้วเกิดจากการเจริญภาวนา การเกิดจากการเจริญสติที่ถูกต้องอีกด้วย ไม่ใช่ว่าศรัทธาแบบหลงงมงาย ใครว่าอย่างไรว่าตาม เราต้องปฏิบัติให้มีให้เห็นให้เกิด หมดความสงสัยในตัวของเรา ความขยันเต็มที่หรือเปล่า ความเสียสละเต็มที่หรือเปล่า
มาอยู่วัดก็ต้องขยัน ไม่ใช่จะแบกตั้งแต่ความลําบากใจมาให้กับทางวัดทางพระ หนีออกมาอยู่ป่าช้าเราก็ตามกันมาอีก ป่าช้าก็กายของเรานี่แหละ พยายามดูให้ถึงให้ทั่ว ถ้าไม่ได้ฝึกฝนตัวเราแล้วก็มันก็ยาก ขณะฝึกฝนมันก็ยังยากลําบากอยู่ ยิ่งคนหมู่มากต่างคนต่างก็ไม่เป็นระเบียบยิ่งเละเทะ ให้เป็นบุคคลที่มีความเป็นระเบียบเรียบร้อยในตัว จัดความเป็นระเบียบทั้งกาย ทั้งวาจาทั้งใจ ทั้งความคิดอารมณ์ก็จะเป็นระเบียบทั้งภายนอกทั้งภายใน ขนาดจัดมา 20-30 สิบปี ถ้าไม่ช่วยกันแล้วใครจะช่วย ก็พวกเรานั่นแหละช่วยกัน
บางทีก็ทิ้งมันไปทั่ว ไปโทษใครก็โทษหลวงพ่อนี่แหละ ถ้าหลวงพ่อไม่มาสร้างวัดมันก็ไม่ได้มาอย่างนี้หรอก ถ้าไม่ได้มาอยู่มาสร้างวัด มาทำ ก็ไม่ได้มาเยอะถึงขนาดนี้ ก็แสดงว่ามีวิบากกรรมร่วมกัน เกิดมา มารับใช้ มาทำให้ มารับใช้ให้มันจบๆ จะได้ไม่ต้องกลับมาเกิดอีก เทวดาไม่สงสารหรือไงก็ไม่รู้ เทวดาสงสารถึงได้มาช่วยกัน สมัยก่อนนี้แม้แต่กับข้าวกับถ้วยชามนี่ยังเก็บตามหลุมศพมาใส่กิน น้ำปานะนี่ก็เอาเก็บใบส้มป่อยแล้วมาต้ม
ทุกวันนี้มันล้นมันเหลือให้รู้จักประหยัดมัธยัสถ์ แบ่งกินแบ่งใช้ แบ่งเก็บแบ่งทาน ถ้าไม่ทานออกไปนี่เยอะกว่านี้อีก เยอะกว่านี้อีก ทานทั้งทุกอย่างเท่าที่มีโอกาส เงินทองมีเยอะก็ทานให้เยอะ ปีนี้ทานไปตั้งหลายล้าน 4–5 ล้าน และพวกสิ่งของต่างๆ เราก็พยายามใช้ให้เกิดประโยชน์ ประหยัดมัธยัสถ์ ทั้งของเก่าทั้งของใหม่ ทั้งการใช้ฟืนใช้ไฟใช้น้ำ ให้เป็นระเบียบ แต่ก่อนไม่มี เราก็ขวนขวายให้ทำให้มี ลําบากถึงขนาดไหนก็ต้องทำให้มี
ตั้งใจรับพรกัน
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้ สัมผัสทางลมหายใจของเราให้ชัดเจนแล้วก็ให้ต่อเนื่องแล้วก็ให้เชื่อมโยง ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียก นั่งตามสบาย ไม่ต้องพนมมือ วางกายให้สบาย วางใจให้สบาย ลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ เพียงแค่เรื่องการหายใจเข้าออกอานาปานสติพวกเราก็ไม่สนใจกันเลย ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมาถึงเรายังรู้ไม่ทัน ก็ขอให้รู้ขณะที่กําลังนั่งฟังอยู่นี่แหละ
ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ เราสูดลมหายใจยาว กายของเราก็สบายขึ้นเยอะ สัมผัสของลมหายใจก็จะชัดเจน ความรู้สึกที่เวลาลมวิ่งเข้ากระทบปลายจมูก นั่นแหละหลักธรรมท่านเรียกว่า ‘สติรู้กาย’ ส่วนหนึ่งก็คือรู้ลมหายใจเข้าออกเขาเรียกว่า ‘รู้กาย’ ถ้าเรารู้ให้ต่อเนื่อง เขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’
เราพยายามสร้างให้เกิดความเคยชินให้ต่อเนื่อง แล้วก็เอาไปใช้ เอาไปวิเคราะห์ใจ เอาไปอบรมใจ ไปทำความเข้าใจกับวิญญาณในกายของเรา ว่าทำไม หรือว่าวิญญาณหรือว่ากายบางคนบางท่านก็เรียกใจ บางคนบางท่านก็เรียกวิญญาณ วิญญาณในกายของเรา ทำไมถึงเกิด ทำไมถึงหลง ทำไมถึงเป็นทาสของกิเลส อะไรคือส่วนรูปธรรมอะไรคือส่วนนามธรรม เอาไว้ทีหลังเถอะ
มาเจริญสติให้ได้ทุกอิริยาบถให้ได้เสียก่อน ไม่ต้องไปคิดเอา ไปเออไปเองเอาว่าจะเป็นอย่างนั้นว่าเป็นอย่างนี้ ใหม่ๆ ก็อาจจะเป็นการฝืน เพราะความเคยชินเก่า ความคิดเก่า ปัญญาเก่ามันปิดกั้นตัวเขาเอาไว้หมด เพียงแค่การเกิดของความคิด เขาก็หลงแล้ว ศรัทธาวิริยะความเพียร บารมีส่วนอื่นนั้นมีกันอยู่ จากการเจริญสติให้ต่อเนื่องเชื่อมโยงมีบ้างเป็นบางครั้งบางคราว นาทีหนึ่ง 2 นาที 3 นาที 5 นาที 10 นาที ชั่วโมงหนึ่ง ไอ้ความคิดเก่ากับความรู้ตัวใหม่ตัวไหนมันจะเยอะกว่ากัน
เราต้องมาสร้างความรู้ตัว จนกว่าจะแยกได้คลายได้ อบรมใจได้ จนกว่าใจของเราจะอยู่ในโอวาทของสติปัญญาของเราได้ ชี้เหตุชี้ผล เห็นเหตุเห็นผล มีอยู่ในกายของเราหมด เพียงแค่แต่ว่าพวกเราจะทำหรือเปล่าเท่านั้นเอง กายวิเวกเป็นอย่างนี้ การเจริญสติเป็นอย่างนี้ ความคิดหยาบความคิดละเอียดเป็นอย่างนี้ ที่ท่านว่ามลทินนิวรณธรรมต่างๆ การเกิดของใจของเราเป็นอย่างนี้ มันจะมีหมด เว้นเสียแต่ว่าพวกเราจะรู้จะเห็นหรือเปล่าเท่านั้น ก็ต้องพยายามนะ
ล้มแล้วลุกขึ้นใหม่ แก้ไขใหม่ ปรับปรุงตัวใหม่ โทษตัวเอง แก้ไขตัวเอง ปรับปรุงตัวเอง อย่าไปเที่ยวโทษคนโน้นเที่ยวโทษคนนี้ ธรรมะจะอยู่ที่โน่นที่นี่ก็ตัวใจของเรานั่นแหละ เราขัดเกลากิเลสออกคลายความหลงได้ ดับความเกิดได้ เขาก็สะอาด เขาก็บริสุทธิ์ มองเห็นหนทางเดิน
สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสทางลมหายใจให้ชัดเจนให้ต่อเนื่องเชื่อมโยงกันสักนาทีก็ยังดี ดีกว่าไม่ได้ทำ
พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปสร้างสานต่อเอานะ