หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2560 ลำดับที่ 11 วันที่ 15 มกราคม 2560
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2560 ลำดับที่ 11 วันที่ 15 มกราคม 2560
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2560
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2560 ลำดับที่ 11
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 15 มกราคม 2560
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจนให้ต่อเนื่อง นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย วางใจให้สบาย ไม่ต้องพนมมือ ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียกไปด้วย ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ สัก 2-3 เที่ยว กายของเราก็จะสบายขึ้นเยอะ ใจของเราก็จะสงบตั้งมั่นขึ้น ความรู้สึกสัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้ากระทบปลายจมูกของเรา แล้วก็วิ่งออกกระทบปลายจมูกของเรา ความรู้สึกก็จะชัดเจน
เราพยายามสร้างความรู้ตัวตั้งแต่ตื่นขึ้นตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ อันนี้เขาเรียกว่า สติรู้กาย พยายามรู้ให้ต่อเนื่องแล้วก็พยายามหัดสังเกต เจริญสติจนกำลังสติมีมากเอาไปรู้เท่าทันใจ ลักษณะของใจ ใจที่เกิดส่งไปภายนอกเป็นลักษณะอย่างนี้ ใจที่เกิดกิเลสเป็นลักษณะอย่างนี้ ใจที่เข้าไปรวมกับความคิด หรือว่าอาการของขันธ์ห้า
ถ้าเรารู้ทันกำลังสติของเรามีมาก เราก็จะเห็นการเกิดการร่วม รู้เท่ารู้ทัน ใจก็จะแยกออกจากอาการของขันธ์ห้า ซึ่งเรียกว่า แยกรูปแยกนาม หรือว่าหงายของที่คว่ำ ใจก็จะว่าง กายก็จะเบา เห็นการเกิดการดับของขันธ์ห้าชัดเจน เห็นการเกิดการดับของใจชัดเจน อะไรคือส่วนรูปอะไรคือส่วนนาม ตามทำความเข้าใจ เราก็จะเข้าใจในคำสอนของพระพุทธองค์ว่าท่านสอนเรื่องอะไร
ท่านสอนเรื่องชีวิตของเรานั่นแหละไม่ได้สอนเรื่องอะไรหรอก คำว่าอัตตากับอนัตตาเป็นลักษณะอย่างไร สมมติวิมุตติเป็นลักษณะอย่างไร ใจที่คลายออกจากขันธ์ห้า ถ้าใจไม่มีกิเลสเขาก็ว่าง ถ้าใจยังปรุงแต่งการเกิดของใจมีอยู่เขาก็ไม่นิ่ง เราพยายามหัดศึกษาหัดวิเคราะห์ เจริญสติก็ให้รู้จักลักษณะของคำว่าสติรู้ตัวอยู่ปัจจุบันให้ต่อเนื่อง เพื่อที่จะเอาไปใช้เอาไปรู้เท่าทันเอาไปอบรมใจของเรา
แต่เวลานี้ใจของเราทั้งเกิดทั้งหลงความคิดหลงขันธ์ห้า ทั้งเป็นทาสของกิเลส เราก็ต้องพยายามหัดขัด หัดเกลา หัดวิเคราะห์ หัดทำความเข้าใจ แต่ละวันตื่นขึ้นมาเรามีความขยันหมั่นเพียร เรามีความรับผิดชอบ ใจของเรามีความอ่อนน้อมถ่อมตนหรือว่าใจของเรามีความกังวลฟุ้งซ่าน เราก็รู้จักหาวิธีเข้าไปอบรมใจของตัวเราเอง ถ้าเราสอนเราไม่ได้ ไม่มีใครจะสอนเราได้เลยนอกจากตัวของเรา
ตนเป็นที่พึ่งของตน ตนตัวแรกคือตัวสติที่เราสร้างขึ้นมานี่แหละ เราพยายามสร้างขึ้นมาให้ต่อเนื่อง ให้เข้มแข็ง จนเอาไปใช้การใช้งานได้ จิตใจของคนเราทุกคนปรารถนาในบุญ ปรารถนาในทางหลุดพ้น แต่ความปรารถนาความทะเยอทะยานอยากนั้นปิดกั้นตัวเองเอาไว้ แม้แต่ความเกิด ความเกิดของใจหรือว่าความคิด ความเกิดของใจก็ปิดกั้นตัวเองตัวใจเอาไว้ ทีนี้ใจถ้าไม่หลงก็ไม่เกิด เขาหลงมานานเขาถึงได้มาเกิดอยู่ในภพของมนุษย์ มาสร้างขันธ์ห้าปิดกั้นตัวใจเอาไว้อีกทีหนึ่ง แล้วก็ปรุงแต่งส่งใจออกไปภายนอกสารพัดเรื่อง ทั้งเป็นกุศลบ้างอกุศลบ้าง กิเลสหยาบกิเลสละเอียดบ้าง เยอะแยะ
พระพุทธองค์ท่านถึงให้เจริญสติลงที่กายให้ได้ เจริญสติให้มีความเข้มแข็ง รู้จักเอาสติปัญญาไปใช้ มองเห็นตามความเป็นจริง ชี้เหตุชี้ผล เห็นเหตุเห็นผล ทุกเรื่อง เห็นการเกิดการดับ เห็นการแยกการคลาย การตามทำความเข้าใจ บุคคลที่มีบุญ มีสติ มีปัญญา ฟังนิดเดียวก็จะเอาไปทำความเข้าใจ การละกิเลสเป็นอย่างนี้ ใจที่ปราศจากกิเลสเป็นอย่างนี้ ใจที่ไม่เกิดเป็นอย่างนี้ เราจะเอาวิธีไหนทำการอย่างไรใจของเราถึงจะสะอาดบริสุทธิ์ ก็ต้องพยายาม พยายามทำ ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่ แก้ไขใหม่ ปรับปรุงตัวเราใหม่ อย่าพากันปล่อยวันเวลาทิ้งเสียดายเวลา
ความเกิดมี ความตายก็มี ความตายไม่ได้เลือกกาลเลือกเวลา ไม่ว่าเด็กไม่ว่าผู้ใหญ่ พอทุกคนเกิดมาเท่าไรก็ตายหมด เมื่อเช้านี้ก็มารับ 2 วัน 3 วัน วันละ 2 คน 3 คนบ้าง มารับเอาโลงศพจากที่หลวงพ่ออนุเคราะห์ให้ เผลอแป๊บเดียวสามปี สามปีกว่านะ 789 ศพแล้ว ถ้าจับมานั่งอยู่ในศาลานี้คงไม่พอกัน นี่แหละความตายไม่ได้เลือกกาลเลือกเวลา ไม่ว่าเด็กไม่ว่าผู้ใหญ่ ถ้าถึงเวลาแล้วก็ต้องได้ไป ถ้ายังไม่ถึงเวลานี่สิ เรามาทำความเข้าใจให้รู้แจ้งเห็นจริง ทำความเข้าใจให้เห็นเหตุเห็นผล มองเห็นหนทางเดินว่าเราจะได้กลับมาเกิดหรือไม่ได้กลับมาเกิดกัน
การสร้างบุญสร้างอานิสงส์ สร้างตบะสร้างบารมี เราทำได้ตลอดเวลาตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ความขยันหมั่นเพียร ความรับผิดชอบ ใจเกิดกิเลสละกิเลส มองโลกในทางที่ดี คิดดีทำดี เป็นเรื่องของทุกคน เป็นเรื่องของเราที่จะทำความเข้าใจ ไม่ใช่ว่าให้กิเลสมาเป็นนายเหนือเรา เราจงเป็นนายเหนือกิเลส ใช้กิเลสให้เกิดประโยชน์ กายของเรานี่แหละก้อนกิเลส มีอะไรบ้างที่ท่านบอกว่าเป็นกองเป็นขันธ์ ขันธ์ห้า อะไรส่วนรูปอะไรส่วนนาม มีหมดอยู่ในกายของเรา เราจงพยายามศึกษาค้นคว้า กายของเรานี่แหละสนามรบอันยิ่งใหญ่ ชนะตัวเราแล้วเราก็จะชนะหมดทุกสิ่งทุกอย่าง
คนเราไปมองข้าม จะไปเอาตั้งแต่ละกิเลสตั้งแต่ตัวใหญ่ๆ ความเกิดๆ ดับๆ ของความคิดของอารมณ์ แต่ละวันตั้งแต่ตื่นขึ้นมาเขาหลงมาตั้งนาน ใจนี้หลงมาตั้งนาน หลงมาเกิดหลงอยู่ในภพน้อยภพใหญ่ จนกระทั่งมาก่อร่างสร้างภพมนุษย์ขึ้นมามีขันธ์ห้า ปิดกั้นตัวเองเอาไว้แล้วก็เกิดต่อ เราจงพยายามหัดสังเกตหัดวิเคราะห์หัดทำความเข้าใจบ่อยๆ ถึงเวลาสักวันหนึ่ง เราก็คงจะแยกแยะได้ว่าอะไรเป็นอะไร ก็จงพยายามกัน
หมั่นสร้างคุณงามความดี สร้างบุญสร้างกุศล สร้างอานิสงส์อยู่ตลอดเวลา เพื่อที่จะเป็นเข้าพกเข้าห่อติดตามตัวเราไป เราไม่สำเร็จในวันนี้ เราไม่ถึงในวันนี้ วันพรุ่งนี้เราก็ต้องถึง ไม่ถึงพรุ่งนี้ เดือนหน้า ปีหน้า เราก็ต้องถึง ตราบใดที่เรายังเดินอยู่ ถ้าไม่ถึงจริงๆ จะไปต่อเอาภพหน้าไม่เหนือวิสัยหรอก
ใจของคนเราสอนได้ ไม่ใช่ว่าสอนไม่ได้ เราดำเนินตามแนวทางของพระพุทธองค์ว่าท่านสอนเรื่องอะไร คำว่า สติรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน เป็นลักษณะอย่างไร การเอาสติปัญญาไปใช้ หัดสังเกต หัดวิเคราะห์ หัดแยกรูปแยกนาม ตามดูรู้เห็นตามความเป็นจริง ชี้เหตุชี้ผลได้ หมดความสงสัยหมดความลังเลได้นั่นแหละ ท่านถึงบอกให้เชื่อ ก็ต้องพยายามกันนะ
แต่ละวันตื่นขึ้นมา ไม่ว่าพระว่าชี เราก็ต้องพยายามทำความเข้าใจให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น มองบนมองล่างมองกลางใจของเรา ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาใจของเราสะอาดหรือเปล่า ใจของเราบริสุทธิ์หรือเปล่า ใจของเรามีกิเลสตัวไหนบ้าง อยู่ด้วยปัญญาล้วนๆ ทำความเข้าใจ ไปไหนมาไหนก็บริหารกายบริหารใจของเราด้วยปัญญา เราก็จะถึงจุดหมายปลายทางจนได้
สร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่องให้เชื่อมโยงกันสักนิดหนึ่งก็ยังดี ทำใจให้โล่ง สมองให้โปร่ง มีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเรา อยู่หลายคนก็เหมือนกับอยู่คนเดียว อยู่คนเดียวขณะนี้ก็ให้รู้ว่าลมหายใจวิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ต่อเนื่องเชื่อมโยงกันนะ
พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจให้รู้ทุกอิริยาบถ
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 15 มกราคม 2560
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจนให้ต่อเนื่อง นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย วางใจให้สบาย ไม่ต้องพนมมือ ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียกไปด้วย ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ สัก 2-3 เที่ยว กายของเราก็จะสบายขึ้นเยอะ ใจของเราก็จะสงบตั้งมั่นขึ้น ความรู้สึกสัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้ากระทบปลายจมูกของเรา แล้วก็วิ่งออกกระทบปลายจมูกของเรา ความรู้สึกก็จะชัดเจน
เราพยายามสร้างความรู้ตัวตั้งแต่ตื่นขึ้นตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ อันนี้เขาเรียกว่า สติรู้กาย พยายามรู้ให้ต่อเนื่องแล้วก็พยายามหัดสังเกต เจริญสติจนกำลังสติมีมากเอาไปรู้เท่าทันใจ ลักษณะของใจ ใจที่เกิดส่งไปภายนอกเป็นลักษณะอย่างนี้ ใจที่เกิดกิเลสเป็นลักษณะอย่างนี้ ใจที่เข้าไปรวมกับความคิด หรือว่าอาการของขันธ์ห้า
ถ้าเรารู้ทันกำลังสติของเรามีมาก เราก็จะเห็นการเกิดการร่วม รู้เท่ารู้ทัน ใจก็จะแยกออกจากอาการของขันธ์ห้า ซึ่งเรียกว่า แยกรูปแยกนาม หรือว่าหงายของที่คว่ำ ใจก็จะว่าง กายก็จะเบา เห็นการเกิดการดับของขันธ์ห้าชัดเจน เห็นการเกิดการดับของใจชัดเจน อะไรคือส่วนรูปอะไรคือส่วนนาม ตามทำความเข้าใจ เราก็จะเข้าใจในคำสอนของพระพุทธองค์ว่าท่านสอนเรื่องอะไร
ท่านสอนเรื่องชีวิตของเรานั่นแหละไม่ได้สอนเรื่องอะไรหรอก คำว่าอัตตากับอนัตตาเป็นลักษณะอย่างไร สมมติวิมุตติเป็นลักษณะอย่างไร ใจที่คลายออกจากขันธ์ห้า ถ้าใจไม่มีกิเลสเขาก็ว่าง ถ้าใจยังปรุงแต่งการเกิดของใจมีอยู่เขาก็ไม่นิ่ง เราพยายามหัดศึกษาหัดวิเคราะห์ เจริญสติก็ให้รู้จักลักษณะของคำว่าสติรู้ตัวอยู่ปัจจุบันให้ต่อเนื่อง เพื่อที่จะเอาไปใช้เอาไปรู้เท่าทันเอาไปอบรมใจของเรา
แต่เวลานี้ใจของเราทั้งเกิดทั้งหลงความคิดหลงขันธ์ห้า ทั้งเป็นทาสของกิเลส เราก็ต้องพยายามหัดขัด หัดเกลา หัดวิเคราะห์ หัดทำความเข้าใจ แต่ละวันตื่นขึ้นมาเรามีความขยันหมั่นเพียร เรามีความรับผิดชอบ ใจของเรามีความอ่อนน้อมถ่อมตนหรือว่าใจของเรามีความกังวลฟุ้งซ่าน เราก็รู้จักหาวิธีเข้าไปอบรมใจของตัวเราเอง ถ้าเราสอนเราไม่ได้ ไม่มีใครจะสอนเราได้เลยนอกจากตัวของเรา
ตนเป็นที่พึ่งของตน ตนตัวแรกคือตัวสติที่เราสร้างขึ้นมานี่แหละ เราพยายามสร้างขึ้นมาให้ต่อเนื่อง ให้เข้มแข็ง จนเอาไปใช้การใช้งานได้ จิตใจของคนเราทุกคนปรารถนาในบุญ ปรารถนาในทางหลุดพ้น แต่ความปรารถนาความทะเยอทะยานอยากนั้นปิดกั้นตัวเองเอาไว้ แม้แต่ความเกิด ความเกิดของใจหรือว่าความคิด ความเกิดของใจก็ปิดกั้นตัวเองตัวใจเอาไว้ ทีนี้ใจถ้าไม่หลงก็ไม่เกิด เขาหลงมานานเขาถึงได้มาเกิดอยู่ในภพของมนุษย์ มาสร้างขันธ์ห้าปิดกั้นตัวใจเอาไว้อีกทีหนึ่ง แล้วก็ปรุงแต่งส่งใจออกไปภายนอกสารพัดเรื่อง ทั้งเป็นกุศลบ้างอกุศลบ้าง กิเลสหยาบกิเลสละเอียดบ้าง เยอะแยะ
พระพุทธองค์ท่านถึงให้เจริญสติลงที่กายให้ได้ เจริญสติให้มีความเข้มแข็ง รู้จักเอาสติปัญญาไปใช้ มองเห็นตามความเป็นจริง ชี้เหตุชี้ผล เห็นเหตุเห็นผล ทุกเรื่อง เห็นการเกิดการดับ เห็นการแยกการคลาย การตามทำความเข้าใจ บุคคลที่มีบุญ มีสติ มีปัญญา ฟังนิดเดียวก็จะเอาไปทำความเข้าใจ การละกิเลสเป็นอย่างนี้ ใจที่ปราศจากกิเลสเป็นอย่างนี้ ใจที่ไม่เกิดเป็นอย่างนี้ เราจะเอาวิธีไหนทำการอย่างไรใจของเราถึงจะสะอาดบริสุทธิ์ ก็ต้องพยายาม พยายามทำ ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่ แก้ไขใหม่ ปรับปรุงตัวเราใหม่ อย่าพากันปล่อยวันเวลาทิ้งเสียดายเวลา
ความเกิดมี ความตายก็มี ความตายไม่ได้เลือกกาลเลือกเวลา ไม่ว่าเด็กไม่ว่าผู้ใหญ่ พอทุกคนเกิดมาเท่าไรก็ตายหมด เมื่อเช้านี้ก็มารับ 2 วัน 3 วัน วันละ 2 คน 3 คนบ้าง มารับเอาโลงศพจากที่หลวงพ่ออนุเคราะห์ให้ เผลอแป๊บเดียวสามปี สามปีกว่านะ 789 ศพแล้ว ถ้าจับมานั่งอยู่ในศาลานี้คงไม่พอกัน นี่แหละความตายไม่ได้เลือกกาลเลือกเวลา ไม่ว่าเด็กไม่ว่าผู้ใหญ่ ถ้าถึงเวลาแล้วก็ต้องได้ไป ถ้ายังไม่ถึงเวลานี่สิ เรามาทำความเข้าใจให้รู้แจ้งเห็นจริง ทำความเข้าใจให้เห็นเหตุเห็นผล มองเห็นหนทางเดินว่าเราจะได้กลับมาเกิดหรือไม่ได้กลับมาเกิดกัน
การสร้างบุญสร้างอานิสงส์ สร้างตบะสร้างบารมี เราทำได้ตลอดเวลาตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ความขยันหมั่นเพียร ความรับผิดชอบ ใจเกิดกิเลสละกิเลส มองโลกในทางที่ดี คิดดีทำดี เป็นเรื่องของทุกคน เป็นเรื่องของเราที่จะทำความเข้าใจ ไม่ใช่ว่าให้กิเลสมาเป็นนายเหนือเรา เราจงเป็นนายเหนือกิเลส ใช้กิเลสให้เกิดประโยชน์ กายของเรานี่แหละก้อนกิเลส มีอะไรบ้างที่ท่านบอกว่าเป็นกองเป็นขันธ์ ขันธ์ห้า อะไรส่วนรูปอะไรส่วนนาม มีหมดอยู่ในกายของเรา เราจงพยายามศึกษาค้นคว้า กายของเรานี่แหละสนามรบอันยิ่งใหญ่ ชนะตัวเราแล้วเราก็จะชนะหมดทุกสิ่งทุกอย่าง
คนเราไปมองข้าม จะไปเอาตั้งแต่ละกิเลสตั้งแต่ตัวใหญ่ๆ ความเกิดๆ ดับๆ ของความคิดของอารมณ์ แต่ละวันตั้งแต่ตื่นขึ้นมาเขาหลงมาตั้งนาน ใจนี้หลงมาตั้งนาน หลงมาเกิดหลงอยู่ในภพน้อยภพใหญ่ จนกระทั่งมาก่อร่างสร้างภพมนุษย์ขึ้นมามีขันธ์ห้า ปิดกั้นตัวเองเอาไว้แล้วก็เกิดต่อ เราจงพยายามหัดสังเกตหัดวิเคราะห์หัดทำความเข้าใจบ่อยๆ ถึงเวลาสักวันหนึ่ง เราก็คงจะแยกแยะได้ว่าอะไรเป็นอะไร ก็จงพยายามกัน
หมั่นสร้างคุณงามความดี สร้างบุญสร้างกุศล สร้างอานิสงส์อยู่ตลอดเวลา เพื่อที่จะเป็นเข้าพกเข้าห่อติดตามตัวเราไป เราไม่สำเร็จในวันนี้ เราไม่ถึงในวันนี้ วันพรุ่งนี้เราก็ต้องถึง ไม่ถึงพรุ่งนี้ เดือนหน้า ปีหน้า เราก็ต้องถึง ตราบใดที่เรายังเดินอยู่ ถ้าไม่ถึงจริงๆ จะไปต่อเอาภพหน้าไม่เหนือวิสัยหรอก
ใจของคนเราสอนได้ ไม่ใช่ว่าสอนไม่ได้ เราดำเนินตามแนวทางของพระพุทธองค์ว่าท่านสอนเรื่องอะไร คำว่า สติรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน เป็นลักษณะอย่างไร การเอาสติปัญญาไปใช้ หัดสังเกต หัดวิเคราะห์ หัดแยกรูปแยกนาม ตามดูรู้เห็นตามความเป็นจริง ชี้เหตุชี้ผลได้ หมดความสงสัยหมดความลังเลได้นั่นแหละ ท่านถึงบอกให้เชื่อ ก็ต้องพยายามกันนะ
แต่ละวันตื่นขึ้นมา ไม่ว่าพระว่าชี เราก็ต้องพยายามทำความเข้าใจให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น มองบนมองล่างมองกลางใจของเรา ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาใจของเราสะอาดหรือเปล่า ใจของเราบริสุทธิ์หรือเปล่า ใจของเรามีกิเลสตัวไหนบ้าง อยู่ด้วยปัญญาล้วนๆ ทำความเข้าใจ ไปไหนมาไหนก็บริหารกายบริหารใจของเราด้วยปัญญา เราก็จะถึงจุดหมายปลายทางจนได้
สร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่องให้เชื่อมโยงกันสักนิดหนึ่งก็ยังดี ทำใจให้โล่ง สมองให้โปร่ง มีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเรา อยู่หลายคนก็เหมือนกับอยู่คนเดียว อยู่คนเดียวขณะนี้ก็ให้รู้ว่าลมหายใจวิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ต่อเนื่องเชื่อมโยงกันนะ
พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจให้รู้ทุกอิริยาบถ