หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2561 ลำดับที่ 74 วันที่ 12 ตุลาคม 2561
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2561 ลำดับที่ 74 วันที่ 12 ตุลาคม 2561
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2561
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2561 ลำดับที่ 74
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 12 ตุลาคม 2561
มีความสุขกันทุกคน วันนี้ก็เป็นวันที่ 12 สิบสองตรงกับวันศุกร์ ตอนเช้าๆ อากาศก็เย็น เริ่มสงสัยคงจะหนาวเข้ามาแล้ว คงจะเปลี่ยนฤดูกาล ตอนเช้าๆ ตื่นขึ้นมา ละความเกียจคร้าน หัดสังเกตหัดวิเคราะห์ใจของตัวเรา อะไรเรายังขาดตกบกพร่องเราก็พยายามพิจารณาใจของเรา
วันเดือนปีผ่านไปเร็วไว อันนี้ก็ใกล้จะออกพรรษาแล้ว เหลืออีกสิบกว่าวันก็จะออกพรรษา เผลอแผล็บเดียว เผลอแผล็บเดียวแก่ลงไปอีกหนึ่งปี ใกล้ความตายเข้าไปแล้ว ความตายนี่ไม่ได้เลือกกาลเลือกเวลา อันนี้มีรายการส่งมาจากปักธงชัยที่มอบโลงศพให้ทางปักธงชัยหมดไปแล้ว 63 โลง 63 ราย ก็เยอะอยู่เหมือนกัน เผลอแผล็บเดียวที่ขอนแก่นเราก็ปาเข้าไปทั้ง 1,300 กว่าโลง นี่แหละถ้าจับมานั่งร่วมกันก็คงจะล้นศาลากันไปหมด ก็ได้อนุเคราะห์โลงศพ ทั้งเงินช่วยเหลือ อนุเคราะห์ให้ศพละ 5,000 ก็หมดไปเยอะ ญาติโยมท่านใดอยากจะมาร่วมช่วยเหลือพี่น้องเราก็ขอเชิญได้
มีโอกาส โอกาสเปิดกาลเวลาเปิด ไม่ว่างานภายนอกงานภายใน งานภายในก็เจริญสติปัญญาไปแก้ไข ละกิเลส หมั่นอบรมใจของเรา เจริญปัญญาไปทะเลาะกับกิเลส ไปแก้ไขกิเลส กิเลสความโลภ ความโกรธ ความอยาก ความโกรธเกิดขึ้นมาก็รู้จักหยุดรู้จักดับ รู้จักให้อภัยอโหสิกรรม ขัดเกลาออกจากจิตใจของเรา ไม่ใช่ว่าแต่ตื่นมาแต่ละวันมีแต่เรื่องของคนอื่น มีแต่เรื่องของเราทั้งนั้น ความโลภ ความโกรธ ความอยากก็มีแต่เรื่องภายในใจของเรา เจริญสติไปอบรมใจของเราให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น ถ้าอบรมใจไม่ได้มันก็ไปอาละวาดอันโน้นบ้างอันนี้บ้าง สิ่งโน้นบ้างสิ่งนี้บ้าง
อยู่ด้วยกันก็ทะเลาะเบาะแว้งกันเหมือนกันกับสมัยก่อนนะ สมัยก่อนได้ยินข่าวคงจะได้ยินข่าวอยู่ พระหลวงปู่หลวงตาทางอุดรมาบวช ปลดเกษียณแล้วก็มาบวช เป็นเพื่อนกันมาบวช คนหนึ่งบวชอยู่ฝ่ายธรรมยุต คนหนึ่งบวชอยู่ฝ่ายมหานิกาย มาเจอกันแล้วมาคุยธรรมะกัน มาเจอกันแล้วก็มาคุยกัน พระที่บวชธรรมยุตนั่นก็บอกว่าตัวเองเก่งตัวเองเคร่ง ฉันข้าวมื้อเดียว มหานิกายไม่เก่งไม่เคร่งเหมือนกับตัวเอง พูดคุยกันไปพูดคุยกันมาธรรมะไม่ลงกัน หลวงตามหานิกายนั้นจ้วงแทงหลวงตาธรรมยุตตายเลย เก่ง เก่งกับเคร่งมาเจอกัน ธรรมะไม่ลงกัน ตีกันมันน่าอายหนอ น่าอายไปขอข้าวชาวบ้านเขามากินอิ่มแล้วก็มาทะเลาะกัน ไม่ว่าอยู่ที่ไหน ถ้าพูดตามความเป็นจริงในหลักธรรมก็คือขอแหละ บิณฑบาตก็คือขอ ไปขอข้าวมาจากชาวบ้าน ชาวบ้านเขาทำบุญก็อยากจะได้บุญมีความสุข มีตั้งแต่ของดีๆ มาให้มาใส่ กินอิ่มแล้วก็ไปคุยธรรมกัน คุยกันตกลงกันไม่ได้ก็ไปทะเลาะกันตีกัน ตีกันหัวร้างข้างแตกก็มีเยอะได้ยินข่าว ได้ยินข่าวทราบข่าว อยู่ที่วัดเราคงไม่มี เพราะว่ารู้จักแก้ไขตัวเอง ปรับปรุงตัวเอง ถ้ามีก็รีบแก้ไข น่าละอาย
เพียงแค่ในหลักธรรมท่านให้จัดการตั้งแต่ความคิด ตั้งแต่จิตใจ ตั้งแต่การเกิด ดับความเกิด ดับความเกิดไม่ได้ ท่านก็ไม่ให้ออกทางวาจา ถ้าจะออกดับทางวาจาไม่ได้ ท่านก็ให้ใช้ปัญญาหลบหลีก ให้เจริญพรหมวิหารเข้าไปทดแทน มองโลกในทางที่ดี คิดดี ให้อภัยซึ่งกันและกัน ผู้น้อยก็อภัยผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่ก็ให้อภัยผู้น้อย ต่างคนก็ต่างเคารพกันซึ่งกันและกันมันก็สงบ เจริญปัญญาไปทะเลาะเบาะแว้งกับกิเลสภายในให้มันจบ แก้ไขตัวเรา
งานภายนอกเราก็ช่วยกัน ช่วยกันทำปัจจัยสี่โลกธรรมไม่ให้ลําบาก สมัยก่อนลําบาก หลวงพ่อมาอยู่รูปเดียวเนี่ย 5-6 ปี แต่ก่อนมันรก ตั้งแต่สามสิบปีเนี่ยเดินไปที่ไหนขาถลอกปอกเปิก กองกระดูกนี่เต็มเกลื่อนหมด มาทำความสะอาด มาปักกลดอยู่หลุมโน้นบ้างหลุมนี้บ้างภายในป่า ทำความสะอาดก็จะให้พวกท่านได้อยู่ดีมีความสุขทั้งกลางวันทั้งกลางคืน อยากให้ทุกคนได้อยู่ดีมีความสุข ได้มาฝึกหัดปฏิบัตินี่แหละ
ถ้าไม่เข้าใจในเรื่องการดำเนิน ในเรื่องการละกิเลส กิเลสภายในก็ไม่รู้จักละ เหตุการณ์ภายนอกก็ไม่รู้จักทำความเข้าใจ ไปที่ไหนก็เลยวุ่นวาย วุ่นวายตัวเรา วุ่นวายคนอื่น วุ่นวายสถานที่ น่าละอาย เป็นบุคคลที่น่าสงสาร ไม่รู้จักแก้ไขตัวเองปรับปรุงตัวเอง ไปที่ไหนก็ว่าตั้งแต่ตัวเองเก่ง เก่งไปเก่งมาก็ทะเลาะเบาะแว้งกันตีกันธรรมะไม่ลงกัน เห็นหลวงตาสมัยก่อนมาอยู่ด้วย อยู่ด้วย 2 รูป 3 รูป ตกเย็นมาก็ไปนั่งดื่มน้ำชาด้วยกัน คุยกันกระหนุงกระหนิง ธรรมะมันลงกัน คุยกันไปคุยกันมาไม่ถึง 15 วัน ไปคนละทิศ หลวงตาทำไมไม่ไปดื่มน้ำชาด้วยกัน ธรรมะไม่ลงกันนะ ผู้เฒ่า ไม่ว่าผู้เฒ่าไม่ว่าเด็กนั่นแหละ ถ้ากิเลสมันเกิดขึ้นที่ใครก็พยายามขัดพยายามเกลา พยายามละ มันไม่ดีเลยๆ
เราพยายามขัดเกลาตัวเราทุกเรื่อง ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาความเกียจคร้านมีไหมละความเกียจคร้าน ความรับผิดชอบมีหรือเปล่า สร้างความรับผิดชอบความขยันหมั่นเพียร ความรับผิดชอบเราต้องพยายามทำให้มีให้เกิดขึ้นที่ใจของเรา เป็นบุคคลที่มีความขยัน เป็นบุคคลที่มีความรับผิดชอบ เป็นบุคคลที่รู้จักฝักใฝ่สนใจ อะไรควรละ อะไรควรเจริญ อะไรควรดำเนิน หมั่นพร่ำสอนใจของเราอยู่ตลอดเวลา ทั้งใจทั้งกายอยู่ตลอดเวลา มันถึงจะถูกต้อง
ไม่ใช่ว่าตื่นขึ้นมามีแต่เรื่องคนโน้นเป็นอย่างนั้น คนนั้นเป็นอย่างนี้ กิเลสมันเล่นงานเอา ยิ่งเป็นพระเป็นชีถ้าไม่ทำความเข้าใจนี่ละอาย น่าละอายนะ ญาติโยมอยู่ใกล้อยู่ไกลมีโอกาสรีบฝักใฝ่สนใจมาช่วยกันทำอันโน้นบ้างอันนี้บ้างเพราะว่าอยากจะได้บุญ เรามีหน้าที่ตรงนี้เราพยายามทำกายทำใจของเราให้เป็นบุญ ให้เหมาะสมกับที่ญาติโยมได้มาทำบุญ ใจของเราสะอาดแล้วหรือยัง ใจของเราบริสุทธิ์แล้วหรือยัง เราขัดเกลากิเลสออกจากจิตจากใจของเราได้แล้วหรือยัง ต้องพยายามพิจารณา
ยิ่งอยู่ด้วยกันเยอะๆ ทั้งพระ ทั้งเณร ทั้งชี อยู่ด้วยกัน อยู่คนละทิศละที่ละทางมาอยู่รวมกันเราก็ต้องพยายาม ความสมัครสมานสามัคคีมีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน รู้จักแก้ไขรู้จักปรับปรุง ไม่ใช่ว่าอยู่ด้วยกันก็จับเป็นก๊กเป็นเหล่าทะเลาะเบาะแว้งกันมันน่าละอายอยู่ ถ้าที่ไหนมี ถ้าที่เกิดขึ้นที่ไหน ก็ต้องแก้ไขให้เร็วให้ไว อันนี้ก็พูดเรื่องภายนอกที่เคยได้ยินได้ฟังมาที่เคยได้เห็นมาหรอก อยู่ที่นี่คงไม่มี ถ้ามีก็รู้จักพิจารณาตัวเอง ให้เร็วให้ไว ท่านถึงบอกว่าให้เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานจากกิเลส เบิกบานจากการทำใจให้สะอาดให้บริสุทธิ์ สนุกในการดูในการรู้สนุกในการสร้างบุญ บุญสมมติเราก็ทำ
ปลูกป่า หลวงพ่อก็พาปลูกป่าให้น่าอยู่น่ารื่นรมย์ อยากจะได้ป่าไม่ปลูกป่ามันก็ไม่ได้ป่า ปลูกมันทุกวันปลูกมันทุกปิ มันก็ได้ป่าร่มรื่นอย่างที่พวกท่านได้มาเห็นนี่แหละ สมัยก่อนมีตั้งแต่ป่ารก ป่าเพ็ก ป่าหนาม ป่าเล็บแมว กว่าจะปลูกต้นไม้ได้แต่ละต้นต้องเอารากเพ็กออกนี่เต็มไปหมด กําจัดรากเพ็กรากหญ้าคาออกถึงปลูกได้ ปลูกได้ยังไม่พอก็ต้องใส่ หมั่นรดน้ำให้ปุ๋ย สมัยก่อนไม่มีน้ำก็ไปเข็นเอากลางทุ่งมารด บางทีก็ไปเข็นเอาบ่อที่โรงเรียนมารถ กว่าจะได้ขึ้นมาให้ ให้ร่มเงาให้ได้ความร่มรื่นร่มเย็น
ที่พักที่อาศัยก็ไม่มีก็อุตส่าห์เก็บหอมรอมริบ ค่อยทำค่อยเป็นค่อยไปให้ทุกคนได้อยู่ได้อาศัยไม่เหมือนกับทุกวัน ทุกวันนี้ญาติโยมก็อยากจะมาร่วมบุญ มาทำมาช่วย คิดอะไรทำอะไรญาติโยมก็ฝักใฝ่สนใจมาช่วย ตั้งแต่ถนนหนทาง สมัยก่อนยังเป็นทะเลเลย ทางวัวควายเดินนี่เดินมาแทบไม่ได้ต้องขนดิน ต้องปรับทั้งกลางคืนทั้งกลางวัน ทำอยู่องค์เดียวทำอยู่คนเดียว ให้พวกท่านให้ทุกคนได้อยู่ดีมีความสุข
แม้ตั้งแต่ศาลาที่พวกท่านนั่งอยู่นี่หลวงพ่อก็ขนดินอยู่คนเดียวนี่แหละ ขุดลงไปตรงไหนก็เจอตั้งแต่ไหกระดูก กว่าจะได้เป็นป่าเป็นธรรมชาติให้ทุกคนได้อยู่ได้อาศัย ได้รับความร่มรื่นร่มเย็น ก็อาศัยกาลอาศัยเวลา อาศัยหมู่คณะที่เพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ มาช่วยกัน รุ่นโน้นบ้างรุ่นนี้บ้างจนเป็นป่าได้อาศัย คนรุ่นหลังมาก็ได้สะดวกสบาย คนรุ่นหลังมาแล้วก็ได้เร่งทำความเพียรต่อ สร้างความขยันหมั่นเพียรต่อ อะไรขาดตกบกพร่องเราก็ช่วยกัน
วันนี้ก็ได้จะได้ช่วยกันเคลียร์ดินที่เอามาให้ ช่วยกันมีกระป๋องมีคุณญาติโยมก็มาช่วยกันได้ เรามาสร้างความขยัน สร้างความรับผิดชอบ สร้างความเสียสละ หนักเอาเบาสู้ ถ้าหนักไม่เอาเบาไม่สู้ สร้างสะสมตั้งแต่ความเกียจคร้านไปอยู่ที่ไหนก็มีตั้งแต่ความเกียจคร้านเข้าครอบงำ ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ใช้ตัวเองไม่เป็นไม่เกิดประโยชน์ ไปที่ไหนก็มีตั้งแต่ความทุกข์ ความลําบาก เราต้องไปฝึกหัดช่วยเหลือตัวเองให้ได้ทุกเรื่องตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ที่พักที่อาศัย ที่หลับที่นอน ห้องส้วมห้องน้ำ ที่ถ่ายที่เยี่ยว ถ้าไม่มีก็ลําบาก อุตส่าห์ทำให้มี ให้มีทุกอย่างแล้วก็ไม่ช่วยกัน ช่วยกันดูแลรักษา ช่วยกันทำความสะอาดให้น่าอยู่น่าอาศัย มันถึงจะถูกต้อง
ปฏิบัติธรรมก็คือการทำความเข้าใจให้ถูกต้อง ความเข้าใจในชีวิตของเราประกอบขึ้นมาด้วยอะไร ที่ท่านบอกว่าธาตุสี่ขันธ์ห้าเป็นอย่างไร วิญญาณในกายเป็นอย่างไร เราขัดเกลากิเลสได้แล้วหรือยัง สมมติภายนอกอะไรเรายังขาดตกบกพร่อง เราก็พยายามรีบทำ ให้จนล้นจนเหลือ ไม่ใช่มามัวเมาตั้งแต่ทะเลาะเบาะแว้งกัน กูดีมึงดี มันไม่ดีแหละมันถึงทะเลาะกันได้ มันถึงตีกันได้กิเลส เราต้องเจริญปัญญาไปอบรมใจ ละกิเลสออกจากใจของเรา มันถึงจะดี
ที่มาบวช มาฝึกก็เพื่อที่จะมาขัดเกลาตัวเองนั่นแหละ ยิ่งมาบวชแล้วก็ยิ่งมาสร้างสะสมกิเลสมากขึ้นเป็นทวีคูณแล้วก็ใช้การไม่ได้ เราต้องพยายามมาขัดเกลากิเลส วันนี้ได้เท่านี้ ตัวไหนเกิดก่อนเราก็จัดการตรงนั้น เกิดความโลภด้วยการให้ด้วยการเอาออก ความโกรธเกิดขึ้นเราก็รู้จักหยุดรู้จักดับ ดับตั้งแต่ภายในไม่ให้มันเกิดขึ้นที่ใจ แล้วก็ให้อภัย ไม่ใช่ว่าภายในก็ไม่ดับ วาจาก็ไม่รู้จักรักษา ลุกขึ้นต่อยตีกัน น่าละอายนะ พระก็มีกิเลสเยอะ เณรก็มีกิเลสเยอะ ชีก็มีกิเลสเยอะ
พวกชีก็เหมือนกัน อยู่หลายคนหลายองค์คงไม่เหมือนที่อื่นที่ได้เคยได้ยินข่าว ปี 56 หลายปีแล้วแหละ เรื่องนี้หลวงพ่อก็เคยเล่าให้ฟังบ่อยอยู่ มาหาหลวงพ่อมาคุยธรรมะมีความสุขอย่างนั้นอย่างนี้ 5-6 คน อยู่แถวๆ ทางบ้านไผ่ ทางบ้านแฮด มา 5-6 คน มาคุยธรรมะกันว่ามีความสุข เข้าใจในธรรมดี หลวงตาอยู่ที่โน่นท่านก็เลยบอกห้ามคุยกัน มีอะไรก็ให้ช่วยกันทำ บอกว่าอย่างนั้น โกรธให้หลวงตา หลวงตานอนหลับอยู่เอาค้อนไปขว้างใส่กุฏิหลวงตา โกรธด้วยหลวงตา ธรรมะ ธรรมะว่าหลวงตามาบอกไม่ให้คุยกัน หลวงตาก็สั่งสึกหมดทุกคนไล่ออกจากวัด ไล่ออกจากวัด เห็นพากันมาหาหลวงพ่อร้องห่มร้องไห้ว่าหลวงตาไล่ให้สึกไล่ออกจากวัด ทำไม สาเหตุว่าเอาค้อนไปขว้างในกุฏิหลวงตา หลวงตาบอกไม่ฟัง อยากจะมาขอบวชชีใหม่ให้หลวงพ่อบวชให้หน่อย ว่าอย่างนี้ หลวงพ่อก็เลยบอกไม่ได้ๆ ถ้าจะกลับบวชใหม่ก็ต้องไปให้หลวงตาที่ท่านไล่นั่นแหละเป็นองค์บวชให้ ต้องกลับไปแก้ไขใหม่ ทุกวันนี้ไปอย่างไรก็ไม่รู้ ฝึกไปฝึกมาไปผูกคอตายก็มี เพราะว่าธรรมะ ธรรมะไม่ลงตัวมันเลยไปผูกคอตาย
นี่แหละคนเราถ้าไม่รู้จักแก้ไขตัวเองปรับปรุงตัวเอง สร้างความขยัน สร้างความรับผิดชอบ มาวัดแทนที่จะขยันกลับเกียจคร้าน มันใช้การได้ที่ไหน มีตั้งแต่คอยหลบคอยหลีก เราต้องสร้างความขยันหมั่นเพียร ขัดเกลา ทั้งละกิเลส ทั้งการให้ การเอาออก ทั้งความเสียสละ มีสัจจะ มีความเพียร ละความเกียจคร้าน
แม้แต่การรับประทานข้าวปลาอาหาร เราก็รู้จักพิจารณาที่ภาษาธรรมะท่านว่าปฏิสังขาโย กะประมาณในการขบฉันของตัวเรา ใจเกิดความอยากหรือกายเกิดความหิว เราต้องดู จําแนกแจกแจงทวารทั้งหก ซึ่งเขาทำหน้าที่ เขาแยกรูป รส กลิ่น เสียงออกจากใจของตัวเรา ไม่ใช่ว่าจะเอาตั้งแต่มัวเมาเล่นสนุกสนาน เกียจคร้าน หนักไม่เอาเบาไม่สู้ ไปที่ไหนมันจะช่วยเหลือตัวเองได้
เราต้องเป็นคนที่เตรียมพร้อมทุกอย่าง เตรียมพร้อมจะล้นออกไปสู่หมู่สู่คณะ มันถึงจะถูกต้อง อันนี้เล่าให้ฟังนะ เล่าให้ฟังเฉยๆ ถ้ามีก็พยายามแก้ไข อย่าให้ได้ยิน
ตั้งใจรับพรกัน
—--
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของตัวเราให้ต่อเนื่องให้ชัดเจน นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย วางใจให้สบาย ไม่ต้องพนมมือ ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียกไปด้วย หลวงพ่อก็เพียงแค่บอกแค่กล่าว ชี้แนะวิธีการแนวทางในการเจริญสติ ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียกไปด้วย ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ สัก 2-3 เที่ยว อย่าไปบังคับลมหายใจ ให้หายใจให้เป็นธรรมชาติที่สุด เวลาเราหายใจเข้าไปยาวๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ กายของเราก็จะสบายขึ้นเยอะ ใจของเราก็จะสงบตั้งมั่นขึ้น ความรู้สึกสัมผัสของลมหายใจที่กระทบปลายจมูกของเราก็จะชัดเจน เราพยายามสร้างความรู้ตรงนี้แหละ
ตั้งแต่ตื่นขึ้นตั้งแต่ยังไม่รู้จากที่พยายามสนใจหน่อย ได้ต่อเนื่องกันนาที 2 นาที 3 นาที จนความรู้ตัวของเราต่อเนื่อง เราก็จะเห็นรู้เท่าทันการเกิดของใจ ความคิดเก่าที่เกิดจากใจนี้นั้นมีอยู่เดิม ความคิดที่เกิดจากขันธ์ห้านั้นมีอยู่เดิม เขารวมกันไปทำให้เกิดอัตตาตัวตน กายก็เลยหนัก ใจก็เลยหนัก หมุนเป็นวงกลมไปด้วยกัน
ถ้าเรามาเจริญสติให้ต่อเนื่อง กําลังสติของเราเข้มแข็งต่อเนื่องจนรู้ลักษณะการเกิดของใจ จนใจคลายออกจากขันธ์ห้า ซึ่งเรียกว่า แยกรูปแยกนาม ตามดูรู้เห็นตามความเป็นจริงเราก็จะเข้าใจในคําสอนของพระพุทธองค์ กําลังสติของเราก็จะพุ่งแรง ค้นคว้าทำความเข้าใจ ชี้เหตุชี้ผล เห็นเหตุเห็นผล รู้จักขัดเกลา รู้จักละกิเลสออกจากใจของเรา ไม่ใช่ว่าสร้างสะสมตั้งแต่กิเลส สร้างตบะบารมี กําลังสติของเรามีเพียงพอหรือไม่ เอาไปใช้การใช้งานได้หรือไม่ กิเลสของเราเบาบางลงหรือเปล่า เราก็พยายามแก้ไขตัวเรา
ใจของเราอยู่ในกองบุญกองกุศลหรือไม่ หรือว่ามีตั้งแต่อกุศลกิเลสหยาบกิเลสละเอียด ยิ่งฝึกไปเท่าไรยิ่งเห็นเยอะ ยิ่งเห็นเยอะเท่าไรเราก็ยิ่งทำความเข้าใจแล้วก็ค่อยละ ค่อยขัด ค่อยเกลา เอาออกจากใจของเราวันละเล็กละน้อย วันนี้เราทำได้เท่านี้ วันพรุ่งนี้ เดือนนี้เดือนหน้า ไม่หมดจริงจะไปต่อเอาภพหน้า การทำบุญให้ทาน ความเสียสละเราก็มี ความรับผิดชอบเราก็มี รู้จักละอาย รู้จักกล้าหาญในสิ่งที่ควรกล้าหาญ
พระพุทธองค์ท่านสอนเรื่องอะไรเราพยายามศึกษาน้อมนําให้ปรากฏขึ้นที่ใจของเรา ท่านถึงบอกให้เชื่อไม่ใช่ว่าศรัทธาปฏิบัติแบบหลงงมงาย ศรัทธาก็ต้องให้เป็นศรัทธาที่เกิดจากปัญญา การเจริญปัญญารู้แจ้งเห็นจริง เห็นจริงด้วยแล้วก็เข้าถึงสิ่งนั้นด้วย เข้าถึงความบริสุทธิ์ รู้จักอันนี้ใจที่ปราศจากกิเลสเป็นอย่างนี้ ใจที่ไม่เกิดเป็นอย่างนี้ กายวิเวกเป็นอย่างนี้ ใจวิเวกเป็นอย่างนี้ โลกธรรมเป็นอย่างนี้ หลักของความจริงอันประเสริฐหรือว่าอริยสัจ ความเกิดความดับ ใจส่งไปภายนอกเป็นลักษณะอย่างนี้ มีอยู่ในกายของเราหมด เว้นเสียแต่ว่าพวกเราจะค้นคว้าทำความเข้าใจให้รู้แจ้งเห็นจริงหรือไม่ อย่าเอาตั้งแต่สะสมตั้งแต่กิเลสเข้ามาทับถมดวงใจของเรา เราพยายามขัดเกลาแก้ไข
หลวงพ่อก็เล่าสิ่งนี้มาร่วม 30 ปี ย่อเฉพาะสิ่งเดียวนี่แหละไม่เอาอันอื่นเพราะว่าเป็นสิ่งที่ทุกคนจะต้องรู้ เพราะเป็นเรื่องของทุกคน ก่อนที่ธาตุขันธ์จะแตกจะดับ ก่อนที่จะหมดลมหายใจ อย่างน้อยๆ ถ้าไม่ถึงจุดหมายปลายทางก็ให้รู้จัก อานิสงส์ผลบุญผลทานฝากฝังเอาไว้ รู้จักแก้ไขตัวเราไม่ให้ตกไปสู่ที่อันลําบาก ก็ต้องพยายามกันนะ
สร้างความรู้ตัวให้ชัดเจนให้ต่อเนื่องกันสักนิดหนึ่งก็ยังดี
พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พยายามศึกษาทำความเข้าใจต่อให้รู้ทุกอิริยาบถ
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 12 ตุลาคม 2561
มีความสุขกันทุกคน วันนี้ก็เป็นวันที่ 12 สิบสองตรงกับวันศุกร์ ตอนเช้าๆ อากาศก็เย็น เริ่มสงสัยคงจะหนาวเข้ามาแล้ว คงจะเปลี่ยนฤดูกาล ตอนเช้าๆ ตื่นขึ้นมา ละความเกียจคร้าน หัดสังเกตหัดวิเคราะห์ใจของตัวเรา อะไรเรายังขาดตกบกพร่องเราก็พยายามพิจารณาใจของเรา
วันเดือนปีผ่านไปเร็วไว อันนี้ก็ใกล้จะออกพรรษาแล้ว เหลืออีกสิบกว่าวันก็จะออกพรรษา เผลอแผล็บเดียว เผลอแผล็บเดียวแก่ลงไปอีกหนึ่งปี ใกล้ความตายเข้าไปแล้ว ความตายนี่ไม่ได้เลือกกาลเลือกเวลา อันนี้มีรายการส่งมาจากปักธงชัยที่มอบโลงศพให้ทางปักธงชัยหมดไปแล้ว 63 โลง 63 ราย ก็เยอะอยู่เหมือนกัน เผลอแผล็บเดียวที่ขอนแก่นเราก็ปาเข้าไปทั้ง 1,300 กว่าโลง นี่แหละถ้าจับมานั่งร่วมกันก็คงจะล้นศาลากันไปหมด ก็ได้อนุเคราะห์โลงศพ ทั้งเงินช่วยเหลือ อนุเคราะห์ให้ศพละ 5,000 ก็หมดไปเยอะ ญาติโยมท่านใดอยากจะมาร่วมช่วยเหลือพี่น้องเราก็ขอเชิญได้
มีโอกาส โอกาสเปิดกาลเวลาเปิด ไม่ว่างานภายนอกงานภายใน งานภายในก็เจริญสติปัญญาไปแก้ไข ละกิเลส หมั่นอบรมใจของเรา เจริญปัญญาไปทะเลาะกับกิเลส ไปแก้ไขกิเลส กิเลสความโลภ ความโกรธ ความอยาก ความโกรธเกิดขึ้นมาก็รู้จักหยุดรู้จักดับ รู้จักให้อภัยอโหสิกรรม ขัดเกลาออกจากจิตใจของเรา ไม่ใช่ว่าแต่ตื่นมาแต่ละวันมีแต่เรื่องของคนอื่น มีแต่เรื่องของเราทั้งนั้น ความโลภ ความโกรธ ความอยากก็มีแต่เรื่องภายในใจของเรา เจริญสติไปอบรมใจของเราให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น ถ้าอบรมใจไม่ได้มันก็ไปอาละวาดอันโน้นบ้างอันนี้บ้าง สิ่งโน้นบ้างสิ่งนี้บ้าง
อยู่ด้วยกันก็ทะเลาะเบาะแว้งกันเหมือนกันกับสมัยก่อนนะ สมัยก่อนได้ยินข่าวคงจะได้ยินข่าวอยู่ พระหลวงปู่หลวงตาทางอุดรมาบวช ปลดเกษียณแล้วก็มาบวช เป็นเพื่อนกันมาบวช คนหนึ่งบวชอยู่ฝ่ายธรรมยุต คนหนึ่งบวชอยู่ฝ่ายมหานิกาย มาเจอกันแล้วมาคุยธรรมะกัน มาเจอกันแล้วก็มาคุยกัน พระที่บวชธรรมยุตนั่นก็บอกว่าตัวเองเก่งตัวเองเคร่ง ฉันข้าวมื้อเดียว มหานิกายไม่เก่งไม่เคร่งเหมือนกับตัวเอง พูดคุยกันไปพูดคุยกันมาธรรมะไม่ลงกัน หลวงตามหานิกายนั้นจ้วงแทงหลวงตาธรรมยุตตายเลย เก่ง เก่งกับเคร่งมาเจอกัน ธรรมะไม่ลงกัน ตีกันมันน่าอายหนอ น่าอายไปขอข้าวชาวบ้านเขามากินอิ่มแล้วก็มาทะเลาะกัน ไม่ว่าอยู่ที่ไหน ถ้าพูดตามความเป็นจริงในหลักธรรมก็คือขอแหละ บิณฑบาตก็คือขอ ไปขอข้าวมาจากชาวบ้าน ชาวบ้านเขาทำบุญก็อยากจะได้บุญมีความสุข มีตั้งแต่ของดีๆ มาให้มาใส่ กินอิ่มแล้วก็ไปคุยธรรมกัน คุยกันตกลงกันไม่ได้ก็ไปทะเลาะกันตีกัน ตีกันหัวร้างข้างแตกก็มีเยอะได้ยินข่าว ได้ยินข่าวทราบข่าว อยู่ที่วัดเราคงไม่มี เพราะว่ารู้จักแก้ไขตัวเอง ปรับปรุงตัวเอง ถ้ามีก็รีบแก้ไข น่าละอาย
เพียงแค่ในหลักธรรมท่านให้จัดการตั้งแต่ความคิด ตั้งแต่จิตใจ ตั้งแต่การเกิด ดับความเกิด ดับความเกิดไม่ได้ ท่านก็ไม่ให้ออกทางวาจา ถ้าจะออกดับทางวาจาไม่ได้ ท่านก็ให้ใช้ปัญญาหลบหลีก ให้เจริญพรหมวิหารเข้าไปทดแทน มองโลกในทางที่ดี คิดดี ให้อภัยซึ่งกันและกัน ผู้น้อยก็อภัยผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่ก็ให้อภัยผู้น้อย ต่างคนก็ต่างเคารพกันซึ่งกันและกันมันก็สงบ เจริญปัญญาไปทะเลาะเบาะแว้งกับกิเลสภายในให้มันจบ แก้ไขตัวเรา
งานภายนอกเราก็ช่วยกัน ช่วยกันทำปัจจัยสี่โลกธรรมไม่ให้ลําบาก สมัยก่อนลําบาก หลวงพ่อมาอยู่รูปเดียวเนี่ย 5-6 ปี แต่ก่อนมันรก ตั้งแต่สามสิบปีเนี่ยเดินไปที่ไหนขาถลอกปอกเปิก กองกระดูกนี่เต็มเกลื่อนหมด มาทำความสะอาด มาปักกลดอยู่หลุมโน้นบ้างหลุมนี้บ้างภายในป่า ทำความสะอาดก็จะให้พวกท่านได้อยู่ดีมีความสุขทั้งกลางวันทั้งกลางคืน อยากให้ทุกคนได้อยู่ดีมีความสุข ได้มาฝึกหัดปฏิบัตินี่แหละ
ถ้าไม่เข้าใจในเรื่องการดำเนิน ในเรื่องการละกิเลส กิเลสภายในก็ไม่รู้จักละ เหตุการณ์ภายนอกก็ไม่รู้จักทำความเข้าใจ ไปที่ไหนก็เลยวุ่นวาย วุ่นวายตัวเรา วุ่นวายคนอื่น วุ่นวายสถานที่ น่าละอาย เป็นบุคคลที่น่าสงสาร ไม่รู้จักแก้ไขตัวเองปรับปรุงตัวเอง ไปที่ไหนก็ว่าตั้งแต่ตัวเองเก่ง เก่งไปเก่งมาก็ทะเลาะเบาะแว้งกันตีกันธรรมะไม่ลงกัน เห็นหลวงตาสมัยก่อนมาอยู่ด้วย อยู่ด้วย 2 รูป 3 รูป ตกเย็นมาก็ไปนั่งดื่มน้ำชาด้วยกัน คุยกันกระหนุงกระหนิง ธรรมะมันลงกัน คุยกันไปคุยกันมาไม่ถึง 15 วัน ไปคนละทิศ หลวงตาทำไมไม่ไปดื่มน้ำชาด้วยกัน ธรรมะไม่ลงกันนะ ผู้เฒ่า ไม่ว่าผู้เฒ่าไม่ว่าเด็กนั่นแหละ ถ้ากิเลสมันเกิดขึ้นที่ใครก็พยายามขัดพยายามเกลา พยายามละ มันไม่ดีเลยๆ
เราพยายามขัดเกลาตัวเราทุกเรื่อง ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาความเกียจคร้านมีไหมละความเกียจคร้าน ความรับผิดชอบมีหรือเปล่า สร้างความรับผิดชอบความขยันหมั่นเพียร ความรับผิดชอบเราต้องพยายามทำให้มีให้เกิดขึ้นที่ใจของเรา เป็นบุคคลที่มีความขยัน เป็นบุคคลที่มีความรับผิดชอบ เป็นบุคคลที่รู้จักฝักใฝ่สนใจ อะไรควรละ อะไรควรเจริญ อะไรควรดำเนิน หมั่นพร่ำสอนใจของเราอยู่ตลอดเวลา ทั้งใจทั้งกายอยู่ตลอดเวลา มันถึงจะถูกต้อง
ไม่ใช่ว่าตื่นขึ้นมามีแต่เรื่องคนโน้นเป็นอย่างนั้น คนนั้นเป็นอย่างนี้ กิเลสมันเล่นงานเอา ยิ่งเป็นพระเป็นชีถ้าไม่ทำความเข้าใจนี่ละอาย น่าละอายนะ ญาติโยมอยู่ใกล้อยู่ไกลมีโอกาสรีบฝักใฝ่สนใจมาช่วยกันทำอันโน้นบ้างอันนี้บ้างเพราะว่าอยากจะได้บุญ เรามีหน้าที่ตรงนี้เราพยายามทำกายทำใจของเราให้เป็นบุญ ให้เหมาะสมกับที่ญาติโยมได้มาทำบุญ ใจของเราสะอาดแล้วหรือยัง ใจของเราบริสุทธิ์แล้วหรือยัง เราขัดเกลากิเลสออกจากจิตจากใจของเราได้แล้วหรือยัง ต้องพยายามพิจารณา
ยิ่งอยู่ด้วยกันเยอะๆ ทั้งพระ ทั้งเณร ทั้งชี อยู่ด้วยกัน อยู่คนละทิศละที่ละทางมาอยู่รวมกันเราก็ต้องพยายาม ความสมัครสมานสามัคคีมีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน รู้จักแก้ไขรู้จักปรับปรุง ไม่ใช่ว่าอยู่ด้วยกันก็จับเป็นก๊กเป็นเหล่าทะเลาะเบาะแว้งกันมันน่าละอายอยู่ ถ้าที่ไหนมี ถ้าที่เกิดขึ้นที่ไหน ก็ต้องแก้ไขให้เร็วให้ไว อันนี้ก็พูดเรื่องภายนอกที่เคยได้ยินได้ฟังมาที่เคยได้เห็นมาหรอก อยู่ที่นี่คงไม่มี ถ้ามีก็รู้จักพิจารณาตัวเอง ให้เร็วให้ไว ท่านถึงบอกว่าให้เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานจากกิเลส เบิกบานจากการทำใจให้สะอาดให้บริสุทธิ์ สนุกในการดูในการรู้สนุกในการสร้างบุญ บุญสมมติเราก็ทำ
ปลูกป่า หลวงพ่อก็พาปลูกป่าให้น่าอยู่น่ารื่นรมย์ อยากจะได้ป่าไม่ปลูกป่ามันก็ไม่ได้ป่า ปลูกมันทุกวันปลูกมันทุกปิ มันก็ได้ป่าร่มรื่นอย่างที่พวกท่านได้มาเห็นนี่แหละ สมัยก่อนมีตั้งแต่ป่ารก ป่าเพ็ก ป่าหนาม ป่าเล็บแมว กว่าจะปลูกต้นไม้ได้แต่ละต้นต้องเอารากเพ็กออกนี่เต็มไปหมด กําจัดรากเพ็กรากหญ้าคาออกถึงปลูกได้ ปลูกได้ยังไม่พอก็ต้องใส่ หมั่นรดน้ำให้ปุ๋ย สมัยก่อนไม่มีน้ำก็ไปเข็นเอากลางทุ่งมารด บางทีก็ไปเข็นเอาบ่อที่โรงเรียนมารถ กว่าจะได้ขึ้นมาให้ ให้ร่มเงาให้ได้ความร่มรื่นร่มเย็น
ที่พักที่อาศัยก็ไม่มีก็อุตส่าห์เก็บหอมรอมริบ ค่อยทำค่อยเป็นค่อยไปให้ทุกคนได้อยู่ได้อาศัยไม่เหมือนกับทุกวัน ทุกวันนี้ญาติโยมก็อยากจะมาร่วมบุญ มาทำมาช่วย คิดอะไรทำอะไรญาติโยมก็ฝักใฝ่สนใจมาช่วย ตั้งแต่ถนนหนทาง สมัยก่อนยังเป็นทะเลเลย ทางวัวควายเดินนี่เดินมาแทบไม่ได้ต้องขนดิน ต้องปรับทั้งกลางคืนทั้งกลางวัน ทำอยู่องค์เดียวทำอยู่คนเดียว ให้พวกท่านให้ทุกคนได้อยู่ดีมีความสุข
แม้ตั้งแต่ศาลาที่พวกท่านนั่งอยู่นี่หลวงพ่อก็ขนดินอยู่คนเดียวนี่แหละ ขุดลงไปตรงไหนก็เจอตั้งแต่ไหกระดูก กว่าจะได้เป็นป่าเป็นธรรมชาติให้ทุกคนได้อยู่ได้อาศัย ได้รับความร่มรื่นร่มเย็น ก็อาศัยกาลอาศัยเวลา อาศัยหมู่คณะที่เพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ มาช่วยกัน รุ่นโน้นบ้างรุ่นนี้บ้างจนเป็นป่าได้อาศัย คนรุ่นหลังมาก็ได้สะดวกสบาย คนรุ่นหลังมาแล้วก็ได้เร่งทำความเพียรต่อ สร้างความขยันหมั่นเพียรต่อ อะไรขาดตกบกพร่องเราก็ช่วยกัน
วันนี้ก็ได้จะได้ช่วยกันเคลียร์ดินที่เอามาให้ ช่วยกันมีกระป๋องมีคุณญาติโยมก็มาช่วยกันได้ เรามาสร้างความขยัน สร้างความรับผิดชอบ สร้างความเสียสละ หนักเอาเบาสู้ ถ้าหนักไม่เอาเบาไม่สู้ สร้างสะสมตั้งแต่ความเกียจคร้านไปอยู่ที่ไหนก็มีตั้งแต่ความเกียจคร้านเข้าครอบงำ ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ใช้ตัวเองไม่เป็นไม่เกิดประโยชน์ ไปที่ไหนก็มีตั้งแต่ความทุกข์ ความลําบาก เราต้องไปฝึกหัดช่วยเหลือตัวเองให้ได้ทุกเรื่องตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ที่พักที่อาศัย ที่หลับที่นอน ห้องส้วมห้องน้ำ ที่ถ่ายที่เยี่ยว ถ้าไม่มีก็ลําบาก อุตส่าห์ทำให้มี ให้มีทุกอย่างแล้วก็ไม่ช่วยกัน ช่วยกันดูแลรักษา ช่วยกันทำความสะอาดให้น่าอยู่น่าอาศัย มันถึงจะถูกต้อง
ปฏิบัติธรรมก็คือการทำความเข้าใจให้ถูกต้อง ความเข้าใจในชีวิตของเราประกอบขึ้นมาด้วยอะไร ที่ท่านบอกว่าธาตุสี่ขันธ์ห้าเป็นอย่างไร วิญญาณในกายเป็นอย่างไร เราขัดเกลากิเลสได้แล้วหรือยัง สมมติภายนอกอะไรเรายังขาดตกบกพร่อง เราก็พยายามรีบทำ ให้จนล้นจนเหลือ ไม่ใช่มามัวเมาตั้งแต่ทะเลาะเบาะแว้งกัน กูดีมึงดี มันไม่ดีแหละมันถึงทะเลาะกันได้ มันถึงตีกันได้กิเลส เราต้องเจริญปัญญาไปอบรมใจ ละกิเลสออกจากใจของเรา มันถึงจะดี
ที่มาบวช มาฝึกก็เพื่อที่จะมาขัดเกลาตัวเองนั่นแหละ ยิ่งมาบวชแล้วก็ยิ่งมาสร้างสะสมกิเลสมากขึ้นเป็นทวีคูณแล้วก็ใช้การไม่ได้ เราต้องพยายามมาขัดเกลากิเลส วันนี้ได้เท่านี้ ตัวไหนเกิดก่อนเราก็จัดการตรงนั้น เกิดความโลภด้วยการให้ด้วยการเอาออก ความโกรธเกิดขึ้นเราก็รู้จักหยุดรู้จักดับ ดับตั้งแต่ภายในไม่ให้มันเกิดขึ้นที่ใจ แล้วก็ให้อภัย ไม่ใช่ว่าภายในก็ไม่ดับ วาจาก็ไม่รู้จักรักษา ลุกขึ้นต่อยตีกัน น่าละอายนะ พระก็มีกิเลสเยอะ เณรก็มีกิเลสเยอะ ชีก็มีกิเลสเยอะ
พวกชีก็เหมือนกัน อยู่หลายคนหลายองค์คงไม่เหมือนที่อื่นที่ได้เคยได้ยินข่าว ปี 56 หลายปีแล้วแหละ เรื่องนี้หลวงพ่อก็เคยเล่าให้ฟังบ่อยอยู่ มาหาหลวงพ่อมาคุยธรรมะมีความสุขอย่างนั้นอย่างนี้ 5-6 คน อยู่แถวๆ ทางบ้านไผ่ ทางบ้านแฮด มา 5-6 คน มาคุยธรรมะกันว่ามีความสุข เข้าใจในธรรมดี หลวงตาอยู่ที่โน่นท่านก็เลยบอกห้ามคุยกัน มีอะไรก็ให้ช่วยกันทำ บอกว่าอย่างนั้น โกรธให้หลวงตา หลวงตานอนหลับอยู่เอาค้อนไปขว้างใส่กุฏิหลวงตา โกรธด้วยหลวงตา ธรรมะ ธรรมะว่าหลวงตามาบอกไม่ให้คุยกัน หลวงตาก็สั่งสึกหมดทุกคนไล่ออกจากวัด ไล่ออกจากวัด เห็นพากันมาหาหลวงพ่อร้องห่มร้องไห้ว่าหลวงตาไล่ให้สึกไล่ออกจากวัด ทำไม สาเหตุว่าเอาค้อนไปขว้างในกุฏิหลวงตา หลวงตาบอกไม่ฟัง อยากจะมาขอบวชชีใหม่ให้หลวงพ่อบวชให้หน่อย ว่าอย่างนี้ หลวงพ่อก็เลยบอกไม่ได้ๆ ถ้าจะกลับบวชใหม่ก็ต้องไปให้หลวงตาที่ท่านไล่นั่นแหละเป็นองค์บวชให้ ต้องกลับไปแก้ไขใหม่ ทุกวันนี้ไปอย่างไรก็ไม่รู้ ฝึกไปฝึกมาไปผูกคอตายก็มี เพราะว่าธรรมะ ธรรมะไม่ลงตัวมันเลยไปผูกคอตาย
นี่แหละคนเราถ้าไม่รู้จักแก้ไขตัวเองปรับปรุงตัวเอง สร้างความขยัน สร้างความรับผิดชอบ มาวัดแทนที่จะขยันกลับเกียจคร้าน มันใช้การได้ที่ไหน มีตั้งแต่คอยหลบคอยหลีก เราต้องสร้างความขยันหมั่นเพียร ขัดเกลา ทั้งละกิเลส ทั้งการให้ การเอาออก ทั้งความเสียสละ มีสัจจะ มีความเพียร ละความเกียจคร้าน
แม้แต่การรับประทานข้าวปลาอาหาร เราก็รู้จักพิจารณาที่ภาษาธรรมะท่านว่าปฏิสังขาโย กะประมาณในการขบฉันของตัวเรา ใจเกิดความอยากหรือกายเกิดความหิว เราต้องดู จําแนกแจกแจงทวารทั้งหก ซึ่งเขาทำหน้าที่ เขาแยกรูป รส กลิ่น เสียงออกจากใจของตัวเรา ไม่ใช่ว่าจะเอาตั้งแต่มัวเมาเล่นสนุกสนาน เกียจคร้าน หนักไม่เอาเบาไม่สู้ ไปที่ไหนมันจะช่วยเหลือตัวเองได้
เราต้องเป็นคนที่เตรียมพร้อมทุกอย่าง เตรียมพร้อมจะล้นออกไปสู่หมู่สู่คณะ มันถึงจะถูกต้อง อันนี้เล่าให้ฟังนะ เล่าให้ฟังเฉยๆ ถ้ามีก็พยายามแก้ไข อย่าให้ได้ยิน
ตั้งใจรับพรกัน
—--
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของตัวเราให้ต่อเนื่องให้ชัดเจน นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย วางใจให้สบาย ไม่ต้องพนมมือ ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียกไปด้วย หลวงพ่อก็เพียงแค่บอกแค่กล่าว ชี้แนะวิธีการแนวทางในการเจริญสติ ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียกไปด้วย ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ สัก 2-3 เที่ยว อย่าไปบังคับลมหายใจ ให้หายใจให้เป็นธรรมชาติที่สุด เวลาเราหายใจเข้าไปยาวๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ กายของเราก็จะสบายขึ้นเยอะ ใจของเราก็จะสงบตั้งมั่นขึ้น ความรู้สึกสัมผัสของลมหายใจที่กระทบปลายจมูกของเราก็จะชัดเจน เราพยายามสร้างความรู้ตรงนี้แหละ
ตั้งแต่ตื่นขึ้นตั้งแต่ยังไม่รู้จากที่พยายามสนใจหน่อย ได้ต่อเนื่องกันนาที 2 นาที 3 นาที จนความรู้ตัวของเราต่อเนื่อง เราก็จะเห็นรู้เท่าทันการเกิดของใจ ความคิดเก่าที่เกิดจากใจนี้นั้นมีอยู่เดิม ความคิดที่เกิดจากขันธ์ห้านั้นมีอยู่เดิม เขารวมกันไปทำให้เกิดอัตตาตัวตน กายก็เลยหนัก ใจก็เลยหนัก หมุนเป็นวงกลมไปด้วยกัน
ถ้าเรามาเจริญสติให้ต่อเนื่อง กําลังสติของเราเข้มแข็งต่อเนื่องจนรู้ลักษณะการเกิดของใจ จนใจคลายออกจากขันธ์ห้า ซึ่งเรียกว่า แยกรูปแยกนาม ตามดูรู้เห็นตามความเป็นจริงเราก็จะเข้าใจในคําสอนของพระพุทธองค์ กําลังสติของเราก็จะพุ่งแรง ค้นคว้าทำความเข้าใจ ชี้เหตุชี้ผล เห็นเหตุเห็นผล รู้จักขัดเกลา รู้จักละกิเลสออกจากใจของเรา ไม่ใช่ว่าสร้างสะสมตั้งแต่กิเลส สร้างตบะบารมี กําลังสติของเรามีเพียงพอหรือไม่ เอาไปใช้การใช้งานได้หรือไม่ กิเลสของเราเบาบางลงหรือเปล่า เราก็พยายามแก้ไขตัวเรา
ใจของเราอยู่ในกองบุญกองกุศลหรือไม่ หรือว่ามีตั้งแต่อกุศลกิเลสหยาบกิเลสละเอียด ยิ่งฝึกไปเท่าไรยิ่งเห็นเยอะ ยิ่งเห็นเยอะเท่าไรเราก็ยิ่งทำความเข้าใจแล้วก็ค่อยละ ค่อยขัด ค่อยเกลา เอาออกจากใจของเราวันละเล็กละน้อย วันนี้เราทำได้เท่านี้ วันพรุ่งนี้ เดือนนี้เดือนหน้า ไม่หมดจริงจะไปต่อเอาภพหน้า การทำบุญให้ทาน ความเสียสละเราก็มี ความรับผิดชอบเราก็มี รู้จักละอาย รู้จักกล้าหาญในสิ่งที่ควรกล้าหาญ
พระพุทธองค์ท่านสอนเรื่องอะไรเราพยายามศึกษาน้อมนําให้ปรากฏขึ้นที่ใจของเรา ท่านถึงบอกให้เชื่อไม่ใช่ว่าศรัทธาปฏิบัติแบบหลงงมงาย ศรัทธาก็ต้องให้เป็นศรัทธาที่เกิดจากปัญญา การเจริญปัญญารู้แจ้งเห็นจริง เห็นจริงด้วยแล้วก็เข้าถึงสิ่งนั้นด้วย เข้าถึงความบริสุทธิ์ รู้จักอันนี้ใจที่ปราศจากกิเลสเป็นอย่างนี้ ใจที่ไม่เกิดเป็นอย่างนี้ กายวิเวกเป็นอย่างนี้ ใจวิเวกเป็นอย่างนี้ โลกธรรมเป็นอย่างนี้ หลักของความจริงอันประเสริฐหรือว่าอริยสัจ ความเกิดความดับ ใจส่งไปภายนอกเป็นลักษณะอย่างนี้ มีอยู่ในกายของเราหมด เว้นเสียแต่ว่าพวกเราจะค้นคว้าทำความเข้าใจให้รู้แจ้งเห็นจริงหรือไม่ อย่าเอาตั้งแต่สะสมตั้งแต่กิเลสเข้ามาทับถมดวงใจของเรา เราพยายามขัดเกลาแก้ไข
หลวงพ่อก็เล่าสิ่งนี้มาร่วม 30 ปี ย่อเฉพาะสิ่งเดียวนี่แหละไม่เอาอันอื่นเพราะว่าเป็นสิ่งที่ทุกคนจะต้องรู้ เพราะเป็นเรื่องของทุกคน ก่อนที่ธาตุขันธ์จะแตกจะดับ ก่อนที่จะหมดลมหายใจ อย่างน้อยๆ ถ้าไม่ถึงจุดหมายปลายทางก็ให้รู้จัก อานิสงส์ผลบุญผลทานฝากฝังเอาไว้ รู้จักแก้ไขตัวเราไม่ให้ตกไปสู่ที่อันลําบาก ก็ต้องพยายามกันนะ
สร้างความรู้ตัวให้ชัดเจนให้ต่อเนื่องกันสักนิดหนึ่งก็ยังดี
พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พยายามศึกษาทำความเข้าใจต่อให้รู้ทุกอิริยาบถ