หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2561 ลำดับที่ 83 วันที่ 8 พฤศจิกายน 2561
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2561 ลำดับที่ 83 วันที่ 8 พฤศจิกายน 2561
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2561
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2561 ลำดับที่ 83
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 8 พฤศจิกายน 2561
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาเราได้สร้างความรู้ตัวแล้วหรือยัง ถ้ายังก็เริ่มเสียนะ ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียกไปด้วย ไม่ต้องประนมมือ
ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ อย่าไปบังคับลมหายใจ ความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ ก็จะหยุดระงับลงไปทันที ถ้าเราสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ความรู้สึกสัมผัสของลมที่กระทบปลายจมูกของเรา นั่นแหละเขาเรียกว่า สติรู้กาย เราพยายามสร้างขึ้นมาให้ต่อเนื่อง ถ้าความสืบต่อหรือว่าต่อเนื่อง เราก็จะรู้ลักษณะใจ ใจที่ปกติ ใจที่เกิดส่งออกไปภายนอก ก็จะเห็นเป็นคนละส่วนกัน
บางทีความคิด หรือว่าภาษาธรรมะท่านเรียกว่า อาการของขันธ์ห้า ความคิดที่ไม่ได้ตั้งใจคิดผุดขึ้นมา ถ้าเรามีความรู้ตัวอยู่ขณะปัจจุบัน เราก็จะเห็นอาการการผุดของความคิดนั้นๆ เราก็จะเห็นการเคลื่อนของใจเข้าไปรวมเป็นสิ่งเดียวกัน แล้วก็ปรุงแต่งไปด้วยกัน นั่นแหละคือความหลงอันละเอียด หลงมาหลายชั้น ใจของคนเรานี่หลงมาตั้งแต่ยังไม่ได้เกิดนะ ตั้งแต่ยังไม่ได้มาเกิดอยู่ในภพมนุษย์ หลงมาเกิด หลงแล้วก็มาสร้างภพมนุษย์ มาสร้างขันธ์ห้า มาสร้างร่างกาย ที่พระพุทธองค์ท่านบอกว่าเป็นกองเป็นขันธ์ เป็นขันธ์เป็นกองได้อย่างไร
นอกจากบุคคลที่มาเจริญสติให้ต่อเนื่อง แล้วก็รู้จักเอาสติปัญญาไปอบรมใจของตัวเอง แล้วก็ไปวิเคราะห์สังเกต จนใจคลายออกจากขันธ์ห้าหงายขึ้นมาหรือว่าแยกรูปแยกนามได้ ถึงจะเข้าใจในคําสอนของพระพุทธองค์ แต่เวลานี้เราอาจจะเข้าใจอยู่ในระดับของสมมติ คิดถูกทำถูก อยู่ในบุญในกุศล อยู่ในกองสัมมาทิฏฐิ แต่ยังเป็นสัมมาทิฏฐิที่ยังไม่รู้แจ้งเห็นจริง คือใจยังไม่ได้คลายออกจากขันธ์ห้าหรือว่าแยกรูปแยกนาม ถึงแยกรูปแยกนามได้ ถ้าเราขาดการตามทำความเข้าใจ ชี้เหตุชี้ผล จนใจมองเห็นความเป็นจริง รู้จักจุดปล่อยจุดวาง รู้จักจุดละ นั่นแหละถึงจะเข้าถึงความเป็นจริงได้ ถึงจะค่อยขัดเกลากิเลสได้
ความเพียรนั้นมีกันทุกคน จะอยู่ในระดับไหนเท่านั้นเอง อยู่ในระดับของสมมติ คือคิดถูกทำถูกอยู่ในกองบุญของกุศล เชื่อมั่นในพระรัตนตรัย เชื่อบุญเชื่อบาป แล้วก็อยู่ในคุณงามความดี อยู่ในการอบรมใจ อยู่ในระดับของสมมติ เราเจริญสติเข้าไปอบรมใจของเราบ่อยๆ รู้จักเอาสติปัญญาของเราไปใช้ได้ตลอดเวลา อบรมใจ ชี้เหตุชี้ผล ใจมีความโลภก็ละความโลภ ใจเกิดความโกรธก็ละความโกรธ คือทำในสิ่งตรงกันข้ามด้วยการให้อภัยอโหสิกรรม เรามีความเกียจคร้าน เราก็พยายามละความเกียจคร้าน สร้างความขยันหมั่นเพียร ใจของเรามีความแข็งกร้าว เราพยายามปรับสภาพใจของเราให้อยู่ในความอ่อนน้อม อยู่ในความอ่อนโยน แก้ไขตัวเราอยู่ตลอดเวลา ที่ท่านว่าตนเป็นที่พึ่งของตน
แต่เวลานี้ สติที่เราสร้างขึ้นมาอาจจะมีบ้างเป็นบางครั้งบางคราว เอาไปใช้การใช้งานไม่ได้ ก็เลยมีความเคยชินเก่าๆ ปัญญาเก่าๆ ที่เกิดจากใจบ้าง เกิดจากขันธ์ห้ารวมกับใจบ้าง หรือว่ารวมทั้งสติปัญญา รวมกันไปทั้งก้อน นั่นแหละคือความหลงอยู่ เราอาจจะว่าเราไม่หลง ถ้าเรามาสร้างความรู้ตัว จาก 1 ครั้ง 2 ครั้ง หายใจเข้าหายใจออกให้ต่อเนื่องกัน 5 นาที 10 นาที เป็นชั่วโมง กําลังสติของเรามีมากขึ้น เราก็จะรู้ว่าแต่ก่อนสติความรู้ตัวอยู่ปัจจุบันของเราไม่มีเลย มีตั้งแต่ความคิดเก่าๆ คิดไปนู่นคิดไปนี่
ความเกิด ความเกิดนั่นแหละคือความหลงอันละเอียดที่สุด ถ้าไม่หลงก็ไม่เกิด เกิดคิด เกิดสารพัดเรื่อง ตามปกติ บางคนอาจจะเข้าใจว่าคนยังมีลมหายใจอยู่ ต้องคิด ต้องทำ แต่ในหลักธรรม คิดได้อยู่แต่เป็นการคิดด้วยสติด้วยปัญญา ส่วนใจนั้นให้รับรู้ ผิดถูกชั่วดีสติปัญญาไปแก้ไข สติปัญญาเราสร้างขึ้นมาไปอบรมใจของเราให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น ทุกอิริยาบถ ยืนเดิน นั่งนอน กินอยู่ ขับถ่าย การได้ยินได้ฟังได้อ่าน รู้สึกว่าทุกคนมีกันเต็มเปี่ยม แต่การลงมือจริงๆ นี่ก็ต้องขยันหมั่นเพียรเป็นเลิศ ถึงจะเข้าถึง รู้เห็น รู้ด้วย เห็นด้วย ทำความเข้าใจได้ด้วย ทีนี้เราก็ละ เราจะละได้อีกหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับความเพียรของเรา ทุกคนก็มีบุญ อย่าพากันปล่อยวันเวลาทิ้ง เสียดายเวลา ก็ต้องพยายามกันนะ
การสร้างสะสมคุณงามความดี การสร้างสะสมบุญ ตื่นขึ้นมาเราก็ได้บุญแล้วแหละ ถ้าเราคนเรารู้จักเอา พอตื่นขึ้นมารู้ตัวปุ๊บ สติตั้งมั่นหรือไม่ รู้ใจของเราหรือเปล่า จะลุกจะก้าวจะเดินเข้าห้องส้วมห้องน้ำ ใจยังปกติดีอยู่หรือเปล่า ตากระทบรูปใจเป็นอย่างไร ความคิดผุดขึ้นมาใจเคลื่อนเข้าไปรวมได้อย่างไร หรือเกิดจากใจโดยตรง เราก็จะได้อยู่กับบุญอยู่กับวัด ทำกายให้เป็นวัดทำใจให้เป็นพระ เจริญสติเข้าไปเยี่ยมพระอยู่ตลอดเวลา จนเป็นอัตโนมัติ ในการดู ในการรู้ ในการทำความเข้าใจ ในการบริหารชีวิตของเราให้อยู่ในกองบุญ ถึงเราละไม่ได้เด็ดขาด ก็ขอให้อยู่ในกองบุญกองกุศล อยู่ในคุณงามความดี อย่าพากันผัดวันประกันพรุ่ง
หลวงพ่อก็ขอขอบใจคณะทางโฆษะ ที่ให้บริวารมาช่วยการช่วยงาน มาสร้างความขยัน มาสร้างความรับผิดชอบ หนักเอาเบาสู้ นี่แหละให้มาฝึกฝนตัวเรา มาทำกิจกรรมเป็นจิตอาสาเพื่อที่จะให้เกิดประโยชน์กับสถานที่บ้าง กับตัวเราบ้างกับคนอื่นบ้าง ฝากเอาไว้ในแต่ละที่แต่ละทาง หลวงพ่อก็ขอขอบใจมากๆ ส่งถึงผู้บริหารด้วยที่มีแนวทาง แล้วบริวารก็ได้มาพักผ่อนด้วย พักผ่อนกายพักผ่อนใจ ไม่ต้องไปตึงเครียดกับภาระหน้าที่การงานที่เคยๆ ทำเอาไว้
ถึงมาทำการทำงานก็เป็นงานที่มีความเสียสละ เป็นงานของส่วนรวม ไม่ใช่ของส่วนตัว เพื่อให้เกิดประโยชน์ เปลี่ยนบรรยากาศ ทีนี้เราก็รู้จักพิจารณาตัวเรา เราทำตามหน้าที่ของเราได้ดีแล้วหรือยัง เรามีความรับผิดชอบต่อภาระหน้าที่การงานของเราแล้วหรือยัง อะไรขาดตกบกพร่อง เรามีความอ่อนน้อมถ่อมตน เรามีความเสียสละ เรามีความรับผิดชอบต่อภาระหน้าที่การงานที่เรามีความรับผิดชอบหรือไม่ นี่แหละเพื่อที่จะเอาไปใช้ เอาไปพัฒนากับชีวิตของเรา เอาไปใช้ให้เกิดประโยชน์
เอาล่ะ วันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อ ทำความเข้าใจกันนะ
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 8 พฤศจิกายน 2561
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาเราได้สร้างความรู้ตัวแล้วหรือยัง ถ้ายังก็เริ่มเสียนะ ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียกไปด้วย ไม่ต้องประนมมือ
ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ อย่าไปบังคับลมหายใจ ความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ ก็จะหยุดระงับลงไปทันที ถ้าเราสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ความรู้สึกสัมผัสของลมที่กระทบปลายจมูกของเรา นั่นแหละเขาเรียกว่า สติรู้กาย เราพยายามสร้างขึ้นมาให้ต่อเนื่อง ถ้าความสืบต่อหรือว่าต่อเนื่อง เราก็จะรู้ลักษณะใจ ใจที่ปกติ ใจที่เกิดส่งออกไปภายนอก ก็จะเห็นเป็นคนละส่วนกัน
บางทีความคิด หรือว่าภาษาธรรมะท่านเรียกว่า อาการของขันธ์ห้า ความคิดที่ไม่ได้ตั้งใจคิดผุดขึ้นมา ถ้าเรามีความรู้ตัวอยู่ขณะปัจจุบัน เราก็จะเห็นอาการการผุดของความคิดนั้นๆ เราก็จะเห็นการเคลื่อนของใจเข้าไปรวมเป็นสิ่งเดียวกัน แล้วก็ปรุงแต่งไปด้วยกัน นั่นแหละคือความหลงอันละเอียด หลงมาหลายชั้น ใจของคนเรานี่หลงมาตั้งแต่ยังไม่ได้เกิดนะ ตั้งแต่ยังไม่ได้มาเกิดอยู่ในภพมนุษย์ หลงมาเกิด หลงแล้วก็มาสร้างภพมนุษย์ มาสร้างขันธ์ห้า มาสร้างร่างกาย ที่พระพุทธองค์ท่านบอกว่าเป็นกองเป็นขันธ์ เป็นขันธ์เป็นกองได้อย่างไร
นอกจากบุคคลที่มาเจริญสติให้ต่อเนื่อง แล้วก็รู้จักเอาสติปัญญาไปอบรมใจของตัวเอง แล้วก็ไปวิเคราะห์สังเกต จนใจคลายออกจากขันธ์ห้าหงายขึ้นมาหรือว่าแยกรูปแยกนามได้ ถึงจะเข้าใจในคําสอนของพระพุทธองค์ แต่เวลานี้เราอาจจะเข้าใจอยู่ในระดับของสมมติ คิดถูกทำถูก อยู่ในบุญในกุศล อยู่ในกองสัมมาทิฏฐิ แต่ยังเป็นสัมมาทิฏฐิที่ยังไม่รู้แจ้งเห็นจริง คือใจยังไม่ได้คลายออกจากขันธ์ห้าหรือว่าแยกรูปแยกนาม ถึงแยกรูปแยกนามได้ ถ้าเราขาดการตามทำความเข้าใจ ชี้เหตุชี้ผล จนใจมองเห็นความเป็นจริง รู้จักจุดปล่อยจุดวาง รู้จักจุดละ นั่นแหละถึงจะเข้าถึงความเป็นจริงได้ ถึงจะค่อยขัดเกลากิเลสได้
ความเพียรนั้นมีกันทุกคน จะอยู่ในระดับไหนเท่านั้นเอง อยู่ในระดับของสมมติ คือคิดถูกทำถูกอยู่ในกองบุญของกุศล เชื่อมั่นในพระรัตนตรัย เชื่อบุญเชื่อบาป แล้วก็อยู่ในคุณงามความดี อยู่ในการอบรมใจ อยู่ในระดับของสมมติ เราเจริญสติเข้าไปอบรมใจของเราบ่อยๆ รู้จักเอาสติปัญญาของเราไปใช้ได้ตลอดเวลา อบรมใจ ชี้เหตุชี้ผล ใจมีความโลภก็ละความโลภ ใจเกิดความโกรธก็ละความโกรธ คือทำในสิ่งตรงกันข้ามด้วยการให้อภัยอโหสิกรรม เรามีความเกียจคร้าน เราก็พยายามละความเกียจคร้าน สร้างความขยันหมั่นเพียร ใจของเรามีความแข็งกร้าว เราพยายามปรับสภาพใจของเราให้อยู่ในความอ่อนน้อม อยู่ในความอ่อนโยน แก้ไขตัวเราอยู่ตลอดเวลา ที่ท่านว่าตนเป็นที่พึ่งของตน
แต่เวลานี้ สติที่เราสร้างขึ้นมาอาจจะมีบ้างเป็นบางครั้งบางคราว เอาไปใช้การใช้งานไม่ได้ ก็เลยมีความเคยชินเก่าๆ ปัญญาเก่าๆ ที่เกิดจากใจบ้าง เกิดจากขันธ์ห้ารวมกับใจบ้าง หรือว่ารวมทั้งสติปัญญา รวมกันไปทั้งก้อน นั่นแหละคือความหลงอยู่ เราอาจจะว่าเราไม่หลง ถ้าเรามาสร้างความรู้ตัว จาก 1 ครั้ง 2 ครั้ง หายใจเข้าหายใจออกให้ต่อเนื่องกัน 5 นาที 10 นาที เป็นชั่วโมง กําลังสติของเรามีมากขึ้น เราก็จะรู้ว่าแต่ก่อนสติความรู้ตัวอยู่ปัจจุบันของเราไม่มีเลย มีตั้งแต่ความคิดเก่าๆ คิดไปนู่นคิดไปนี่
ความเกิด ความเกิดนั่นแหละคือความหลงอันละเอียดที่สุด ถ้าไม่หลงก็ไม่เกิด เกิดคิด เกิดสารพัดเรื่อง ตามปกติ บางคนอาจจะเข้าใจว่าคนยังมีลมหายใจอยู่ ต้องคิด ต้องทำ แต่ในหลักธรรม คิดได้อยู่แต่เป็นการคิดด้วยสติด้วยปัญญา ส่วนใจนั้นให้รับรู้ ผิดถูกชั่วดีสติปัญญาไปแก้ไข สติปัญญาเราสร้างขึ้นมาไปอบรมใจของเราให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น ทุกอิริยาบถ ยืนเดิน นั่งนอน กินอยู่ ขับถ่าย การได้ยินได้ฟังได้อ่าน รู้สึกว่าทุกคนมีกันเต็มเปี่ยม แต่การลงมือจริงๆ นี่ก็ต้องขยันหมั่นเพียรเป็นเลิศ ถึงจะเข้าถึง รู้เห็น รู้ด้วย เห็นด้วย ทำความเข้าใจได้ด้วย ทีนี้เราก็ละ เราจะละได้อีกหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับความเพียรของเรา ทุกคนก็มีบุญ อย่าพากันปล่อยวันเวลาทิ้ง เสียดายเวลา ก็ต้องพยายามกันนะ
การสร้างสะสมคุณงามความดี การสร้างสะสมบุญ ตื่นขึ้นมาเราก็ได้บุญแล้วแหละ ถ้าเราคนเรารู้จักเอา พอตื่นขึ้นมารู้ตัวปุ๊บ สติตั้งมั่นหรือไม่ รู้ใจของเราหรือเปล่า จะลุกจะก้าวจะเดินเข้าห้องส้วมห้องน้ำ ใจยังปกติดีอยู่หรือเปล่า ตากระทบรูปใจเป็นอย่างไร ความคิดผุดขึ้นมาใจเคลื่อนเข้าไปรวมได้อย่างไร หรือเกิดจากใจโดยตรง เราก็จะได้อยู่กับบุญอยู่กับวัด ทำกายให้เป็นวัดทำใจให้เป็นพระ เจริญสติเข้าไปเยี่ยมพระอยู่ตลอดเวลา จนเป็นอัตโนมัติ ในการดู ในการรู้ ในการทำความเข้าใจ ในการบริหารชีวิตของเราให้อยู่ในกองบุญ ถึงเราละไม่ได้เด็ดขาด ก็ขอให้อยู่ในกองบุญกองกุศล อยู่ในคุณงามความดี อย่าพากันผัดวันประกันพรุ่ง
หลวงพ่อก็ขอขอบใจคณะทางโฆษะ ที่ให้บริวารมาช่วยการช่วยงาน มาสร้างความขยัน มาสร้างความรับผิดชอบ หนักเอาเบาสู้ นี่แหละให้มาฝึกฝนตัวเรา มาทำกิจกรรมเป็นจิตอาสาเพื่อที่จะให้เกิดประโยชน์กับสถานที่บ้าง กับตัวเราบ้างกับคนอื่นบ้าง ฝากเอาไว้ในแต่ละที่แต่ละทาง หลวงพ่อก็ขอขอบใจมากๆ ส่งถึงผู้บริหารด้วยที่มีแนวทาง แล้วบริวารก็ได้มาพักผ่อนด้วย พักผ่อนกายพักผ่อนใจ ไม่ต้องไปตึงเครียดกับภาระหน้าที่การงานที่เคยๆ ทำเอาไว้
ถึงมาทำการทำงานก็เป็นงานที่มีความเสียสละ เป็นงานของส่วนรวม ไม่ใช่ของส่วนตัว เพื่อให้เกิดประโยชน์ เปลี่ยนบรรยากาศ ทีนี้เราก็รู้จักพิจารณาตัวเรา เราทำตามหน้าที่ของเราได้ดีแล้วหรือยัง เรามีความรับผิดชอบต่อภาระหน้าที่การงานของเราแล้วหรือยัง อะไรขาดตกบกพร่อง เรามีความอ่อนน้อมถ่อมตน เรามีความเสียสละ เรามีความรับผิดชอบต่อภาระหน้าที่การงานที่เรามีความรับผิดชอบหรือไม่ นี่แหละเพื่อที่จะเอาไปใช้ เอาไปพัฒนากับชีวิตของเรา เอาไปใช้ให้เกิดประโยชน์
เอาล่ะ วันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อ ทำความเข้าใจกันนะ