หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2561 ลำดับที่ 46 วันที่ 15 กรกฏาคม 2561
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2561 ลำดับที่ 46 วันที่ 15 กรกฏาคม 2561
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2561
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2561 ลำดับที่ 46
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 15 กรกฎาคม 2561
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน แล้วก็ให้ต่อเนื่อง หยุดความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ เอาไว้ วางภาระหน้าที่การงานทางสมมติ พวกเราก็วางมาแล้ว ทีนี้เราก็มารู้จักการเจริญสติ การสร้างความรู้ตัว สร้างความรู้สึกรับรู้ รู้กาย รู้ลมหายใจเข้าออก อันนี้เขาเรียกว่า รู้กาย ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียกไปด้วย
ความรู้สึกไม่เด่นชัด เราก็พยายามสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ ให้ทั่วท้อง อย่าไปบังคับลมหายใจ หายใจให้เป็นธรรมชาติที่สุด การกระตุ้นความรู้สึกยาวๆ กระตุ้นความรู้สึกแรงๆ สัมผัสลมหายใจที่กระทบปลายจมูกของเราก็จะชัดเจน ความนึกคิดปรุงแต่งที่เกิดจากใจก็จะหยุด ความรู้ตัวของเรา เราพยายามสร้างขึ้นมาตั้งแต่ตื่นขึ้น ตั้งแต่ยังไม่ได้ลุกจากที่ จนต่อเนื่อง จนเอาไปใช้การใช้งาน รู้เท่าทันใจ รู้ลักษณะของใจ ใจที่ปกติเป็นลักษณะอย่างนี้ การเกิดของใจส่งออกไปภายนอกเป็นลักษณะอย่างนี้
ทีนี้มีความคิดที่เราไม่ตั้งใจคิดเขาเรียกว่า อาการของขันธ์ห้า บางทีอยู่เฉยๆ มีความคิดผุดขึ้นมา ใจของเราจะเคลื่อนเข้าไปรวมจนเป็นสิ่งเดียวกันแล้วไปด้วยกัน เราพยายามสร้างความรู้ตัวให้รู้เท่ารู้ทันตรงนี้ ถ้าเรารู้ทันขณะความคิดเกิดขึ้น ใจเคลื่อนเข้าไปรวม ใจก็จะดีดออกจากความคิด หงายขึ้น เขาเรียกว่า แยกรูปแยกนาม เราก็จะเห็น เห็นใจที่ว่าง โล่งโปร่ง เห็นอาการของความคิดที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป นั่นแหละเขาเรียกว่า เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ในขันธ์ห้า บางทีก็เป็นเรื่องอดีตบ้าง เป็นเรื่องอนาคตบ้าง เป็นกลางๆ บ้าง เขาเรียกว่า กองสังขาร
ทำอย่างไรเราถึงจะรู้เท่ารู้ทัน เห็นตามทำความเข้าใจได้ เราต้องพยายามมีความเพียร หมั่นเจริญสติให้ต่อเนื่อง แล้วก็หมั่นทำความเข้าใจ หมั่นอบรมใจของเราบ่อยๆ ทำความเข้าใจกับใจของเราบ่อยๆ เจริญสติเป็นเพื่อนใจ ชี้เหตุชี้ผล เห็นเหตุเห็นผล เห็นการแยกการคลาย ตามทำความเข้าใจ เข้าใจในคําสอนของพระพุทธองค์ คําว่าอัตตาเป็นลักษณะอย่างนี้ อนัตตาความว่างเปล่าเป็นลักษณะอย่างนี้ ขันธ์ห้า วิญญาณในขันธ์ห้า วิญญาณในกายของเราเป็นลักษณะอย่างนี้ ทุกคนก็มีเหมือนกันหมด เว้นเสียแต่ว่าเราจะทำความเข้าใจให้ปรากฏขึ้นที่ใจของเราได้หรือไม่เท่านั้นเอง ก็ต้องพยายามกัน
ไม่ว่าพระ ว่าโยม ว่าชี ก็มีลักษณะอาการของขันธ์ห้าเหมือนกันหมด แต่การเจริญสติ การสร้างบุญสร้างบารมี เราต้องพยายามๆ สร้างขึ้นมา เพราะว่าใจของคนเราแต่ละคนหลงมาตั้งแต่ยังไม่ได้เกิด ทำไมถึงว่าหลงมาแต่ยังไม่ได้เกิด ถ้าไม่หลงก็ไม่เกิด ขณะที่มาเกิดอยู่ในภพมนุษย์ มาสร้างขันธ์ห้าปิดกั้นตัวเอง พระพุทธองค์ท่านถึงให้เจริญสติลงที่กายของเราให้ได้ แล้วก็ลึกลงไป ไปชี้เหตุชี้ผล เห็นเหตุเห็นผล เห็นการแยกการคลาย ที่ว่าท่านว่าเป็นกองเป็นขันธ์ กองวิญญาณในกายเป็นอย่างนี้ กองรูปกองนามเป็นอย่างนี้ เราก็จะเห็นดู รู้ ลักษณะหน้าตาอาการ เหมือนกับเรามองเห็นเปลวพยับแดด เวลาร้อนๆเราเดินไปตามถนนหนทาง เราก็จะมองเห็นเหมือนกับเปลวเพลิง เวลาเราเข้าไปใกล้ๆ ก็ไม่มีตัวมีตน เป็นแค่เพียงอาการเฉยๆ ความคิดของเราก็เหมือนกัน ซึ่งเป็นส่วนนามธรรม เป็นก็เป็นแค่เพียงอาการ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ใจของเราเป็นหลงไปยึด ทำให้เกิดอัตตาตัวตน ทำให้เกิดทิฏฐิมานะ
ใจของเราเกิดกิเลส กิเลสหยาบ กิเลสละเอียด เราจงพยายามหมั่นวิเคราะห์หมั่นสังเกต จําแนกแจกแจงให้รู้ชัด ชี้เหตุ ชี้ผลจนใจของเรามองเห็นความเป็นจริง จนใจของเราปล่อยวางได้ ใช้ตัวเองเป็น ตนเป็นที่พึ่งของตน สติตัวแรกที่เราสร้างขึ้นมานี่แหละเป็นที่พึ่งของใจ แต่เวลานี้ใจไปพึ่งความคิด พึ่งขันธ์ห้า พึ่งกิเลส หรือพึ่งสิ่งต่างๆ เราก็ต้องพยายามหัดวิเคราะห์ตัวเรา แก้ไขตัวเราปรับปรุงตัวเรา เป็นเรื่องของเราทั้งนั้น ไม่ใช่เรื่องของคนอื่น การทำบุญให้ทาน ศรัทธาทุกคนมีกันเต็มเปี่ยม แต่เป็นศรัทธาต้องรู้แจ้งเห็นจริง ปรากฏ ศรัทธาที่เกิดปัญญารู้แจ้งเห็นจริง มองเห็นหนทางเดิน ว่าเราขัดเกลากิเลสได้มากน้อยเท่าไร ก็ต้องพยายามกันนะ
ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี ทุกอิริยาบถ ยืน เดิน นั่ง นอน กิน อยู่ ขับถ่าย เราต้องพยายามวิเคราะห์ให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็นหมดทุกสิ่งทุกอย่าง ปล่อยวางหมด ทีนี้จะเอาจะมีจะเป็นก็เป็นเรื่องของปัญญา ทำหน้าที่บริหารกายบริหารใจของตัวเราด้วยปัญญา อยู่ด้วยปัญญา จะไปจะมาก็เป็นเรื่องของปัญญาล้วนๆ ก็ต้องพยายามกัน
สร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่องให้ชัดเจนกันสักนิดหนึ่งก็ยังดี ดีกว่าไม่ได้ทำ อยู่หลายคนก็เหมือนกับอยู่คนเดียว อยู่คนเดียวขณะนี้ก็ให้รู้ว่าลมวิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจนกันนะ
พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปศึกษาทำความเข้าใจต่อให้รู้ทุกอิริยาบถ
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 15 กรกฎาคม 2561
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน แล้วก็ให้ต่อเนื่อง หยุดความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ เอาไว้ วางภาระหน้าที่การงานทางสมมติ พวกเราก็วางมาแล้ว ทีนี้เราก็มารู้จักการเจริญสติ การสร้างความรู้ตัว สร้างความรู้สึกรับรู้ รู้กาย รู้ลมหายใจเข้าออก อันนี้เขาเรียกว่า รู้กาย ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียกไปด้วย
ความรู้สึกไม่เด่นชัด เราก็พยายามสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ ให้ทั่วท้อง อย่าไปบังคับลมหายใจ หายใจให้เป็นธรรมชาติที่สุด การกระตุ้นความรู้สึกยาวๆ กระตุ้นความรู้สึกแรงๆ สัมผัสลมหายใจที่กระทบปลายจมูกของเราก็จะชัดเจน ความนึกคิดปรุงแต่งที่เกิดจากใจก็จะหยุด ความรู้ตัวของเรา เราพยายามสร้างขึ้นมาตั้งแต่ตื่นขึ้น ตั้งแต่ยังไม่ได้ลุกจากที่ จนต่อเนื่อง จนเอาไปใช้การใช้งาน รู้เท่าทันใจ รู้ลักษณะของใจ ใจที่ปกติเป็นลักษณะอย่างนี้ การเกิดของใจส่งออกไปภายนอกเป็นลักษณะอย่างนี้
ทีนี้มีความคิดที่เราไม่ตั้งใจคิดเขาเรียกว่า อาการของขันธ์ห้า บางทีอยู่เฉยๆ มีความคิดผุดขึ้นมา ใจของเราจะเคลื่อนเข้าไปรวมจนเป็นสิ่งเดียวกันแล้วไปด้วยกัน เราพยายามสร้างความรู้ตัวให้รู้เท่ารู้ทันตรงนี้ ถ้าเรารู้ทันขณะความคิดเกิดขึ้น ใจเคลื่อนเข้าไปรวม ใจก็จะดีดออกจากความคิด หงายขึ้น เขาเรียกว่า แยกรูปแยกนาม เราก็จะเห็น เห็นใจที่ว่าง โล่งโปร่ง เห็นอาการของความคิดที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป นั่นแหละเขาเรียกว่า เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ในขันธ์ห้า บางทีก็เป็นเรื่องอดีตบ้าง เป็นเรื่องอนาคตบ้าง เป็นกลางๆ บ้าง เขาเรียกว่า กองสังขาร
ทำอย่างไรเราถึงจะรู้เท่ารู้ทัน เห็นตามทำความเข้าใจได้ เราต้องพยายามมีความเพียร หมั่นเจริญสติให้ต่อเนื่อง แล้วก็หมั่นทำความเข้าใจ หมั่นอบรมใจของเราบ่อยๆ ทำความเข้าใจกับใจของเราบ่อยๆ เจริญสติเป็นเพื่อนใจ ชี้เหตุชี้ผล เห็นเหตุเห็นผล เห็นการแยกการคลาย ตามทำความเข้าใจ เข้าใจในคําสอนของพระพุทธองค์ คําว่าอัตตาเป็นลักษณะอย่างนี้ อนัตตาความว่างเปล่าเป็นลักษณะอย่างนี้ ขันธ์ห้า วิญญาณในขันธ์ห้า วิญญาณในกายของเราเป็นลักษณะอย่างนี้ ทุกคนก็มีเหมือนกันหมด เว้นเสียแต่ว่าเราจะทำความเข้าใจให้ปรากฏขึ้นที่ใจของเราได้หรือไม่เท่านั้นเอง ก็ต้องพยายามกัน
ไม่ว่าพระ ว่าโยม ว่าชี ก็มีลักษณะอาการของขันธ์ห้าเหมือนกันหมด แต่การเจริญสติ การสร้างบุญสร้างบารมี เราต้องพยายามๆ สร้างขึ้นมา เพราะว่าใจของคนเราแต่ละคนหลงมาตั้งแต่ยังไม่ได้เกิด ทำไมถึงว่าหลงมาแต่ยังไม่ได้เกิด ถ้าไม่หลงก็ไม่เกิด ขณะที่มาเกิดอยู่ในภพมนุษย์ มาสร้างขันธ์ห้าปิดกั้นตัวเอง พระพุทธองค์ท่านถึงให้เจริญสติลงที่กายของเราให้ได้ แล้วก็ลึกลงไป ไปชี้เหตุชี้ผล เห็นเหตุเห็นผล เห็นการแยกการคลาย ที่ว่าท่านว่าเป็นกองเป็นขันธ์ กองวิญญาณในกายเป็นอย่างนี้ กองรูปกองนามเป็นอย่างนี้ เราก็จะเห็นดู รู้ ลักษณะหน้าตาอาการ เหมือนกับเรามองเห็นเปลวพยับแดด เวลาร้อนๆเราเดินไปตามถนนหนทาง เราก็จะมองเห็นเหมือนกับเปลวเพลิง เวลาเราเข้าไปใกล้ๆ ก็ไม่มีตัวมีตน เป็นแค่เพียงอาการเฉยๆ ความคิดของเราก็เหมือนกัน ซึ่งเป็นส่วนนามธรรม เป็นก็เป็นแค่เพียงอาการ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ใจของเราเป็นหลงไปยึด ทำให้เกิดอัตตาตัวตน ทำให้เกิดทิฏฐิมานะ
ใจของเราเกิดกิเลส กิเลสหยาบ กิเลสละเอียด เราจงพยายามหมั่นวิเคราะห์หมั่นสังเกต จําแนกแจกแจงให้รู้ชัด ชี้เหตุ ชี้ผลจนใจของเรามองเห็นความเป็นจริง จนใจของเราปล่อยวางได้ ใช้ตัวเองเป็น ตนเป็นที่พึ่งของตน สติตัวแรกที่เราสร้างขึ้นมานี่แหละเป็นที่พึ่งของใจ แต่เวลานี้ใจไปพึ่งความคิด พึ่งขันธ์ห้า พึ่งกิเลส หรือพึ่งสิ่งต่างๆ เราก็ต้องพยายามหัดวิเคราะห์ตัวเรา แก้ไขตัวเราปรับปรุงตัวเรา เป็นเรื่องของเราทั้งนั้น ไม่ใช่เรื่องของคนอื่น การทำบุญให้ทาน ศรัทธาทุกคนมีกันเต็มเปี่ยม แต่เป็นศรัทธาต้องรู้แจ้งเห็นจริง ปรากฏ ศรัทธาที่เกิดปัญญารู้แจ้งเห็นจริง มองเห็นหนทางเดิน ว่าเราขัดเกลากิเลสได้มากน้อยเท่าไร ก็ต้องพยายามกันนะ
ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี ทุกอิริยาบถ ยืน เดิน นั่ง นอน กิน อยู่ ขับถ่าย เราต้องพยายามวิเคราะห์ให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็นหมดทุกสิ่งทุกอย่าง ปล่อยวางหมด ทีนี้จะเอาจะมีจะเป็นก็เป็นเรื่องของปัญญา ทำหน้าที่บริหารกายบริหารใจของตัวเราด้วยปัญญา อยู่ด้วยปัญญา จะไปจะมาก็เป็นเรื่องของปัญญาล้วนๆ ก็ต้องพยายามกัน
สร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่องให้ชัดเจนกันสักนิดหนึ่งก็ยังดี ดีกว่าไม่ได้ทำ อยู่หลายคนก็เหมือนกับอยู่คนเดียว อยู่คนเดียวขณะนี้ก็ให้รู้ว่าลมวิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจนกันนะ
พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปศึกษาทำความเข้าใจต่อให้รู้ทุกอิริยาบถ