หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2560 ลำดับที่ 51 วันที่ 28 พฤษภาคม 2560

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2560 ลำดับที่ 51 วันที่ 28 พฤษภาคม 2560
พระธรรมเทศนา พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ผู้บรรยาย
พระธรรมเทศนา พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2560 ลำดับที่ 51 วันที่ 28 พฤษภาคม 2560
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2560
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2560 ลำดับที่ 51
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 28 พฤษภาคม 2560

ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของตัวเราเองให้ชัดเจน นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย หยุดความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ เอาไว้ทั้งหมด ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียกไปด้วย ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ สัก 2-3 เที่ยว อย่าไปบังคับลมหายใจ หายใจยาวๆ ให้เป็นธรรมชาติ หายใจออกยาวๆ ความคิดต่างๆ ก็จะสงบระงับลงไป สัมผัสของลมหายใจที่กระทบปลายจมูกของเรา นั่นแหละที่ท่านเรียกว่า สติรู้กาย

เราพยายามสร้างความรู้สึกรับรู้ให้ต่อเนื่อง ตั้งแต่ตื่นขึ้น ฝึกให้เกิดความเคยชิน ช่วงใหม่ๆ การฝึกการเจริญสติบางทีบางครั้งบางคราวก็อึดอัด บางทีบางครั้งบางคราวก็พลั้งเผลอ เราพยายามเริ่มบ่อยๆ ทำความเข้าใจบ่อยๆ ความรู้ตัวพลั้งเผลอเริ่มใหม่ ความรู้ตัวพลั้งเผลอเริ่มใหม่ ให้เกิดความเคยชิน สติก็จะตั้งมั่นลงที่กายของเรา

ตั้งแต่ตื่นขึ้นตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ จะลุก จะก้าว จะเดิน มีสติรู้กายสติรู้ใจ การเกิดของใจ การปรุงแต่งของใจ อาการของใจเวลาเขาจะเกิด ถ้าเรามีความรู้ตัวอยู่ขณะปัจจุบันเราก็จะเห็น เห็นการเกิดของใจ เห็นการเกิดของอาการของขันธ์ห้าซึ่งมีอยู่ในกายของเรา มีอยู่ห้ากองห้าขันธ์ แต่เราต้องเจริญสติตัวใหม่เข้าไปวิเคราะห์ เข้าไปอบรม เข้าไปหมั่นพร่ำสอนใจของตัวเรา

การเกิด ใจเกิดส่งไปภายนอก เราก็จะรู้เท่ารู้ทัน รู้จักดับรู้จักหยุด ความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งใจ ความคิดที่เราไม่ตั้งใจคิดนั่นแหละมีกันทุกคน บางคนก็มีมาก บางคนก็มีน้อย เพราะว่าธรรมชาติของสมมติ ธรรมชาติของโลกียะ ใจเกิดมาตั้งนาน ใจหลงมาตั้งนาน ตั้งแต่การเกิด ถ้าไม่หลงก็ไม่เกิด ใจหลงมาสร้างขันธ์ห้ามาสร้างภพมนุษย์เขาเรียกว่าภพมนุษย์ มาหลงมายึด แล้วก็เกิดต่อ เกิดต่อยังไม่พอยังมีทิฏฐิมานะเป็นทาสของกิเลสอีก

กิเลสก็มีหลายชั้น กิเลสหยาบ กิเลสละเอียด ถ้าเราเจริญสติลงที่กายของเราให้ต่อเนื่องจนใจคลายออกจากขันธ์ห้าได้เขาเรียกว่า แยกรูปแยกนามหรือว่าหงายจากของที่คว่ำ ใจก็จะเบา กายก็จะเบา ใจก็จะโล่ง เราก็ทำความเข้าใจ เห็นการเกิด การดับ เขาเรียกว่าเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ความไม่เที่ยง ของความ ของอาการของขันธ์ห้าเป็นแค่เพียงอาการ เป็นแค่เพียงมายา ไม่มีตัวไม่มีตน แต่พวกเราไปยึดไปมั่นไปหมายว่าเป็นตัวเป็นตน เป็นตัวเป็นตนในทางสมมติ

กายของเรา เราก็เป็นตัวเป็นกายของเรา อันโน้นอันนี้ก็ของเรา อันนั้นไปในทางสมมติ ถ้าใจคลายจากขันธ์ห้าได้ ใจปล่อยวางได้ ไม่มีอะไร แม้แต่ตัวใจก็อยู่ในความว่าง ความบริสุทธิ์ มีในทางสมมติก็มีเพื่ออิงอาศัยอยู่จนกว่าจะหมดลมหายใจ เราพยายามปรับปรุงสภาพจิตใจของเรา แก้ไขจิตใจของเรา

การเกิดเป็นทุกข์ การเป็นทาสของกิเลสก็เป็นทุกข์ แต่ละวันความรับผิดชอบ ความเสียสละ ความขยันหมั่นเพียร ความอ่อนน้อมถ่อมตน เราพยายามหมั่นอบรมใจของเราอยู่ตลอดเวลา กายของเราทำหน้าที่อย่างนี้ ตาก็ทำหน้าที่ดู หูก็ทำหน้าที่ฟัง เป็นทางผ่านส่งเข้าไปถึงใจของตัวเรา ทีนี้เรา ใจของเราจะเกิดความยินดียินร้ายหรือว่าเกิดกิเลสเราก็รู้จักดับ จะเอาจะมีจะเป็นก็เป็นเรื่องของปัญญา ก็ไปทำหน้าที่แทน แต่เราต้องคลายภายในของเราให้ได้ หมั่นพร่ำสอนใจของเราให้ได้ ถอนรากถอนโคนตั้งแต่การเกิด

การเกิด เดี๋ยวนี้ใจเขาเกิดมาสร้างภพมนุษย์ แล้วก็มาสร้างสิ่งต่างๆ ยึดมั่นหมายไปทับถมดวงใจของตัวเรา แม้แต่กิเลสต่างๆ ในหลักธรรมแล้วท่านก็ให้ละหมดนั่นแหละ ให้ละหมด สร้างคุณงามความดี ไม่หลงไม่ยึด อยู่เหนือ เหนือบุญเหนือบาป บุญกับบาปก็มีค่าเท่ากัน ทำไมถึงว่ามีค่าเท่ากัน เพราะว่ามีการเกิด บุญนี้ไปในทางที่มีความสุข บาปนี้ไปในทางที่มีความทุกข์ ความทุกข์ความสุขมันก็เกิดอยู่

ท่านถึงให้ดับให้วางให้หมด แล้วก็สร้างบุญ ไม่ยึดติดในบุญ ยิ่งยังประโยชน์ ประโยชน์ตน ประโยชน์ท่าน ประโยชน์ในโลกนี้ ประโยชน์ในโลกหน้า ประโยชน์คือ ปัจจุบัน มองให้ชัดเจน มองด้วยปัญญา คําว่าปัญญา คือความรู้ตัวนี่แหละ เราสร้างขึ้นมาหรือว่าสติรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน จนเห็น เห็นใจคลายออกจากขันธ์ห้า เห็นการเกิดการดับของขันธ์ห้า เห็นกิเลสที่ใจ ขัดเกลากิเลสที่ใจ ออกจากใจของเรา จนไม่มีเหลืออะไรที่ใจ เหลือแต่ความบริสุทธิ์ ใจไม่เกิดก็วางใจอีกให้เป็นธรรมชาติอีก เหลือตั้งแต่ปัญญาเอาไปใช้กับสมมติ

ที่ท่านเรียกว่า รอบรู้ในกองสังขาร รอบรู้ในดวงวิญญาณ ในขันธ์ห้า รอบรู้ในปัจจัยสี่ รอบรู้ในโลกธรรม ยังประโยชน์สมมติให้เกิดประโยชน์ให้เต็มเปี่ยม ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาเราก็จะอยู่กับบุญ ตัวใจนั่นตัวบุญ กายของเราก็จะเป็นก้อนบุญ เราพยายามว่าอะไรที่จะนําความสุขนําประโยชน์มาให้ บุญมากบุญน้อย เราก็พยายามทำให้มีให้เกิดขึ้นที่ใจของเรา

ใจของเรามีความแข็งกร้าวแข็งกระด้าง มีทิฏฐิมานะ เราก็พยายามค่อยลด ค่อยละ ค่อยอบรมให้ใจของเราอยู่ในความอ่อนโยน ให้ใจของเราอยู่ในความอ่อนน้อม

ใจเป็นธาตุรู้ แต่เวลานี้เขาทั้งรู้ ทั้งหลง ทั้งเกิด เราต้องพยายามเจริญสติตัวใหม่ ให้มีให้เกิดขึ้นเอาไปใช้การใช้งานได้ สติท่านถึงบอกว่าเป็นผู้รู้ ใจเป็นธาตุรู้ ผู้รู้ไปอบรมใจของเรา จนกว่าใจของเราจะคลายจากขันธ์ห้า มองเห็นตามความเป็นจริง เขาถึงจะปล่อยจะวางได้ ถึงปล่อยวางไม่ได้ ก็ขอให้อยู่ในคุณงามความดี หมั่นน้อมจิตน้อมใจของเราอยู่ในกองบุญกองกุศลเอาไว้ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน

โอกาสเปิด กาลเวลาเปิด สถานที่เปิดก็พยายามทำ ตราบใดที่ใจยังเกิดอยู่ เราก็ให้อยู่ในกองบุญเอาไว้ จนกว่าใจของเราจะหลุดพ้นจากความยึดมั่นถือมั่น จนกว่าเราจะขัดเกลากิเลสออกจากใจของเรา จนกว่าเราจะดับความเกิดได้ไม่ต้องกลับมาเกิดกัน ถึงดับความเกิดได้เราก็ยิ่งสนุกสร้างประโยชน์ สร้างบุญสร้างอานิสงส์ ให้มีให้เกิดขึ้นฝากเอาไว้ในแผ่นดิน พวกเราจากไปอานิสงส์กองบุญก็กองเอาไว้ ให้เป็นสิริมงคลของทุกคน

วันนี้หลวงพ่อก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อ ทำความเข้าใจกันเอา

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง