หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2561 ลำดับที่ 19 วันที่ 24 มีนาคม 2561
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2561 ลำดับที่ 19 วันที่ 24 มีนาคม 2561
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2561
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2561 ลำดับที่ 19
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 24 มีนาคม 2561
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน หยุดความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ เอาไว้ชั่วครั้งชั่วคราว ถึงเราหยุดไม่ได้เด็ดขาดหรือว่าเราละไม่ได้เด็ดขาด ก็ขอให้รู้จักวิธีการแนวทางการเจริญสติเพื่อที่จะเข้าไปอบรมใจของเรา ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียกไปด้วย ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ การสูดลมหายใจยาวผ่อนลมหายใจยาว อย่าไปบังคับลมหายใจ พยายามหายใจให้เป็นธรรมชาติที่สุด การสูดลมหายใจยาวๆ กายของเราก็จะสบายขึ้นเยอะ
ความรู้สึกสัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเรามีความรู้สึกรับรู้อยู่ ความรู้ตัวนี้แหละที่ท่านเรียกว่า สติรู้กาย เราพยายามสร้างความรู้ตัวตรงนี้ให้เกิดความเคยชินแล้วก็ให้ต่อเนื่อง ตั้งแต่ตื่นขึ้น ลักษณะของคำว่าความรู้ตัวอยู่กับปัจจุบัน คือ ทุกขณะลมหายใจเข้าทุกขณะลมหายใจออก แล้วก็ให้ต่อเนื่องจากหนึ่งครั้งสองครั้งเป็นนาที 2 นาที 3 นาที จนความรู้ตัวของเราเข้มแข็งต่อเนื่อง
ส่วนการเกิดของใจนั้นมีอยู่เดิม การเกิดของความคิดที่เราไม่ได้ตั้งใจคิดหรือว่าอาการของขันธ์ห้านั้นมีอยู่เดิม ใจของคนเรานี้หลงมาตั้งแต่ยังไม่ได้เกิด ถ้าไม่หลงก็ไม่เกิด หลงมาสร้างภพมนุษย์ มาสร้างกายเนื้อ มาสร้างขันธ์ห้าปิดกั้นตัวเองแล้วก็เกิดต่อ เกิดต่อยังไม่พอยังเป็นทาสของกิเลสอีก ความทะเยอทะยานอยาก ทั้งอยากทั้งไม่อยาก ความเกิดนั่นแหละคือกิเลสอันละเอียดที่สุด ถ้าไม่ ถ้าไม่หลงก็ไม่เกิด
พระพุทธองค์ท่านได้ให้เจริญสติลงที่กาย อาศัยกายก้อนนี้เพื่อที่จะเข้าไปอบรมใจ ไปวิเคราะห์ใจ ไปชี้เหตุชี้ผล เห็นเหตุเห็นผล เห็นการแยกการคลาย เห็นการเกิดการดับ เห็นการเกิดของจิตวิญญาณในกายของเรา รู้ไม่ทันตั้งแต่ต้นเหตุ ก็ใช้สมถะดับเอาไว้ ดับซึ่งท่านเรียกว่า เป็นการฝืน เป็นการทวนกระแส พยายามฝึกบ่อยๆ น้อมใจของเราเข้ามา เชื่อมั่นในพระรัตนตรัย เชื่อมั่นในคำสอนของพระพุทธองค์ว่าท่านสอนเรื่องอะไร ท่านสอนเรื่องสมมติ คำว่าสมมติกับวิมุตติเป็นลักษณะอย่างไร ตราบใดที่ใจของเรายังไม่ได้คลายจากขันธ์ห้าเราก็จะเข้าใจในระดับของสมมติเท่านั้นเอง ในระดับปัญญาของโลกีย์
ถ้าเราเจริญสติจนรู้เท่ารู้ทัน จนเห็นการเกิด การแยกการคลาย การหงายของจิตวิญญาณในกายของเรา ซึ่งท่านเรียกว่า แยกรูปแยกนามหรือว่าสัมมาทิฏฐิ ความเห็นถูก เห็นถูกแล้วก็ทำความเข้าใจให้ได้ทุกเรื่อง ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่จนกระทั่งเราหมดลมหายใจนั่นแหละ ขณะที่ยังมีลมหายใจอยู่ยังมีกำลังอยู่ เราจะดำเนินชีวิตของเราอย่างไร บริหารกายของเราอย่างไร บริหารใจของเราอย่างไร เราต้องให้เห็นต้นเหตุเสียก่อน ถ้าเราไม่รู้ต้นเหตุ เราก็บริหารอยู่ในระดับของสมมติเท่านั้นเอง
ที่ท่านว่าเป็นกอง ทำไมท่านถึงว่าเป็นกอง ทำไมท่านถึงว่าเป็นขันธ์ เป็นกองเป็นขันธ์มีอยู่ในร่างกายของเรานี้ มีอยู่ 5 กอง กองรูป กองนาม คำว่ารูปเป็นอย่างไร คำว่านามอย่างไร กายทำหน้าที่อย่างไร ทวารทั้งหกทำหน้าที่อย่างไร ภาษาธรรมภาษาโลกเป็นลักษณะอย่างไร แต่ละวันตื่นขึ้นมา เราเคยสังเกต เราเคยวิเคราะห์ใจของเราให้ต่อเนื่องจนรู้ด้วย เห็นด้วย เข้าถึงด้วย ทำความเข้าใจได้ด้วย ชี้เหตุชี้ผล เข้าถึงภาษาธรรม เข้าถึงภาษาโลก
ท่านถึงบอกให้เชื่อ ไม่ใช่ว่าให้เชื่อแบบหลงงมงาย เชื่อด้วยเหตุด้วยผล ด้วยสติด้วยปัญญา ด้วยความรู้แจ้งเห็นจริง ทีนี้เราจะละได้หมดจดหรือไม่ก็ขึ้นกับความเพียรของเรา ใจเกิดความโลภ เราก็พยายามละความโลภด้วยการให้ ด้วยการเอาออก ด้วยการช่วยเหลือ ด้วยการอนุเคราะห์ ใจเกิดความโกรธเราก็พยายามดับความโกรธด้วยการให้อภัยอโหสิกรรม มองโลกในทางที่ดี คิดดี ทำดี อบรมใจของเราอยู่ตลอดเวลา ว่าอะไรควรละ อะไรควรเจริญ อะไรควรดำเนิน
การที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์นี้ก็นับว่าเป็นบุญอยู่ในระดับหนึ่ง เราต้องพยายามมองเห็นหนทางเดินให้ถึงจุดหมายปลายทาง ถ้าไม่ถึงวันนี้ก็ต้องถึงพรุ่งนี้ ไม่ถึงพรุ่งนี้ก็ถึงมะรืนนี้ ตราบใดที่เรายังดำเนินอยู่มันก็ไม่มีอะไรมากมายหรอกถ้าเราจะทำความเข้าใจ คนเราเกิดมาแล้วก็เกิดมาแล้วจะไปไหน ไปอย่างไรมาอย่างไร มีเหตุมีผล พระพุทธองค์ท่านชี้ลงที่เหตุที่ผล แล้วก็การทำปัจจุบันให้ดีก็จะส่งผลถึงอนาคตได้ดี อะไรที่จะเป็นบุญ อะไรที่จะเป็นประโยชน์ ประโยชน์ตน ประโยชน์ท่าน ประโยชน์ใกล้ประโยชน์ไกล ประโยชน์ในโลกนี้ประโยชน์ในโลกหน้า เราก็พากันพยายามดำเนินเอาเสียขณะที่เรายังมีลมหายใจอยู่ อย่าไปผัดวันประกันพรุ่ง
เพียงแค่เรื่องอานาปานสติ พวกเราก็ขาดการสนใจที่จะทำให้ต่อเนื่องก็เลยไม่รู้ความเป็นจริงในร่างกายของเรา ในร่างกายของเรานี้มีอะไรดีๆ เยอะ สนามรบใบใหญ่ ตื่นขึ้นมาเราก็ดู กิเลสเกิดขึ้นภายใน หรือเหตุจากภายนอกทำให้เกิด เกิดจากภายในของเราโดยตรง กิเลสเกิดขึ้นที่กายหรือเกิดขึ้นที่ใจ กิเลสหยาบหรือว่ากิเลสละเอียด สติพลั้งเผลอได้ยังไง คำว่าปัญญาที่เป็นสัมมาทิฏฐิเป็นอย่างไร เรารู้ความจริง รู้จักวิธีการ รู้จักแนวทางแล้วก็ไปทำ ไม่ใช่จะไปทำเวลาโน้นเวลานี้ กิเลสมันเกิดขึ้นเมื่อไรเราก็รู้จักดับรู้จักละ เป็นเรื่องของเราทั้งนั้นแหละไม่ใช่เรื่องของคนอื่น
คนเราเกิดมาอีกสักหน่อยก็ได้พลัดพรากจากกัน ไม่ได้พลัดพรากจากกันตอนเป็นก็ได้พลัดพรากจากกันตอนตาย อันนี้เป็นกฎของไตรลักษณ์ กฎของความเป็นจริงที่ทุกคนจะหนีไม่พ้นเพราะว่าเกิดมาเท่าไรก็ตายหมด ไม่ตายช้าก็ตายเร็ว อันนี้เป็นเรื่องของความเป็นจริง แต่เราก็อย่าพากันประมาท เราก็พยายามหมั่นวิเคราะห์ หมั่นสำรวจเผชิญกับความเป็นจริง ยอมรับความเป็นจริง แล้วก็เป็นบุคคลที่เตรียมพร้อม
แต่ละวันเราก็หมั่นสำรวจใจของเรา เรามีความเสียสละเพียงพอหรือไม่ เรามีความรับผิดชอบเพียงพอหรือไม่ เรามีความเสียสละเพียงพอหรือเปล่า เรามีความเห็นแก่ตัว เราก็พยายามละความเห็นแก่ตัว เรามีความเกียจคร้าน เราก็พยายามละความเกียจคร้าน สร้างความขยันหมั่นเพียร สร้างความรับผิดชอบให้มีให้เกิดขึ้น ไม่ใช่ว่าจะไปที่โน้นให้ตั้งแต่คนโน้นเขาบังคับคนนี้เขาบังคับอย่างนั้นใช้การไม่ได้ เราต้องบังคับตัวเรา แก้ไขตัวเรา ปรับปรุงตัวเรา
เราไปที่โน้นที่นี่ก็เพื่อที่จะแสวงหาวิธีการแนวทาง เรารู้จักวิธีการแล้วรู้จักแนวทางแล้ว กายวิเวกเป็นอย่างนี้ ใจวิเวกเป็นอย่างนี้ ใจที่ปราศจากกิเลสเป็นอย่างนี้ ใจที่ไม่เกิดเป็นอย่างนี้ ความคิดซึ่งเป็นฝ่ายนามธรรมเขาเกิดขึ้นมาได้อย่างไร สมมติเราแก้ไขได้แล้วหรือยัง ท่านถึงบอกว่าให้รอบรู้ในกองสังขารในจิตวิญญาณในร่างกายก้อนนี้ แล้วก็รอบรู้ในปัจจัยสี่ แล้วก็รอบรู้ในโลกธรรมแปดที่เราเข้าไปยุ่งเกี่ยว แล้วก็รู้จักแก้ไข ขยันหมั่นเพียร อะไรควรแก้ไข อะไรควรละ อะไรควรเจริญ อะไรควรดำเนิน ไม่ต้องให้คนอื่นเขาบอก ไม่ต้องให้คนอื่นเขาบังคับ เราบังคับตัวเรา แก้ไขตัวเราอยู่ตลอดเวลาจนปรากฏขึ้นที่ใจของเรา
เราขัดเกลากิเลสเอาออกจากใจของเราได้หมด ใจที่ปราศจากกิเลสเขาก็บริสุทธิ์ ใจที่ไม่เกิดเขาก็นิ่ง มองเห็นหนทางเดินว่าเราจะได้กลับมาเกิดหรือว่าไม่กลับมาเกิดกัน สนุกทำบุญในกายก้อนนี้ ทำกายให้เป็นบุญ ทำใจให้เป็นบุญ เราก็จะอยู่กับบุญตลอดเวลา ก็พยายามอย่าไปปล่อยวันเวลาทิ้ง เสียดายเวลา ทุกลมหายใจเข้าออกมาค่ามากมายมหาศาล
เอาล่ะ วันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจให้รู้ทุกอิริยาบถ
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 24 มีนาคม 2561
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน หยุดความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ เอาไว้ชั่วครั้งชั่วคราว ถึงเราหยุดไม่ได้เด็ดขาดหรือว่าเราละไม่ได้เด็ดขาด ก็ขอให้รู้จักวิธีการแนวทางการเจริญสติเพื่อที่จะเข้าไปอบรมใจของเรา ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียกไปด้วย ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ การสูดลมหายใจยาวผ่อนลมหายใจยาว อย่าไปบังคับลมหายใจ พยายามหายใจให้เป็นธรรมชาติที่สุด การสูดลมหายใจยาวๆ กายของเราก็จะสบายขึ้นเยอะ
ความรู้สึกสัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเรามีความรู้สึกรับรู้อยู่ ความรู้ตัวนี้แหละที่ท่านเรียกว่า สติรู้กาย เราพยายามสร้างความรู้ตัวตรงนี้ให้เกิดความเคยชินแล้วก็ให้ต่อเนื่อง ตั้งแต่ตื่นขึ้น ลักษณะของคำว่าความรู้ตัวอยู่กับปัจจุบัน คือ ทุกขณะลมหายใจเข้าทุกขณะลมหายใจออก แล้วก็ให้ต่อเนื่องจากหนึ่งครั้งสองครั้งเป็นนาที 2 นาที 3 นาที จนความรู้ตัวของเราเข้มแข็งต่อเนื่อง
ส่วนการเกิดของใจนั้นมีอยู่เดิม การเกิดของความคิดที่เราไม่ได้ตั้งใจคิดหรือว่าอาการของขันธ์ห้านั้นมีอยู่เดิม ใจของคนเรานี้หลงมาตั้งแต่ยังไม่ได้เกิด ถ้าไม่หลงก็ไม่เกิด หลงมาสร้างภพมนุษย์ มาสร้างกายเนื้อ มาสร้างขันธ์ห้าปิดกั้นตัวเองแล้วก็เกิดต่อ เกิดต่อยังไม่พอยังเป็นทาสของกิเลสอีก ความทะเยอทะยานอยาก ทั้งอยากทั้งไม่อยาก ความเกิดนั่นแหละคือกิเลสอันละเอียดที่สุด ถ้าไม่ ถ้าไม่หลงก็ไม่เกิด
พระพุทธองค์ท่านได้ให้เจริญสติลงที่กาย อาศัยกายก้อนนี้เพื่อที่จะเข้าไปอบรมใจ ไปวิเคราะห์ใจ ไปชี้เหตุชี้ผล เห็นเหตุเห็นผล เห็นการแยกการคลาย เห็นการเกิดการดับ เห็นการเกิดของจิตวิญญาณในกายของเรา รู้ไม่ทันตั้งแต่ต้นเหตุ ก็ใช้สมถะดับเอาไว้ ดับซึ่งท่านเรียกว่า เป็นการฝืน เป็นการทวนกระแส พยายามฝึกบ่อยๆ น้อมใจของเราเข้ามา เชื่อมั่นในพระรัตนตรัย เชื่อมั่นในคำสอนของพระพุทธองค์ว่าท่านสอนเรื่องอะไร ท่านสอนเรื่องสมมติ คำว่าสมมติกับวิมุตติเป็นลักษณะอย่างไร ตราบใดที่ใจของเรายังไม่ได้คลายจากขันธ์ห้าเราก็จะเข้าใจในระดับของสมมติเท่านั้นเอง ในระดับปัญญาของโลกีย์
ถ้าเราเจริญสติจนรู้เท่ารู้ทัน จนเห็นการเกิด การแยกการคลาย การหงายของจิตวิญญาณในกายของเรา ซึ่งท่านเรียกว่า แยกรูปแยกนามหรือว่าสัมมาทิฏฐิ ความเห็นถูก เห็นถูกแล้วก็ทำความเข้าใจให้ได้ทุกเรื่อง ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่จนกระทั่งเราหมดลมหายใจนั่นแหละ ขณะที่ยังมีลมหายใจอยู่ยังมีกำลังอยู่ เราจะดำเนินชีวิตของเราอย่างไร บริหารกายของเราอย่างไร บริหารใจของเราอย่างไร เราต้องให้เห็นต้นเหตุเสียก่อน ถ้าเราไม่รู้ต้นเหตุ เราก็บริหารอยู่ในระดับของสมมติเท่านั้นเอง
ที่ท่านว่าเป็นกอง ทำไมท่านถึงว่าเป็นกอง ทำไมท่านถึงว่าเป็นขันธ์ เป็นกองเป็นขันธ์มีอยู่ในร่างกายของเรานี้ มีอยู่ 5 กอง กองรูป กองนาม คำว่ารูปเป็นอย่างไร คำว่านามอย่างไร กายทำหน้าที่อย่างไร ทวารทั้งหกทำหน้าที่อย่างไร ภาษาธรรมภาษาโลกเป็นลักษณะอย่างไร แต่ละวันตื่นขึ้นมา เราเคยสังเกต เราเคยวิเคราะห์ใจของเราให้ต่อเนื่องจนรู้ด้วย เห็นด้วย เข้าถึงด้วย ทำความเข้าใจได้ด้วย ชี้เหตุชี้ผล เข้าถึงภาษาธรรม เข้าถึงภาษาโลก
ท่านถึงบอกให้เชื่อ ไม่ใช่ว่าให้เชื่อแบบหลงงมงาย เชื่อด้วยเหตุด้วยผล ด้วยสติด้วยปัญญา ด้วยความรู้แจ้งเห็นจริง ทีนี้เราจะละได้หมดจดหรือไม่ก็ขึ้นกับความเพียรของเรา ใจเกิดความโลภ เราก็พยายามละความโลภด้วยการให้ ด้วยการเอาออก ด้วยการช่วยเหลือ ด้วยการอนุเคราะห์ ใจเกิดความโกรธเราก็พยายามดับความโกรธด้วยการให้อภัยอโหสิกรรม มองโลกในทางที่ดี คิดดี ทำดี อบรมใจของเราอยู่ตลอดเวลา ว่าอะไรควรละ อะไรควรเจริญ อะไรควรดำเนิน
การที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์นี้ก็นับว่าเป็นบุญอยู่ในระดับหนึ่ง เราต้องพยายามมองเห็นหนทางเดินให้ถึงจุดหมายปลายทาง ถ้าไม่ถึงวันนี้ก็ต้องถึงพรุ่งนี้ ไม่ถึงพรุ่งนี้ก็ถึงมะรืนนี้ ตราบใดที่เรายังดำเนินอยู่มันก็ไม่มีอะไรมากมายหรอกถ้าเราจะทำความเข้าใจ คนเราเกิดมาแล้วก็เกิดมาแล้วจะไปไหน ไปอย่างไรมาอย่างไร มีเหตุมีผล พระพุทธองค์ท่านชี้ลงที่เหตุที่ผล แล้วก็การทำปัจจุบันให้ดีก็จะส่งผลถึงอนาคตได้ดี อะไรที่จะเป็นบุญ อะไรที่จะเป็นประโยชน์ ประโยชน์ตน ประโยชน์ท่าน ประโยชน์ใกล้ประโยชน์ไกล ประโยชน์ในโลกนี้ประโยชน์ในโลกหน้า เราก็พากันพยายามดำเนินเอาเสียขณะที่เรายังมีลมหายใจอยู่ อย่าไปผัดวันประกันพรุ่ง
เพียงแค่เรื่องอานาปานสติ พวกเราก็ขาดการสนใจที่จะทำให้ต่อเนื่องก็เลยไม่รู้ความเป็นจริงในร่างกายของเรา ในร่างกายของเรานี้มีอะไรดีๆ เยอะ สนามรบใบใหญ่ ตื่นขึ้นมาเราก็ดู กิเลสเกิดขึ้นภายใน หรือเหตุจากภายนอกทำให้เกิด เกิดจากภายในของเราโดยตรง กิเลสเกิดขึ้นที่กายหรือเกิดขึ้นที่ใจ กิเลสหยาบหรือว่ากิเลสละเอียด สติพลั้งเผลอได้ยังไง คำว่าปัญญาที่เป็นสัมมาทิฏฐิเป็นอย่างไร เรารู้ความจริง รู้จักวิธีการ รู้จักแนวทางแล้วก็ไปทำ ไม่ใช่จะไปทำเวลาโน้นเวลานี้ กิเลสมันเกิดขึ้นเมื่อไรเราก็รู้จักดับรู้จักละ เป็นเรื่องของเราทั้งนั้นแหละไม่ใช่เรื่องของคนอื่น
คนเราเกิดมาอีกสักหน่อยก็ได้พลัดพรากจากกัน ไม่ได้พลัดพรากจากกันตอนเป็นก็ได้พลัดพรากจากกันตอนตาย อันนี้เป็นกฎของไตรลักษณ์ กฎของความเป็นจริงที่ทุกคนจะหนีไม่พ้นเพราะว่าเกิดมาเท่าไรก็ตายหมด ไม่ตายช้าก็ตายเร็ว อันนี้เป็นเรื่องของความเป็นจริง แต่เราก็อย่าพากันประมาท เราก็พยายามหมั่นวิเคราะห์ หมั่นสำรวจเผชิญกับความเป็นจริง ยอมรับความเป็นจริง แล้วก็เป็นบุคคลที่เตรียมพร้อม
แต่ละวันเราก็หมั่นสำรวจใจของเรา เรามีความเสียสละเพียงพอหรือไม่ เรามีความรับผิดชอบเพียงพอหรือไม่ เรามีความเสียสละเพียงพอหรือเปล่า เรามีความเห็นแก่ตัว เราก็พยายามละความเห็นแก่ตัว เรามีความเกียจคร้าน เราก็พยายามละความเกียจคร้าน สร้างความขยันหมั่นเพียร สร้างความรับผิดชอบให้มีให้เกิดขึ้น ไม่ใช่ว่าจะไปที่โน้นให้ตั้งแต่คนโน้นเขาบังคับคนนี้เขาบังคับอย่างนั้นใช้การไม่ได้ เราต้องบังคับตัวเรา แก้ไขตัวเรา ปรับปรุงตัวเรา
เราไปที่โน้นที่นี่ก็เพื่อที่จะแสวงหาวิธีการแนวทาง เรารู้จักวิธีการแล้วรู้จักแนวทางแล้ว กายวิเวกเป็นอย่างนี้ ใจวิเวกเป็นอย่างนี้ ใจที่ปราศจากกิเลสเป็นอย่างนี้ ใจที่ไม่เกิดเป็นอย่างนี้ ความคิดซึ่งเป็นฝ่ายนามธรรมเขาเกิดขึ้นมาได้อย่างไร สมมติเราแก้ไขได้แล้วหรือยัง ท่านถึงบอกว่าให้รอบรู้ในกองสังขารในจิตวิญญาณในร่างกายก้อนนี้ แล้วก็รอบรู้ในปัจจัยสี่ แล้วก็รอบรู้ในโลกธรรมแปดที่เราเข้าไปยุ่งเกี่ยว แล้วก็รู้จักแก้ไข ขยันหมั่นเพียร อะไรควรแก้ไข อะไรควรละ อะไรควรเจริญ อะไรควรดำเนิน ไม่ต้องให้คนอื่นเขาบอก ไม่ต้องให้คนอื่นเขาบังคับ เราบังคับตัวเรา แก้ไขตัวเราอยู่ตลอดเวลาจนปรากฏขึ้นที่ใจของเรา
เราขัดเกลากิเลสเอาออกจากใจของเราได้หมด ใจที่ปราศจากกิเลสเขาก็บริสุทธิ์ ใจที่ไม่เกิดเขาก็นิ่ง มองเห็นหนทางเดินว่าเราจะได้กลับมาเกิดหรือว่าไม่กลับมาเกิดกัน สนุกทำบุญในกายก้อนนี้ ทำกายให้เป็นบุญ ทำใจให้เป็นบุญ เราก็จะอยู่กับบุญตลอดเวลา ก็พยายามอย่าไปปล่อยวันเวลาทิ้ง เสียดายเวลา ทุกลมหายใจเข้าออกมาค่ามากมายมหาศาล
เอาล่ะ วันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจให้รู้ทุกอิริยาบถ