หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2560 ลำดับที่ 53 วันที่ 10 มิถุนายน 2560
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2560 ลำดับที่ 53 วันที่ 10 มิถุนายน 2560
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2560
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2560 ลำดับที่ 53
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 10 มิถุนายน 2560
พาดูดีๆ นะ พระเราชีเรา พิจารณาปฏิสังขาโย ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาพิจารณากายพิจารณาใจ ใช้ปัญญาพิจารณาจนกระทั่งถึงเวลานี้ แล้วก็เดี๋ยวนี้ เราต้องจําแนกแจกแจงความอยากความหิว กายเกิดความหิวใจเกิดความยาก ทั้งอยากทั้งหิว เราต้องเจริญสติเข้าไปดูเข้าไปรู้ ถ้าใจเกิดความอยากก็รู้จักหยุด รู้จักดับ รู้จักควบคุม ควบคุมไม่ได้ก็ไม่ทำตาม ปล่อยให้ดับปล่อยให้เขาจบ แล้วก็เอาอันใหม่ ไม่ใช่ว่าจะไปรอผัดวันประกันพรุ่ง ความคิดตัวก่อนไหนเกิดก่อนก็ดับตัวนั้นแหละ จนกว่าใจจะคลายออกจากขันธ์ห้า คลายออกจากขันธ์ห้าภาษาธรรมเรียกว่า แยกรูปแยกนาม
พลิกจากสมมติไปหาวิมุตติ เหมือนกับหงายของที่คว่ำ ถ้ายังแยกไม่ได้ตามดูไม่ได้ ก็พยายามควบคุม ควบคุมอารมณ์ควบคุมใจของเราโดยใช้สมถะ คือให้สงบอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง สงบอยู่กับลมหายใจ ก็ต้องพยายามฝึกฝนตัวเราให้เกิดความเคยชินให้เกิดความชํานาญ
การเจริญสติ การสร้างสติ ก็เพื่อที่จะเข้าไปคลายความหลง คลายความหลงแล้วก็เพื่อที่จะขัดเกลากิเลส ออกจากใจของเรา ดับความเกิดของใจของเรา หนุนกําลังสติปัญญาไปทำหน้าที่แทน ไปเกิดแทน ความเกิดถ้าไม่หลงก็ไม่เกิด หลงหลายชั้น หลงในขันธ์ห้า หลงในรูป รส กลิ่น เสียง หลงในโลกธรรม หลงในความเกิด หลงดีหลงชั่ว เราก็ต้องพยายามวิเคราะห์พิจารณาความเกิดความดับของใจของเรา ถ้าเจริญสติให้ต่อเนื่องให้เชื่อมโยง เราก็อาจจะเข้าเห็น อาจจะเห็นสักวันหนึ่งจนได้
เพียงแค่การเจริญสติก็ยังทำไม่ต่อเนื่อง ก็เลยเดินปัญญาขั้นสูง การขัดเกลากิเลส การละกิเลส การดับความเกิดไม่ค่อยได้เท่าไร เพราะว่ากําลังสติของเรามีไม่เพียงพอ กําลังสติของเราถ้าแยกได้เห็นได้ตามดูได้ ถ้าทำความเข้าใจให้ถูกต้อง กําลังสติก็จะพุ่งแรงตามดูตามรู้ตามเห็น หมดความสงสัย หมดความลังเลในคําสอนของพระพุทธองค์ ว่าอะไรควรละอะไรควรเจริญอะไรควรดำเนิน เราก็จะมองเห็นหนทาง เข้าใจในคําสอนของพระพุทธองค์ว่าท่านสอนเรื่องอะไร สอนเรื่องคําว่าอัตตาเป็นอย่างไร อนัตตาเป็นอย่างไร ตนเป็นที่พึ่งของตนเป็นลักษณะอย่างไร เพียงแค่ระดับสมมติเราก็พยายามพึ่งตัวเราให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น
ความจริง สัจจะสมมติ สัจจะวิมุตติมีหมด เหตุผลทางสมมติ เหตุผลทางวิมุตติมีหมด สมมติเราก็ทำให้บริบูรณ์ในสิ่งที่เราเข้าไปยุ่งเกี่ยว ให้สมมติของเราไม่ได้ลําบาก รู้จักแก้ไข รู้จักพิจารณา รู้จักหา รู้จักใช้ รู้จักเก็บ ถ้าอาศัยสมมติอยู่จนกว่าจะหมดลมหายใจ สมมติภายนอก สมมติภายใน สมมติภายนอกก็คือโลกธรรม สมมติภายในก็คือตัวกายของเรานี่แหละ เป็นสนามรบอย่างดี แต่ละวันๆ ให้กิเลสมันเข้าครอบครองมันก็เลยลําบาก ต้องให้สติให้ปัญญาชี้เหตุชี้ผล เห็นเหตุเห็นผล อยู่ด้วยปัญญาล้วนๆ อะไรที่เป็นประโยชน์เราก็รีบทำ ทำมากทำน้อยก็มีอานิสงส์ทั้งนั้น
ในการขัดเกลากิเลส อย่าพากันผัดวันประกันพรุ่ง วันโน้นถึงจะทำวันนี้ถึงจะทำ อย่างนั้นยังเป็นบุคคลที่ประมาท ถ้าเราสอนเราไม่ได้ ไม่มีคนไหนที่จะสอนเราได้เลยนอกจากตัวของเรา ธรรมะนั้นมีมาตั้งนาน มีอยู่กับทุกคน ธรรมชาติของใจที่ปราศจากกิเลสก็บริสุทธิ์ ธรรมชาติของใจที่ไม่เกิดเขาก็นิ่ง แต่เวลานี้ทั้งเกิดทั้งวิ่งทั้งหลงสารพัดอย่าง ห่อหุ้มทับถมดวงใจตัวเราอยู่ สมมติมันก็มาทับถมเอาไว้ กิเลสหยาบกิเลสละเอียดก็มาทับถมเอาไว้ มันก็เลยหลายชั้นหลายขั้นหลายตอน
แต่ก็ไม่เหลือวิสัยสำหรับบุคคลที่มีความเพียร สำหรับบุคคลที่ฝักไฝ่สนใจการสร้างบารมี ความเสียสละ ขัดเกลากิเลส มีความจริงใจ มีสัจจะ ขยันหมั่นเพียร สักวันหนึ่งเราก็คงจะเข้าถึง เราก็อาจจะเห็นก็ต้องพยายามกัน ไม่เหลือวิสัย หมั่นพร่ำสอนใจของเราอยู่ตลอดเวลา ถ้าเราสอนเราไม่ได้ ไม่มีใครจะสอนเราได้หรอก นอกจากตัวเรา เราเจริญสติไปสอนหมั่นพร่ำสอนใจของเรา ทุกคนก็มีบุญอยู่ในระดับของสมมติถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์มีบุญระดับหนึ่ง แต่ก็อย่าหลง
เราก็มาเจริญสติลงที่กาย ชี้เหตุชี้ผล เห็นเหตุเห็นผล รู้ไม่ทัน ก็ต้องพยายามหยุด พยายามดับ แต่ละวันๆ ใจของเราเกิดสักกี่เที่ยว ขันธ์ห้าขุดขึ้นมาปรุงแต่งใจของเราสักกี่ครั้ง ปัญญาเราที่เราสร้างขึ้นมารู้เท่าทันหรือไม่ แม้แต่ตัวใจยังหลอกตัวเอง ใจหลอกใจหรือว่าจิตหลอกจิต สติปัญญายังหลอกตัวเราอีก ตราบใดที่ใจยังคลาย ยังแยกรูปแยกนามเดินปัญญาขัดเกลากิเลสละกิเลสไม่หมดจด มันก็เล่นงานเราอยู่อย่างนั้นแหละ
แม้แต่เรื่องการทำคุณงามความดีก็เป็นกิเลสฝ่ายดี เราก็พยายามให้อยู่ในคุณงามความดี ก็ยังดีกว่าจะไปตกทุกข์ ในทางอกุศลเราพยายามละอกุศล เจริญกุศล สูงขึ้นไปก็ละวางทั้งบุญทั้งบาป จะสร้างบุญอยู่กับบุญแต่ไม่ยึดติดในบุญ เราก็จะอยู่กับบุญตัวใจของเรานั่นแหละ ความสุขนั่นแหละคือตัวบุญ ใจที่ไม่มีกิเลส ใจที่สะอาด ใจที่บริสุทธิ์ นั่นแหละคือบุญ ถึงเราละกิเลสไม่ได้หมดจด ก็พยายามสร้างอานิสงส์สร้างตบะบารมีของเราไป สักวันหนึ่งก็คงจะเต็ม
ความตายไม่ได้เลือกกาลเลือกเวลา พวกเราจงเป็นบุคคลที่เตรียมพร้อม อะไรควรละ อะไรควรเจริญ อะไรควรดำเนิน มองเห็นความตายเป็นของธรรมดาเหมือนกับถอดเสื้อผ้า จิตวิญญาณก็ไปต่อ ถ้าสร้างบุญมาดีก็ไปใส่เสื้อผ้าดีๆ ถ้าสร้างบุญไม่ดีก็ใส่เสื้อผ้าไม่ดี เพราะว่าตราบใดที่ใจยังเกิดยังวนเวียนว่ายตายเกิดอยู่ เราก็พยายามหมั่นสร้างคุณงามความดีจนกว่าใจของเราจะดับความเกิดได้ คลายความหลงดับความเกิด มองเห็นหนทางเดินว่าเราจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิดกัน
อะไรที่จะเป็นบุญเราก็รีบทำ อะไรที่จะเป็นประโยชน์เราก็รีบทำ วันนี้มีพรุ่งนี้มี พ่อแม่มีพี่น้องมี โลกนี้มีโลกหน้ามี เราทำโลกปัจจุบัน คือสํารวจใจของเราให้ดีอยู่ปัจจุบัน จนมองเห็นความเป็นจริงภายในคือปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่นภายใน แล้วก็วางข้างนอกได้โดยปริยาย เรามาขัดเกลาตัวเราอยู่ตลอดเวลา สักวันหนึ่งเราคงจะถึงจุดหมายปลายทางกัน ไม่ถึงช้าก็ต้องถึงเร็ว ไม่ถึงวันนี้ พรุ่งนี้ เดือนนี้ เดือนหน้า ปีหน้าไม่ถึงจริงๆ สิ่งที่พวกเราทำจะไปต่อเอาภพหน้า
สร้างความรู้ตัวให้ชัดเจน ให้ต่อเนื่องกันสักนิดหนึ่งก็ยังดี ดีความไม่ได้ทำนะ
พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พยายามทำให้ได้ทุกอิริยาบถ
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 10 มิถุนายน 2560
พาดูดีๆ นะ พระเราชีเรา พิจารณาปฏิสังขาโย ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาพิจารณากายพิจารณาใจ ใช้ปัญญาพิจารณาจนกระทั่งถึงเวลานี้ แล้วก็เดี๋ยวนี้ เราต้องจําแนกแจกแจงความอยากความหิว กายเกิดความหิวใจเกิดความยาก ทั้งอยากทั้งหิว เราต้องเจริญสติเข้าไปดูเข้าไปรู้ ถ้าใจเกิดความอยากก็รู้จักหยุด รู้จักดับ รู้จักควบคุม ควบคุมไม่ได้ก็ไม่ทำตาม ปล่อยให้ดับปล่อยให้เขาจบ แล้วก็เอาอันใหม่ ไม่ใช่ว่าจะไปรอผัดวันประกันพรุ่ง ความคิดตัวก่อนไหนเกิดก่อนก็ดับตัวนั้นแหละ จนกว่าใจจะคลายออกจากขันธ์ห้า คลายออกจากขันธ์ห้าภาษาธรรมเรียกว่า แยกรูปแยกนาม
พลิกจากสมมติไปหาวิมุตติ เหมือนกับหงายของที่คว่ำ ถ้ายังแยกไม่ได้ตามดูไม่ได้ ก็พยายามควบคุม ควบคุมอารมณ์ควบคุมใจของเราโดยใช้สมถะ คือให้สงบอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง สงบอยู่กับลมหายใจ ก็ต้องพยายามฝึกฝนตัวเราให้เกิดความเคยชินให้เกิดความชํานาญ
การเจริญสติ การสร้างสติ ก็เพื่อที่จะเข้าไปคลายความหลง คลายความหลงแล้วก็เพื่อที่จะขัดเกลากิเลส ออกจากใจของเรา ดับความเกิดของใจของเรา หนุนกําลังสติปัญญาไปทำหน้าที่แทน ไปเกิดแทน ความเกิดถ้าไม่หลงก็ไม่เกิด หลงหลายชั้น หลงในขันธ์ห้า หลงในรูป รส กลิ่น เสียง หลงในโลกธรรม หลงในความเกิด หลงดีหลงชั่ว เราก็ต้องพยายามวิเคราะห์พิจารณาความเกิดความดับของใจของเรา ถ้าเจริญสติให้ต่อเนื่องให้เชื่อมโยง เราก็อาจจะเข้าเห็น อาจจะเห็นสักวันหนึ่งจนได้
เพียงแค่การเจริญสติก็ยังทำไม่ต่อเนื่อง ก็เลยเดินปัญญาขั้นสูง การขัดเกลากิเลส การละกิเลส การดับความเกิดไม่ค่อยได้เท่าไร เพราะว่ากําลังสติของเรามีไม่เพียงพอ กําลังสติของเราถ้าแยกได้เห็นได้ตามดูได้ ถ้าทำความเข้าใจให้ถูกต้อง กําลังสติก็จะพุ่งแรงตามดูตามรู้ตามเห็น หมดความสงสัย หมดความลังเลในคําสอนของพระพุทธองค์ ว่าอะไรควรละอะไรควรเจริญอะไรควรดำเนิน เราก็จะมองเห็นหนทาง เข้าใจในคําสอนของพระพุทธองค์ว่าท่านสอนเรื่องอะไร สอนเรื่องคําว่าอัตตาเป็นอย่างไร อนัตตาเป็นอย่างไร ตนเป็นที่พึ่งของตนเป็นลักษณะอย่างไร เพียงแค่ระดับสมมติเราก็พยายามพึ่งตัวเราให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น
ความจริง สัจจะสมมติ สัจจะวิมุตติมีหมด เหตุผลทางสมมติ เหตุผลทางวิมุตติมีหมด สมมติเราก็ทำให้บริบูรณ์ในสิ่งที่เราเข้าไปยุ่งเกี่ยว ให้สมมติของเราไม่ได้ลําบาก รู้จักแก้ไข รู้จักพิจารณา รู้จักหา รู้จักใช้ รู้จักเก็บ ถ้าอาศัยสมมติอยู่จนกว่าจะหมดลมหายใจ สมมติภายนอก สมมติภายใน สมมติภายนอกก็คือโลกธรรม สมมติภายในก็คือตัวกายของเรานี่แหละ เป็นสนามรบอย่างดี แต่ละวันๆ ให้กิเลสมันเข้าครอบครองมันก็เลยลําบาก ต้องให้สติให้ปัญญาชี้เหตุชี้ผล เห็นเหตุเห็นผล อยู่ด้วยปัญญาล้วนๆ อะไรที่เป็นประโยชน์เราก็รีบทำ ทำมากทำน้อยก็มีอานิสงส์ทั้งนั้น
ในการขัดเกลากิเลส อย่าพากันผัดวันประกันพรุ่ง วันโน้นถึงจะทำวันนี้ถึงจะทำ อย่างนั้นยังเป็นบุคคลที่ประมาท ถ้าเราสอนเราไม่ได้ ไม่มีคนไหนที่จะสอนเราได้เลยนอกจากตัวของเรา ธรรมะนั้นมีมาตั้งนาน มีอยู่กับทุกคน ธรรมชาติของใจที่ปราศจากกิเลสก็บริสุทธิ์ ธรรมชาติของใจที่ไม่เกิดเขาก็นิ่ง แต่เวลานี้ทั้งเกิดทั้งวิ่งทั้งหลงสารพัดอย่าง ห่อหุ้มทับถมดวงใจตัวเราอยู่ สมมติมันก็มาทับถมเอาไว้ กิเลสหยาบกิเลสละเอียดก็มาทับถมเอาไว้ มันก็เลยหลายชั้นหลายขั้นหลายตอน
แต่ก็ไม่เหลือวิสัยสำหรับบุคคลที่มีความเพียร สำหรับบุคคลที่ฝักไฝ่สนใจการสร้างบารมี ความเสียสละ ขัดเกลากิเลส มีความจริงใจ มีสัจจะ ขยันหมั่นเพียร สักวันหนึ่งเราก็คงจะเข้าถึง เราก็อาจจะเห็นก็ต้องพยายามกัน ไม่เหลือวิสัย หมั่นพร่ำสอนใจของเราอยู่ตลอดเวลา ถ้าเราสอนเราไม่ได้ ไม่มีใครจะสอนเราได้หรอก นอกจากตัวเรา เราเจริญสติไปสอนหมั่นพร่ำสอนใจของเรา ทุกคนก็มีบุญอยู่ในระดับของสมมติถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์มีบุญระดับหนึ่ง แต่ก็อย่าหลง
เราก็มาเจริญสติลงที่กาย ชี้เหตุชี้ผล เห็นเหตุเห็นผล รู้ไม่ทัน ก็ต้องพยายามหยุด พยายามดับ แต่ละวันๆ ใจของเราเกิดสักกี่เที่ยว ขันธ์ห้าขุดขึ้นมาปรุงแต่งใจของเราสักกี่ครั้ง ปัญญาเราที่เราสร้างขึ้นมารู้เท่าทันหรือไม่ แม้แต่ตัวใจยังหลอกตัวเอง ใจหลอกใจหรือว่าจิตหลอกจิต สติปัญญายังหลอกตัวเราอีก ตราบใดที่ใจยังคลาย ยังแยกรูปแยกนามเดินปัญญาขัดเกลากิเลสละกิเลสไม่หมดจด มันก็เล่นงานเราอยู่อย่างนั้นแหละ
แม้แต่เรื่องการทำคุณงามความดีก็เป็นกิเลสฝ่ายดี เราก็พยายามให้อยู่ในคุณงามความดี ก็ยังดีกว่าจะไปตกทุกข์ ในทางอกุศลเราพยายามละอกุศล เจริญกุศล สูงขึ้นไปก็ละวางทั้งบุญทั้งบาป จะสร้างบุญอยู่กับบุญแต่ไม่ยึดติดในบุญ เราก็จะอยู่กับบุญตัวใจของเรานั่นแหละ ความสุขนั่นแหละคือตัวบุญ ใจที่ไม่มีกิเลส ใจที่สะอาด ใจที่บริสุทธิ์ นั่นแหละคือบุญ ถึงเราละกิเลสไม่ได้หมดจด ก็พยายามสร้างอานิสงส์สร้างตบะบารมีของเราไป สักวันหนึ่งก็คงจะเต็ม
ความตายไม่ได้เลือกกาลเลือกเวลา พวกเราจงเป็นบุคคลที่เตรียมพร้อม อะไรควรละ อะไรควรเจริญ อะไรควรดำเนิน มองเห็นความตายเป็นของธรรมดาเหมือนกับถอดเสื้อผ้า จิตวิญญาณก็ไปต่อ ถ้าสร้างบุญมาดีก็ไปใส่เสื้อผ้าดีๆ ถ้าสร้างบุญไม่ดีก็ใส่เสื้อผ้าไม่ดี เพราะว่าตราบใดที่ใจยังเกิดยังวนเวียนว่ายตายเกิดอยู่ เราก็พยายามหมั่นสร้างคุณงามความดีจนกว่าใจของเราจะดับความเกิดได้ คลายความหลงดับความเกิด มองเห็นหนทางเดินว่าเราจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิดกัน
อะไรที่จะเป็นบุญเราก็รีบทำ อะไรที่จะเป็นประโยชน์เราก็รีบทำ วันนี้มีพรุ่งนี้มี พ่อแม่มีพี่น้องมี โลกนี้มีโลกหน้ามี เราทำโลกปัจจุบัน คือสํารวจใจของเราให้ดีอยู่ปัจจุบัน จนมองเห็นความเป็นจริงภายในคือปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่นภายใน แล้วก็วางข้างนอกได้โดยปริยาย เรามาขัดเกลาตัวเราอยู่ตลอดเวลา สักวันหนึ่งเราคงจะถึงจุดหมายปลายทางกัน ไม่ถึงช้าก็ต้องถึงเร็ว ไม่ถึงวันนี้ พรุ่งนี้ เดือนนี้ เดือนหน้า ปีหน้าไม่ถึงจริงๆ สิ่งที่พวกเราทำจะไปต่อเอาภพหน้า
สร้างความรู้ตัวให้ชัดเจน ให้ต่อเนื่องกันสักนิดหนึ่งก็ยังดี ดีความไม่ได้ทำนะ
พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พยายามทำให้ได้ทุกอิริยาบถ