หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2560 ลำดับที่ 88 วันที่ 18 พฤศจิกายน 2560

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2560 ลำดับที่ 88 วันที่ 18 พฤศจิกายน 2560
พระธรรมเทศนา พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ผู้บรรยาย
พระธรรมเทศนา พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2560 ลำดับที่ 88 วันที่ 18 พฤศจิกายน 2560
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2560
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2560 ลำดับที่ 88
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 18 พฤศจิกายน 2560

ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสทั้งลมหายใจของตัวเราเองให้ต่อเนื่อง ให้เชื่อมโยงกันสักนิดหนึ่ง นั่งอดทนอดกลั้น สร้างตบะสร้างความเพียรสักพักสักระยะ นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย แล้วก็วางใจให้สบาย ฟังไปด้วย น้อมสำเหนียกไปด้วย ไม่ต้องพนมมือก็ได้ ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกไปยาวๆ การสูดลมหายใจยาว ผ่อนลมหายใจยาว ในกายของเราก็จะสบายขึ้น ความรู้สึกสัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราก็ชัดเจน เราพยายามสร้างความรู้ตัว ตรงนี้แหละที่ท่านเรียกว่าสติรู้กาย รู้ขณะลมหายใจเข้า ก็มีความรู้สึกรับรู้อยู่ ขณะลมหายใจออก ก็มีความรู้สึกรับรู้อยู่ เขาเรียกว่ารู้กาย อยู่ปัจจุบัน ทุกขณะลมหายใจเข้าออก

ความรู้สึกพลั้งเผลอเราก็เริ่มใหม่ ความรู้สึกพลั้งเผลอเราก็เริ่มใหม่ จากหนึ่งครั้ง สองครั้ง สามครั้ง กลายเป็น 1 นาที 2 นาที 3 นาที กลายเป็น 5 นาที กลายเป็น 10 นาที กลายเป็นชั่วโมง ถ้าความรู้ตัวของเราต่อเนื่อง เราก็จะเห็นการเกิดของใจ การเกิดของวิญญาณในกายของเรา บางคนก็เรียกว่าใจ บางคนก็เรียกว่าวิญญาณ ก็จะเห็นเป็นสองส่วน

ความรู้ตัวที่เราสร้างขึ้นมานี้ส่วนหนึ่ง เรียกว่าส่วนสติปัญญา ส่วนมากจะพลั้งเผลอ ถ้าใจยังไม่คลายออกจากขันธ์ห้า แยกรูปแยกนามไม่ได้ ส่วนมากก็จะพลั้งเผลอ พลั้งเผลอเราก็เริ่มใหม่ พลั้งเผลอเราก็เริ่มใหม่ ตัวใจเขาก็ไม่ยอมเหมือนกัน เพราะว่าเขาเกิดมานาน เขาหลงขันธ์ห้ามานาน เขาหลงเกิดมานาน นอกจากกําลังสติปัญญาของเราจะเข้มแข็ง รู้ไม่ทันต้นเหตุดับเอาไว้ รู้ไม่ทันต้นเหตุก็หยุดเอาไว้ ท่านถึงเรียกว่า เป็นการฝืน เป็นการทวนกระแส ถ้าความรู้ตัวของเราเร็วไวขึ้น ต่อเนื่องขึ้น สักวันหนึ่งเราก็จะเห็นความคิดที่เราไม่ตั้งใจคิด หรือว่าอาการของขันธ์ห้า ซึ่งเป็นส่วนนามธรรม เขาผุดขึ้นมา ใจเคลื่อนเข้าไปรวม ถ้าเราเห็นตรงนั้นปุ๊บ ใจจะดีดออกจากความคิด ออกจากขันธ์ห้า เหมือนกับขโมยที่จะเข้าบ้าน ถ้าเจ้าของบ้านรู้ทัน เขาจะรีบกระโจนหนีทันที ใจก็เหมือนกัน ถ้าเรามีความรู้เห็นขณะเขาเกิดเคลื่อนเข้าไปรวม ตรงเคลื่อนเข้าไปรวมนี้แหละ เร็วไวมากทีเดียว ถ้ารู้ทันตรงนั้นปุ๊บ ใจก็จะดีดออกจากความคิด หงายขึ้นมา ใจก็จะว่าง กายก็จะเบา

เราก็จะเห็นชัดเจน เห็นความว่าง รู้ความว่างชัดเจน รู้อาการของความคิดชัดเจน คือความรู้ตัวก็รู้ ตามดู ตามเห็น การเกิด การดับ ที่ท่านเรียกว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ในขันธ์ห้า เขาเกิดขึ้น เขาตั้งอยู่ เวลาเขาดับไป อนัตตา ความว่างเปล่าก็เข้ามาปรากฏ ตามดู รู้ ทุกเรื่อง ใจเรามองเห็นความเป็นจริง เขาก็จะคลายจากความยึดมั่นถือมั่น เราก็จะเข้าใจคําสอนของพระพุทธองค์ คําว่าอัตตาเป็นลักษณะอย่างนี้ อนัตตาเป็นลักษณะอย่างนี้ วิมุตติกับสมมติ เขาก็อยู่ร่วมกัน วิญญาณก็อยู่ในกายของเรา

ท่านถึงเปรียบร่างกายของเรานี้ เปรียบเสมือนกับเชือก มีอยู่ 5 เกลียว เราต้องรู้ว่าเกลียวไหนเป็นเกลียวไหน ในกายของเราก็เหมือนกัน ที่ท่านว่าเป็นกอง เป็นขันธ์ กองวิญญาณ กองสังขาร กองรูป กองนาม มีอยู่ในกายของเราหมด ท่านถึงให้เจริญสติเข้าไปค้นคว้า รู้ไม่ทัน ก็รู้จักดับ รู้จักหยุด รู้จักสร้างตบะบารมี รู้จักการขัดเกลากิเลส

ใจของคนเรานี่บริสุทธิ์มาแต่เดิม ความไม่เข้าใจ ความไม่รู้ ความหลง ความเกิดนั่นแหละเป็นกิเลสอันละเอียดที่สุด แล้วก็มาเป็นทาสของกิเลสอีก กิเลสหยาบ กิเลสละเอียด ความทะเยอทะยานอยาก ทั้งความอยาก ทั้งความไม่อยาก ทั้งมีความยินดียินร้าย สารพัดเรื่อง มาสร้างขันธ์ห้าปิดกั้นตัวเอง เป็นทาสกิเลสต่อ แล้วก็เกิดต่อ ไม่จบไม่สิ้น

นอกจากปัญญาของพระพุทธองค์เท่านั้นแหละ ที่ค้นพบแล้วก็มาเปิดเผย มาจําแนกแจกแจง มาประกาศให้สัตว์โลกได้รู้ได้เห็นว่าเป็นอย่างนี้ๆ แล้วก็มองเห็นหนทางเดินว่าเราจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิดกัน ตราบใดที่จะยังเกิดก็ขอให้เกิดอยู่ในกองบุญกองกุศลเอาไว้ เป็นเข้าพกเข้าห่อติดตามตัวเราไป

การเจริญสติปัญญาก็เหมือนกัน ถ้าเราเจริญสติปัญญาแต่ไม่รู้จักเอาสติปัญญาไปใช้ ไปแก้ไขใจ ไปอบรมใจของเรา ก็ได้แค่การเจริญสติ การควบคุม ยังเห็นต้นเหตุการเกิดการดับ การแยกการคลาย การขัดเกลากิเลส กิเลสเบาบางขึ้นไปเรื่อยๆ ท่านถึงว่าเหตุสมมติ วิมุตติ จนกระทั่งถึงโสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล อนาคามิมรรค อนาคามิผล กิเลสเบาบางขึ้นไปเรื่อยๆ จนถึงอรหัตมรรค อรหัตผล มองเห็นหนทางเดิน ว่าเราจะได้กลับมาเกิดหรือไม่ได้กลับมาเกิดกัน ดับความเกิดขณะที่ยังอยู่ในกายของเรานี่แหละ ก็ต้องพยายามกันนะ

สร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่อง ให้ชัดเจนกันสักนิดหนึ่งก็ยังดี ดีกว่าไม่ได้ทำ ทำใจให้โล่ง สมองให้โปร่ง มีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเรา อยู่หลายคนก็เหมือนกับอยู่คนเดียว อยู่คนเดียวขณะนี้ ก็ให้รู้ว่าลมวิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเรา ให้ชัดเจนกันนะ

พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปสร้างสานต่อ ทำความเข้าใจให้รู้ทุกอิริยาบถ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง