หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2560 ลำดับที่ 47 วันที่ 13 พฤษภาคม 2560

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2560 ลำดับที่ 47 วันที่ 13 พฤษภาคม 2560
พระธรรมเทศนา พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ผู้บรรยาย
พระธรรมเทศนา พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2560 ลำดับที่ 47 วันที่ 13 พฤษภาคม 2560
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2560
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2560 ลำดับที่ 47
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 13 พฤษภาคม 2560

มีความสุขกันทุกคน วันนี้ก็เป็นเช้าวันเสาร์ วันที่เท่าไร วันที่ 13 จำวันเดือนปีไม่ค่อยจะได้แล้ว แก่แล้ว เช้านี้ก็อากาศสดชื่นดี ญาติโยมก็พากันมาเข้าวัดทำบุญกันเยอะ ไม่ว่าอยู่ที่ไหนในประเทศของเรา มีโอกาสก็ได้ทำบุญให้ทานถวายทาน มีศรัทธาเชื่อมั่นในพระรัตนตรัย แล้วก็ฝักใฝ่ในการทำบุญในการให้ทาน อันนี้มีเป็นพื้นฐานมาตั้งแต่พ่อแม่ปู่ย่าตายาย ตื่นขึ้นมาก็รีบอยากจะทำบุญ อยากจะให้ทาน เป็นกิจวัตร อยากทำบุญใส่บาตรตักบาตร อยากทำบุญให้ทานกับพระคุณเจ้า ก็ได้พากันมา

ตามหลักของความเป็นจริงแล้ว เราพยายามทำ ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ความขยันหมั่นเพียร ความรับผิดชอบความเสียสละ รู้จักวิเคราะห์พิจารณา อะไรคือสติปัญญาที่เราสร้างขึ้นมา อะไรคือใจ อะไรคืออาการของความคิด อาการของขันธ์ห้า มีกันทุกคน ถ้าเรารู้จักจําแนกแจกแจง รู้จักเจริญสติเข้าไปอบรมใจของเราทั้งพระ ทั้งโยม ทั้งชี

พระเราก็เยอะ ชีเราก็เยอะ ลูกเณรมาบวชใหม่ก็มีหลายคน พยายามพิจารณา ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาจนกระทั่งถึงเวลานี้ พิจารณาปฏิสังขาโย กะประมาณในการขบฉันของตัวเรา กายเกิดความหิวหรือว่าใจเกิดความอยากอันนี้มีกันทุกคน เราต้องพิจารณาดู หรืออันนี้กายนี้จะเกิดความหิว เพราะว่ากายก็ต้องการอาหารมาหล่อเลี้ยงร่างกาย ส่วนใจนั้นจะเกิดความอยาก ยิ่งกายหิวเท่าไรใจก็เกิดความอยากรุนแรง เราพยายามควบคุม รู้จักหยุดรู้จักดับ รู้จักสังเกต รู้จักวิเคราะห์ อบรมใจ เจริญสติปัญญาเข้าไปอบรมใจของตัวเราเอง ชี้เหตุชี้ผล เห็นเหตุเห็นผลจนใจยอมรับความเป็นจริง ใจคลายออกจากขันธ์ห้าหรือว่าแยกรูปแยกนาม ที่พูดกันเยอะๆ ที่ได้ยินได้ฟังกัน

ในขันธ์ห้านั้นมีอะไรบ้างที่ท่านว่าเป็นกองเป็นขันธ์ ทำไมท่านถึงว่าเป็นกองเป็นขันธ์ กองรูปคือกองร่างกาย ตัวกองวิญญาณก็คือตัวใจ ความคิดอารมณ์ต่างๆ บวกกันเข้า ร่วมกันเข้าเป็นห้ากอง ท่านให้เจริญสติลงที่กายของเรา แล้วก็หัดสังเกตจนใจของเราแยกออกจากขันธ์ห้า มองเห็นเป็นสามส่วน ตามดูอีก ให้ใจรับรู้อีกว่าเป็นส่วนไหนบ้าง บางทีก็เป็นเรื่องอดีต เขาเรียกว่ากองของสัญญา กองสังขาร กองวิญญาณ กองรูป กองวิญญาณคือกองใจของเรา แต่จะไปมองด้วยตาเนื้อ มองไม่เห็น ต้องฝึกเจริญสติเข้าไปอบรมใจของตัวเราเอง ชี้เหตุชี้ผล เห็นเหตุเห็นผล

ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา เรามีความขยันหมั่นเพียรอยู่ระดับไหน เรามีความเสียสละอยู่ระดับไหน เรามีการฝักใฝ่มีการสนใจ ใจของเรามีความอ่อนน้อมถ่อมตน ใจของเรามีพรหมวิหาร มีความเมตตา มองโลกในทางที่ดี คิดดี ความคิดเกิดจากส่วนไหน เกิดจากส่วนใจหรือว่าส่วนปัญญา แม้แต่ส่วนปัญญาที่เราสร้างขึ้นมา ถ้าเป็นอกุศลเราก็ต้องให้ดับอีก ให้อยู่ในกองกุศลเอาไว้

ในหลักธรรมจริงๆ ไม่มีอะไร แต่ความมี ความเป็นนี้ใจหลงมาตั้งนาน หลงมาเกิด ตั้งแต่ความเกิดก็ปิดกั้นตัวใจเอาไว้ หลงมาเกิดอยู่ในภพ มาสร้างภพมนุษย์ แล้วก็มายึดติด แล้วก็กายเนื้อแตกดับก็ขึ้นอยู่กับวิบากของกรรม กรรม กุศลกรรม หรือว่าอกุศลกรรมที่เราสร้างมา ในหลักธรรมแล้วท่านให้ละให้หมด แล้วก็ยังกุศลให้เกิดขึ้นแต่ไม่ยึด อยู่เหนือ อยู่เหนือบุญ เหนือบาป เหนือกรรม กรรมในกายของเราก็คือเรื่องของขันธ์ห้าเขาเรียกว่าตัวกรรม ถ้าเราแยกแยะได้ ตามดูได้ ละได้ ขันธ์ห้าก็ตามไม่ทัน ก็เหลือตั้งแต่ส่วนรูปกรรมกับตัววิญญาณหรือว่าตัวใจ ถ้าเราศึกษาดีๆ จะเห็นอะไรดีๆ เยอะ พยายามหัดสังเกต หัดวิเคราะห์

ตามแนวทางของพระพุทธองค์ พระพุทธเจ้าท่านค้นพบมานานหลายร้อยหลายพันปี ความจริงสัจธรรมยังอยู่ ยังมีอยู่ ธรรมกับโลกก็ยังมีอยู่ รูปกับนามก็ยังมีอยู่ วันนี้มี พรุ่งนี้มี เดือนหน้ามี ภพหน้ามี คําว่าภพชาติ ตอนนี้เราอยู่ในภพมนุษย์ อยู่ในชาติมนุษย์ ซึ่งก็เกิดมาแล้ว ความเกิดนั่นแหละคือความหลงอารมณ์ลึก ถ้าไม่หลงก็ไม่เกิด ทีนี้การได้เกิดมาแล้วท่านก็ให้เจริญสติลงที่กายจําแนกแจกแจง จนกว่ากําลังสติของเราจะมีความเข้มแข็งกล้าหาญ ใจอยู่ในโอวาทของปัญญาของเรา ชี้เหตุชี้ผล เห็นเหตุเห็นผล ไม่ใช่ว่าปฏิบัติแบบงมงาย เราต้องปฏิบัติให้รู้แจ้งเห็นจริง ชี้เหตุชี้ผลได้ เหตุผลทางด้านรูปธรรมก็มี เหตุผลทางด้านนามธรรมก็มี สิ่งนี้เกิด สิ่งนี้จึงเกิด ท่านชี้ลงที่ต้นเหตุ แล้วก็ถอนรากถอนโคนไม่ให้เกิดอีก ไม่ต้องกลับมาเกิด

ตราบใดที่ยังเกิดอยู่ ก็ขอให้เกิดอยู่ในกองบุญเอาไว้ จิตใจของคนนี้ในแต่ละวันความเกิดทางด้านรูปกายนี้ก็เกิดมาตั้งหลายปี ทีนี้เกิดทางด้านจิตใจ เกิดทางด้านจิตใจนี้ ตั้งแต่เช้ามาเกิดสักกี่เรื่อง เหตุจากภายนอกทำให้เกิด หรือเกิดจากใจโดยตรง เราก็พยายามเจริญสติ เข้าไปศึกษาเข้าไปค้นคว้า ถึงเกิดก็ขอให้เกิดอยู่ในกองบุญกองกุศลเอาไว้ รู้จักการให้ทาน การให้ทาน การอนุเคราะห์ การช่วยเหลือ ทานระดับสมมติ ทานระดับวิมุตติ ทานอารมณ์ ทานความคิด ทานกิเลส ทานวัตถุสิ่งของต่างๆ เพื่อให้เกิดประโยชน์ ประโยชน์ตน ประโยชน์ท่าน ประโยชน์สูงสุด

การเจริญสติของเราก็มี การวิเคราะห์ของเราก็มี แล้วก็พยายามทำความเข้าใจให้ปรากฏ ให้กระจ่างเกิดขึ้นที่ใจของเรา ตามแนวทางของพระพุทธองค์ มองเห็นหนทางเดินว่าเราจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิดกัน การเกิดมาทางกายเนื้อเราก็เกิดมาแล้วซึ่งเรียกว่า ภพมนุษย์ ทีนี้การเกิดทางด้านจิตวิญญาณ ทั้งเกิดด้วย ทั้งยึดด้วย ทั้งหลงด้วย เราก็มาค่อยขัด ค่อยคลาย ค่อยเอาออก จนใจของเราอยู่ในความบริสุทธิ์นั่นแหละคือบุญที่แท้จริง ไม่ต้องกลับมาเกิดกัน

ดับความเกิดให้สั้นลงๆ จนไม่เกิด จนเกิดตั้งแต่สติปัญญาที่เราสร้างขึ้นมา ไปทำหน้าที่แทน เพื่อยังประโยชน์ให้กับโลก ประโยชน์ตน ประโยชน์ท่าน ประโยชน์สูงสุด ประโยชน์ในโลกนี้ ประโยชน์ในโลกหน้า ถ้าเราเดินให้ถูกที่ถูกทาง เราก็จะถึงจุดหมายปลายทางได้เอง

พากันตั้งใจรับพรกัน

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง