หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 4

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 4
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ผู้บรรยาย
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 4
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 4
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 6 มกราคม 2558

มีความสุขกันทุกคน เช้านี้อากาศก็เย็น เย็นมาหลายวัน ปีนี้รู้สึกว่าอากาศเย็นยาวนานพอสมควร ปีหน้าฝนฟ้าคงจะดี อากาศก็เย็นๆ ญาติโยมก็พากันมาทำบุญ ดีไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนในประเทศไทยของเราพากันฝักใฝ่ในการทำบุญในการให้ทาน สร้างสะสมอานิสงส์บุญบารมีให้กับตัวเอง

แต่การเดินปัญญา การสังเกตการวิเคราะห์ก็ขึ้นอยู่กับตัวของเรา วิเคราะห์ใจของเราให้เห็น บางคนบางท่านก็ควบคุมใจได้แต่ยังแยกใจกับอาการของใจยังไม่ได้ ก็ต้องพยายามหัดสังเกตหัดวิเคราะห์ไปเรื่อยๆ สักวันหนึ่งก็คงจะเห็น ทุกอิริยาบถ ยืนเดินนั่งนอน กินอยู่ขับถ่าย

ดูดีๆนะ พระบวชใหม่ ทั้งพระใหม่พระเก่าต้องเป็นผู้ใหม่ตลอดเวลาคือใจต้องตื่น รับรู้ เรียกว่าจะเป็นผู้ใหม่ ยิ่งบวชนานเท่าไรอัตตามันก็ยิ่งเยอะนะก็ยิ่งแย่นะ ยิ่งบวชนานเท่าไรพยายามละอัตตา ละทิฏฐิ ละมานะ ละความเกิดของใจออก ให้เป็นผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบาน ไม่ว่าบวชนานเท่าไรอัตตามันก็ยิ่งใหญ่ ใหญ่และหนักตัวเองแล้วก็ไปหนักคนอื่น แล้วก็ไปอคติคนโน้นอคติคนนี้ ว่าคนโน้นว่าคนนี้ กิเลสมันเล่นงาน

ตัวเราไม่รู้จัก คนอื่นก็เรื่องของคนอื่น เรามาจัดการกับใจของเราให้สงบ ให้สะอาด ให้บริสุทธิ์ เรื่องของคนอื่นเขาไม่จัดการตัวเขาก็ช่วยเหลือไม่ได้ ไม่มีใครที่จะหายใจแทนกันได้เลย ไม่มีใครที่จะรับประทานข้าวปลาอาหารแทนกันได้เลย แต่การอนุเคราะห์การสงเคราะห์ในระดับของสมมตินั้นมีอยู่ แต่การที่จะขัดเกลากิเลสของตัวเรานั้นก็ขึ้นอยู่กับตัวของตัวเอง ตามแนวทางของพระพุทธองค์ว่าท่านสอนเรื่องอะไร การเจริญสติเป็นยังไงกับวิธีละกิเลสเป็นอย่างไร

กิเลสหยาบกิเลสละเอียดมันไม่ได้เลือกกาลเลือกเวลาหรอก ขณะที่จะขบจะฉันใจมันก็สั่งว่าจะเอาอันโน้นเอาอันนี้ ยังมาไม่ถึงมันไปจองไว้ก่อนเลย นั่นแหละกิเลสมันเล่นงานเอา ใจยังไม่สงบ กายของเราต้องการอันโน้นกายของเราต้องการอันนี้มันเป็นตัวสั่ง เราก็รีบดับรีบหยุดแล้วก็พิจารณา ถ้าจะเอาก็เอาด้วยปัญญา อย่าเอาด้วยความอยากที่เกิดจากใจเกิดจากกิเลส

ยิ่งฝึกใหม่ๆ ยิ่งเห็นเยอะ เพียงแค่การเจริญสติให้ต่อเนื่องก็ทั้งยากลําบาก เพียงแค่ควบคุมใจก็ยังยากลําบาก กว่าจะสังเกตจนกว่าใจจะคลายออกจากอาการของใจอีกก็ยิ่งยากเข้าไปอีก แต่มันก็ไม่เหลือวิสัย ต้องเป็นบุคคลที่มีความเพียร หมั่นสังเกตหมั่นวิเคราะห์หมั่นขัดเกลา ชนะตัวเราแล้วก็ชนะได้ทุกอย่าง

ของดีอยู่ในกายของเรานี้มีเยอะแยะ กายของเรานี่แหละสนามรบ เจริญสติเข้าไปดูแลอบรมใจ ถึงแยกแยะไม่ได้ก็ให้อยู่ในคุณงามความดีให้ถูกต้องอยู่ในระดับของสมมติ ก็ต้องพยายามนะทุกคนนั่นแหละ บุคคลที่มีสติมีปัญญาฟังนิดเดียว กายวิเวกเป็นอย่างนี้ ใจวิเวกเป็นอย่างนี้ ใจเกิดเป็นอย่างนี้ อาการของใจเป็นอย่างนี้ อันนี้เป็นส่วนรูปอันนี้เป็นส่วนนาม ลักษณะของสติรู้ตัวอยู่ปัจจุบันเป็นลักษณะอย่างนี้ มันจะแยกแยะออกเป็นชิ้นเป็นอันของเขาอยู่ แต่เขาก็รวมกันอยู่

ถ้าฝึกหัดปฏิบัติธรรมถ้าไม่รู้จักใจแล้วก็รู้อยู่ แต่ไม่ดับ ไม่หยุดไม่ยั้ง ไม่ระงับยับยั้ง ไม่วิเคราะห์ ไม่แยกไม่คลายก็เดินปัญญาขั้นสูงไม่ได้ ก็เพียงแค่อยู่ในกองบุญของกุศลของสมมติควบคุมใจได้เป็นบางครั้ง เราต้องพยายามดูแลใจของเราให้หมดจดตั้งแต่ตื่นขึ้นมา สมมติเราก็ทำหน้าที่ของเราให้ดีว่าเรายังอาศัยสมมติอยู่ ที่พักที่อาศัยที่หลับที่นอน เราก็ต้องดูแลจัดให้เป็นระเบียบ

ช่วงปีใหม่ที่ผ่านมาก็มีคนมาฝึกหัดปฏิบัติธรรมกันเยอะอยู่ เอากลดเอาเต็นท์ไปกางแล้วก็ไม่รู้จักดูแลรักษา ทิ้งไว้ทั่ว เพียงแค่ที่พักที่หลับที่นอนของตัวเรา ทางวัดมีให้อนุเคราะห์ให้ ก็ไม่รู้จักดูแลรักษามันขาดทิ้งไปทั่ว แค่นั้นก็รับผิดชอบไม่ได้มันจะไปเข้าใจในธรรมขั้นสูงได้ยังไง ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชีก็เหมือนกันหมดนั่นแหละ ความเสียสละ ความเป็นระเบียบ ความรับผิดชอบต่อส่วนตัวแล้วก็ต่อส่วนรวม ความรับผิดชอบแค่มีให้เอาไปใช้ก็ยังไม่รู้จักเก็บยังไม่รู้จักรักษา มันก็เลยจะเอาตั้งแต่จะธรรม มันก็เอาธรรมลงๆ หนักตัวเองหนักท่านเจ้าคุณต้องไปตามเก็บตามเย็บนี่แหละ เพียงแค่เล็กๆ น้อยๆ ก็พึ่งตัวเองไม่ได้ ก็ช่วยเหลือไม่ได้ จะเอาตั้งแต่จะธรรมมันก็เลยห่างไกลธรรมทั้งที่ปฏิบัติธรรม

เราพยายามช่วยเหลือตัวเราให้ได้ เราจะล้นออกไปช่วยเหลือ ล้นออกไปสู่หมู่สู่คณะ สู่สังคม จากน้อยๆ เพียงแค่เล็กๆ น้อยๆ ก็ยังหาความรับผิดชอบไม่ได้จะไปรับผิดชอบงานใหญ่ๆ ได้ยังไง ใจตัวเองก็ยังไม่รู้จักรักษา กาย วาจาก็ยังไม่รู้จักรักษา มันก็ยากเข้าไปอีก เพียงแค่รักษาเพียงแค่ชี้เหตุชี้ผลมันก็ยาก แต่อยากได้ธรรมมันก็เลยได้อยู่ ได้บุญอยู่ระดับของสมมติ เราต้องให้รอบรู้ให้หมดทุกอย่างในกายของเราจากหยาบไปหาละเอียด ตัวละเอียดตัวมลทิน มองเห็นคนอื่นสูงมองเห็นเราต่ำหรืออคติหรือเพ่งโทษ เราต้องกําจัดออกให้หมด ของเราทั้งนั้นแหละไม่ใช่ของคนอื่น ของคนอื่นก็ส่วนของคนอื่น

สติของเราพลั้งเผลอได้อย่างไร นิวรณ์เข้าครอบงำได้อย่างไร ใจของเราเกิดมลทินได้อย่างไร ใจของเราเกิดความฟุ้งซ่านได้อย่างไร หรือว่าเกิดความลังเลสงสัยในคําสอนของพระพุทธองค์ เราก็พยายามใช้สมถะเข้าไปดับ ชี้เหตุชี้ผล เห็นความเกิดจนละความสงสัยละความลังเลได้ มองเห็นหนทางเดินได้ เราจะกําจัดกิเลสได้หมดหรือเปล่า กําลังสติปัญญาของเรามีเพียงพอหรือไม่ที่จะเอาไปประหัตประหารกิเลสได้

เราจะอยู่กับสมมติอย่างไรอยู่กับสังคมอย่างไร ที่ท่านบอกว่ารอบรู้ในกองสังขาร รอบรู้ในโลกธรรม รอบรู้ในชีวิตของตัวเราเอง ก็ต้องพยายามเอาได้บ้างไม่ได้บ้าง ก็พยายาม ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่ แก้ไขใหม่ สักวันหนึ่งก็คงจะเดินถึงจุดหมายปลายทางกัน ไม่ถึงในชีวิตนี้ก็สิ่งพวกนี้จะไปต่อเอาภพหน้า เพราะว่าตราบใดที่ใจยังเกิดอยู่ มองเห็นหนทางเดินว่าอะไรเป็นอะไรรีบแก้ไขเสียขณะยังมีลมหายใจ

เปลี่ยนจากสมมติให้เป็นวิมุตติ อะไรคือสมมติอะไรคือวิมุตติ สมมติกับวิมุตติก็อยู่ร่วมกันนั่นแหละ ใจกับกายก็อยู่ร่วมกัน แต่เรามาพลิกมาหงายมาแยกแยะด้วยสติด้วยปัญญา ทำความเข้าใจ มองเห็นหนทางเดิน รีบแก้ไขตัวเราทันที ก็ต้องพยายาม ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี มีไม่มากมีอยู่ในกายของเรานี่แหละสนามรบดีที่สุด ตั้งแต่ตื่นขึ้นมารีบแก้ไข

สร้างความระลึกรับรู้การหายใจเข้าออกให้ชัดเจนให้ต่อเนื่องเชื่อมโยงกันสักนิดหนึ่งก็ยังดี ดีกว่าไม่ได้ทำ

พากันไปพร้อมๆ กัน ค่อยไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันนะ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง