หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2561 ลำดับที่ 9 วันที่ 28 มกราคม 2561
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2561 ลำดับที่ 9 วันที่ 28 มกราคม 2561
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2561
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2561 ลำดับที่ 9
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 28 มกราคม 2561
มีความสุขกันทุกคน วันนี้ก็เป็นวันอาทิตย์ที่ 28 มีผู้ใจบุญได้มาไถ่ชีวิตโคหลายตัว ทั้งที่อยู่ในท้อง กำลังตั้งท้องก็มี ได้มาไถ่ชีวิตเพื่อยื้อชีวิตให้ตกไปตามธรรมชาติ ไถ่มาจากโรงฆ่าสัตว์ก็ประมาณ 3 ตัว 5 ชีวิต เห็นว่าอยู่ในท้องอีก 2 ตัว พวกเราก็มีโอกาสได้มาไถ่ชีวิตร่วมกัน ใครอยากจะมาร่วมก็รวมลงในขันได้ เพื่อที่จะได้มาไถ่ชีวิตร่วมรวมพลังด้วยกัน การต่ออายุพวกเราก็ไม่อยากตายไปโดยที่ยังไม่ถึงวาระถึงเวลา วัวควายก็เหมือนกัน
ทุกชีวิตเกิดมาแต่มีความเกิดก็มีความตาย เกิดมากเท่าไรก็ตายมากเท่านั่นแหละ ไม่อยากจะตายก็ไม่ต้องเกิด ดับความเกิด ละกิเลส แต่ทั่วไปแล้วก็ทั้งกิเลสก็เยอะ ความหลงก็เยอะ ความทะเยอทะยานอยากก็เยอะ ก็เลยต้องวนๆ วนเวียนว่ายตายเกิดอยู่
ใจของคนเรานี้หลง หลงมาตั้งแต่ยังไม่ได้เกิด แล้วก็หลงมาเกิดในภพมนุษย์ มาสร้างขันธ์ห้าปิดกั้นตัวเอง แล้วก็มาหลงต่อ หลงเป็นทาสกิเลสต่อ กิเลสหยาบ กิเลสละเอียด มีหมด ความเห็นทิฏฐิ มานะ สารพัดอย่าง
อยากจะรู้ความจริงก็ต้องปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธองค์ ว่าท่านสอนเรื่องอะไร สอนเรื่องชีวิต การดำเนินชีวิต สอนการบริหารกายบริหารใจให้ถูกวิธี ให้ถูกแนวทาง จนเข้าถึงความสะอาด ความบริสุทธิ์ ความหลุดพ้น มองเห็นหนทางเดินไม่ต้องกลับมาเกิดกัน
ความเกิด พระพุทธองค์ท่านเน้นลงไปที่ต้นเหตุ เกิดทางกายเนื้อก็คืออัตภาพร่างกายของเรานี้แหละ เกิดทางด้านจิตวิญญาณหรือว่าความคิดของเรานั่นแหละ เราไม่เคยวิเคราะห์ ไม่เคยสังเกต ไม่เคยเจริญสติเข้าไปอบรมใจของตัวเรา อาจจะอบรมอยู่ได้เป็นช่วงบางครั้งบางคราว ไม่อบรมเห็นเหตุเห็นผล ชี้เหตุชี้ผล จำแนกแจกแจงออกว่าอะไรเป็นอะไร อะไรคือกองรูป อะไรคือกองนาม อะไรคือจิตวิญญาณในขันธ์ห้าในกายของเรา ก็เลยรวมกันไปหมดรวมกันไปทั้งก้อน ทั้งตัววิญญาณ ทั้งอาการของวิญญาณ ทั้งกำลังสติปัญญา
ในหลักธรรมท่านให้เจริญสติปัญญา เข้าไปอบรมใจหรือว่าสร้างสตินั่นแหละ สร้างความรู้ตัว รู้ตัว รู้กาย จนรู้อัตโนมัติ จนเป็นเอง จนเป็นปัญญารอบรู้ในกองสังขาร ในดวงวิญญาณ ในโลกธรรม ในสิ่งที่เราเข้าไปยุ่งเกี่ยว จำแนกแจกแจงออก
กายของเรา ชีวิตของเรานี้ท่านเปรียบเสมือนกับเชือก เชือกมันมีอยู่ 5 เกลียว เกลียวใครเกลียวมันอยู่ จิตพากันสวดพากันท่องว่า ขันธ์ห้าเป็นของทุกข์ เพราะกายของเรานี้แหละ ส่วนรูป ส่วนวิญญาณ ส่วนนาม ความคิด เราไม่ได้เจริญสติเข้าไปดู เข้าไปรู้ เรารู้อยู่ เรารู้อยู่แต่ใจยังหลงอยู่ ความเกิดนั่นแหละความหลงอันละเอียดที่สุด ถ้าไม่หลงก็ไม่เกิด เกิดมาเท่าไรก็ตายหมด ไม่ตายช้าก็ตายเร็ว
เมื่อวานนี้ก็หลวงตาภิญโญท่านก็ได้มรณภาพประมาณบ่ายสองโมง ไม่ว่าพระก็ตายเนอะ ก็มรณะ ไม่ว่าโยม ไม่ว่าพระราชา พระเจ้าอยู่หัวของเราท่านก็ถึงวาระเวลาก็ไปก็เพิ่งได้เผาเสร็จไม่นาน ฆราวาส ญาติโยม พระราชา ยาจก มีเท่าไรตายหมด เพราะว่าความเกิดมี ความตายก็มี ไม่อยากตายก็ต้องดับความเกิด
ก่อนจะดับความเกิดได้ ก็ต้องเป็นบุคคลที่มีความเพียรมีปัญญาที่ถูกต้อง ปัญญานั้นพระพุทธองค์ ท่านได้ค้นพบเอามาความเปิดเผย มาจำแนกแจกแจง การเจริญพรหมวิหาร การขัดเกลากิเลส การดำเนินชีวิต การละกิเลสในกายของเราในใจของเรามีกิเลสอะไรบ้าง ท่านจำแนกแจกแจงออกมาหมดละเอียดที่สุด แต่พวกเราไม่ค่อยจะสนใจกัน แต่การทำบุญการให้ทานนั้นมีอยู่ การฝักใฝ่การสนใจนั้นมีอยู่
สติปัญญาทางโลกนั้นก็เต็มเปี่ยม บางคนก็มากเอาเสียจนปิดกั้นตัวใจเอาไว้หมด สติปัญญาในทางธรรมต้องเป็นสติปัญญาที่เกิดจากการเจริญภาวนา เข้าไปสังเกต เข้าไปวิเคราะห์ เข้าไปชี้เหตุชี้ผล จนดำเนินชีวิตของเราให้อยู่ในความสงบในความสุขทั้งโลกทั้งธรรมถึงจะมีความสุข
กิเลสไม่ได้เลือกกาลและเวลา กิเลสหยาบ กิเลสละเอียด แม้แต่ตัววิญญาณหรือว่าตัวใจก็ยังหลอกตัวเอง ใจหลอกใจ ขันธ์ห้าหลอกใจ สติปัญญาหลอก ใจดวงเดิมนั้นสะอาดบริสุทธิ์ ไม่มีกิเลส เพราะความไม่รู้ ความหลง เขาหลงมานาน เขาหลงเกิดมานาน
พวกเรามีโอกาสที่ได้เกิดมาก็ได้มาสะสางมาทำความเข้าใจให้มันถึงจุดหมายปลายทางให้เร็วให้ไว ไม่ถึงช้าก็ต้องถึงเร็ว ตราบใดที่เรายังดำเนินอยู่ วันนี้มี พรุ่งนี้มี เดือนหน้ามี ปีต่อไปมี ภพนี้มี ภพหน้ามี มีหมดนั่นแหละ ถ้าเราค้นพบ ถ้าเราหมั่นรู้จักค้นให้เจอในกายของเรา เอาเรื่องของเราให้จบ ส่วนมากก็มีแต่เรื่องของคนอื่น เดี๋ยวคนโน้นเป็นอย่างนั้น คนนั้นเป็นอย่างนี้ เรื่องของตัวเรานี้ไม่จบสักที มีตั้งแต่สร้างเหตุ
ในหลักธรรมพระพุทธองค์ท่านให้ชี้ลงที่เหตุ ไม่ว่าทางรูปทางนาม ดับความเกิดตั้งแต่ต้นเหตุ แต่กายเนื้อก็เกิดมาแล้วท่านก็ให้ดับทางด้านจิตวิญญาณอีก คนเราก็ปฏิบัติฝักใฝ่ในการทำบุญ ในการให้ทาน อยู่ในระดับของสมมติ แต่ระดับของหลักธรรมดับความเกิดคลายความหลงได้จริงๆ ต้องเป็นบุคคลที่ขยันหมั่นเพียรเป็นเลิศ เป็นอัตโนมัติ
ในการดูในการรู้ในการทำความเข้าใจ ชี้เหตุชี้ผลว่าอะไรควรละ อะไรควรเจริญ อะไรควรดำเนิน ก็อย่าพากันปล่อยวันเวลาทิ้งเสียดายเวลา เวลาทุกลมหายใจเข้าออกมีค่ามากมายมหาศาล คนเราอยู่เนื่องด้วยลมหายใจ ลมหายใจก็ไม่ได้ซื้อแต่ไม่ค่อยสนใจดู ถ้าไม่หายใจลองดูสิภายใน 5 นาทีนี้ก็ยากแล้วที่จะมีชีวิตต่อ ตื่นขึ้นมาเราก็สำรวจดูลมหายใจเข้าออกเป็นอย่างไร ลมหายใจเป็นธรรมชาติเป็นอย่างไร ภาษาธรรมะท่านเรียกว่าอานาปานสติ
ทุกเรื่องในชีวิตไม่ใช่ว่าจะไปเอาตั้งแต่นั่งปฏิบัติ นั่งสมาธิ เดินจงกรม แต่ไม่รู้จักลักษณะของสติรู้ตัวอยู่ปัจจุบันเป็นอย่างไร มันก็เดินปัญญาขั้นสูงก็ไม่ได้ นั้นเขาเรียกว่าปฏิบัติด้วยความหลง แต่ก็หลงอยู่ในบุญนั่นแหละ
ในหลักธรรมทั้งบุญทั้งบาปท่านก็ให้ละหมดนั่นแหละ แต่สร้างบุญไม่ยึดติดในบุญ อยู่กับบุญ ละความอยาก ละความหวัง คนทั่วไปล่ะทั้งอยาก ทั้งหวัง ทั้งทะเยอทะยานอยากทุกเรื่อง อยากในรูป ในรส ในกลิ่น ในเสียง อยากมี อยากเป็น ไม่อยากมี ไม่อยากเป็น สารพัดอยาก เรามาละความอยาก มาละความคิด
ความคิดที่เกิดจากขันธ์ห้า เกิดจากใจ คนไม่ตายก็ต้องคิด แต่ในหลักธรรมท่านให้คิดด้วยปัญญา ส่วนปัญญาที่เราสร้างขึ้นมา ส่วนปัญญาส่วนสมองหรือว่ามาสร้างความรู้ตัวนั่นแหละ รู้ตัวให้ต่อเนื่อง ถ้ารู้ตัวกระท่อนกระแท่นก็ไปใช้การใช้งานไม่ได้ เพียงแค่การสร้าง การทำให้มีให้เกิดก็ยังยากอยู่ถ้าไม่มีความเพียรจริงๆ
บุคคลผู้รู้ บุคคลผู้มีบุญฟังนิดหน่อยจะรีบไปทำ การเจริญสติที่ต่อเนื่องกันเป็นอย่างนี้ การดับ การหยุด การวิเคราะห์ การสังเกต วิบากกรรมคลายเมื่อไหร่ใจของเราก็คงจะคลายออก
เราต้องรู้เรื่องกรรม กรรมก็คือการกระทำ แล้วก็ให้อยู่เหนือกรรม ก่อนที่จะอยู่เหนือกรรมได้ก็ต้องจำแนกแจกแจงแยกแยะให้ได้ ขันธ์ห้านั่นแหละคือตัวกรรมที่มาปรุงแต่งใจของคนเรา
ที่ท่านบอกว่าเป็นวงกลม จิตวิญญาณก็เกิดร่วมกันกับขันธ์ห้าหมุนกันไปอยู่อย่างนั้น ถ้าเรามาเจริญสติ หัดสังเกต หัดวิเคราะห์ ประจวบเหมาะใจคลายออกจากขันธ์ห้าได้เมื่อไหร่ ก็เหมือนกับตัดวงกลมเพียงแค่ตัด เพียงแค่สัมมาทิฏฐิความเห็นถูกเพิ่งเริ่ม
ถ้าเราขาดการตามทำเข้าใจ ชี้เหตุชี้ผล กำลังสติของเราก็มีไม่เพียงพอ ถ้ากำลังสติของเราตามดู ตามดู ตามดูจนทุกเรื่องจนเป็นมหาสติ จนยับยั้งไม่อยู่ มีอะไรค้นคว้าให้หมด แล้วอะไรควรละ อะไรควรเจริญ อะไรควรดำเนิน ต้องตามมาอีก
กิเลสมันก็แหลมคมเหมือนกัน ไม่ใช่ว่าไม่แหลมคม กิเลสเราชอบสิ่งไหน เขาก็เอาสิ่งนั้นมาหลอก เราชอบบุญก็เอาบุญมาหลอก แต่ก็ยังดี ดีอยู่ในฝ่ายบุญ ฝ่ายขัดเกลาเอาออก ถ้าเป็นฝ่ายอกุศลก็แย่หน่อย ไปที่ไหนก็อันนั้นก็ไม่ดี อันนี้ก็ไม่ดี ขึ้นบ้านทีไม่เตะบันได บันไดก็ไม่ดี ทั้งที่ใจของเราไม่ดี ถ้าใจของเราดีแล้ว มีใครมาด่ามาว่ามาอะไร ใจของเราก็ดีเหมือนเดิม
เราพยายามดูรู้เรื่องของเราให้จบ ทำหน้าที่ของเราให้ดีเพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างเกิดมาก็ล้วนจากการพลัดพรากจากกันหมด ไม่ได้พลัดพรากจากกันตอนตายก็ได้พลัดพรากจากกันตอนเป็น เพราะเป็นกฎของไตรลักษณ์ กฎของความเป็นจริงของชีวิต เรามาทำความเข้าใจเหตุถูกต้อง ไม่ถึงวาระไม่ถึงเวลาเราก็ไม่ได้ไป
บุญเพียงน้อยนิดเราก็อย่าไปมองข้าม คิดดี ทำดี อะไรที่จะนำประโยชน์มาให้ เราก็ทำประโยชน์ตน ประโยชน์ท่าน ประโยชน์ใกล้ ประโยชน์ไกล บุคคลมีบุญย่อมไม่ปล่อยวาระปล่อยเวลาทิ้งย่อมจะตักตวงไป เห็นคนอื่นทำก็พลอยอนุโมทนาสาธุด้วย แล้วก็หลวงพ่อก็พาทำหลายสิ่งหลายอย่าง มีโอกาสเราก็ได้ทำร่วมกันได้ทำช่วยกัน ไม่ว่าอยู่ที่ไหนเกิดมาแล้วก็อย่าให้ปล่อยวันเวลาทิ้ง เราต้องทำหน้าที่ของเราให้จบเสียก่อน ดูแลภายในของเราให้จบเสียก่อน
การเกิดการดับของจิตวิญญาณในกายของเราเป็นอย่างไร ทำไมใจของเราถึงหลง ทำไมใจถึงเกิด เรามาเจริญสติ แล้วก็รู้จักเอาสติปัญญาไปใช้ ชี้เหตุชี้ผล เห็นเหตุเห็นผลทุกเรื่อง ไม่ใช่ว่าเรื่องหนึ่งเรื่องใด ทุกเรื่องในชีวิตของเราตั้งแต่เกิด เราต้องดูตั้งแต่จุดเกิด ต้นเหตุ เราดับความเกิดได้ขณะที่ยังมีลมหายใจอยู่นี้แหละ ไม่ใช่ว่าจะไปดับเอาหมดลมหายใจ เราดับความเกิดของจิตวิญญาณ แต่เวลานี้จิตวิญญาณของเรามาสร้างกายเนื้อ มาสร้างขันธ์ห้าปิดกั้นตัวเอง เราก็เป็นทาสกิเลสต่อ
กิเลสก็มีทั้งความละเอียด ทั้งความไม่ละเอียด ท่านก็ได้ค้นพบเอามาบัญญัติการแยกรูปแยกนาม การเดินปัญญาตามทางอริยมรรคในองค์แปดของพระพุทธองค์ การขัดเกลากิเลสหยาบ ละเอียดจนเข้าถึงนิพพาน
นิพพานคือความบริสุทธิ์ ความหลุดพ้นของจิตใจไม่กลับมาเกิด เราดับความเกิดขณะที่เรายังมีลมหายใจอยู่นี้แหละ ในขณะที่เรายังยืน เดิน นั่ง นอน กินอยู่ ขับถ่ายอยู่นี้แหละ เราละกิเลสได้หมดจดก็อยู่ด้วยปัญญา สติปัญญา สมาธิ เขาก็จะรักษาเรา
ช่วงใหม่ๆ สติไม่มีเราก็สร้างขึ้นมาให้มี ใจของเรายังมีกิเลส เราก็ขัดเกลากิเลส ปรับสภาพใจของเราให้อยู่ในความอ่อนโยน ให้อยู่ในพรหมวิหาร ให้อยู่ในความเมตตา แก้ไข วันนี้เราทำได้เท่านี้ วันพรุ่งนี้ เดือนนี้ เดือนหน้า จนเป็นอัตโนมัติในการดู ในการรู้
อย่าพากันผัดวันประกันพรุ่ง ความผัดวันประกันพรุ่งนั่นแหละเหมือนกับบุคคลที่ประมาท เราจงอยู่ด้วยสติ ด้วยปัญญา
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 28 มกราคม 2561
มีความสุขกันทุกคน วันนี้ก็เป็นวันอาทิตย์ที่ 28 มีผู้ใจบุญได้มาไถ่ชีวิตโคหลายตัว ทั้งที่อยู่ในท้อง กำลังตั้งท้องก็มี ได้มาไถ่ชีวิตเพื่อยื้อชีวิตให้ตกไปตามธรรมชาติ ไถ่มาจากโรงฆ่าสัตว์ก็ประมาณ 3 ตัว 5 ชีวิต เห็นว่าอยู่ในท้องอีก 2 ตัว พวกเราก็มีโอกาสได้มาไถ่ชีวิตร่วมกัน ใครอยากจะมาร่วมก็รวมลงในขันได้ เพื่อที่จะได้มาไถ่ชีวิตร่วมรวมพลังด้วยกัน การต่ออายุพวกเราก็ไม่อยากตายไปโดยที่ยังไม่ถึงวาระถึงเวลา วัวควายก็เหมือนกัน
ทุกชีวิตเกิดมาแต่มีความเกิดก็มีความตาย เกิดมากเท่าไรก็ตายมากเท่านั่นแหละ ไม่อยากจะตายก็ไม่ต้องเกิด ดับความเกิด ละกิเลส แต่ทั่วไปแล้วก็ทั้งกิเลสก็เยอะ ความหลงก็เยอะ ความทะเยอทะยานอยากก็เยอะ ก็เลยต้องวนๆ วนเวียนว่ายตายเกิดอยู่
ใจของคนเรานี้หลง หลงมาตั้งแต่ยังไม่ได้เกิด แล้วก็หลงมาเกิดในภพมนุษย์ มาสร้างขันธ์ห้าปิดกั้นตัวเอง แล้วก็มาหลงต่อ หลงเป็นทาสกิเลสต่อ กิเลสหยาบ กิเลสละเอียด มีหมด ความเห็นทิฏฐิ มานะ สารพัดอย่าง
อยากจะรู้ความจริงก็ต้องปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธองค์ ว่าท่านสอนเรื่องอะไร สอนเรื่องชีวิต การดำเนินชีวิต สอนการบริหารกายบริหารใจให้ถูกวิธี ให้ถูกแนวทาง จนเข้าถึงความสะอาด ความบริสุทธิ์ ความหลุดพ้น มองเห็นหนทางเดินไม่ต้องกลับมาเกิดกัน
ความเกิด พระพุทธองค์ท่านเน้นลงไปที่ต้นเหตุ เกิดทางกายเนื้อก็คืออัตภาพร่างกายของเรานี้แหละ เกิดทางด้านจิตวิญญาณหรือว่าความคิดของเรานั่นแหละ เราไม่เคยวิเคราะห์ ไม่เคยสังเกต ไม่เคยเจริญสติเข้าไปอบรมใจของตัวเรา อาจจะอบรมอยู่ได้เป็นช่วงบางครั้งบางคราว ไม่อบรมเห็นเหตุเห็นผล ชี้เหตุชี้ผล จำแนกแจกแจงออกว่าอะไรเป็นอะไร อะไรคือกองรูป อะไรคือกองนาม อะไรคือจิตวิญญาณในขันธ์ห้าในกายของเรา ก็เลยรวมกันไปหมดรวมกันไปทั้งก้อน ทั้งตัววิญญาณ ทั้งอาการของวิญญาณ ทั้งกำลังสติปัญญา
ในหลักธรรมท่านให้เจริญสติปัญญา เข้าไปอบรมใจหรือว่าสร้างสตินั่นแหละ สร้างความรู้ตัว รู้ตัว รู้กาย จนรู้อัตโนมัติ จนเป็นเอง จนเป็นปัญญารอบรู้ในกองสังขาร ในดวงวิญญาณ ในโลกธรรม ในสิ่งที่เราเข้าไปยุ่งเกี่ยว จำแนกแจกแจงออก
กายของเรา ชีวิตของเรานี้ท่านเปรียบเสมือนกับเชือก เชือกมันมีอยู่ 5 เกลียว เกลียวใครเกลียวมันอยู่ จิตพากันสวดพากันท่องว่า ขันธ์ห้าเป็นของทุกข์ เพราะกายของเรานี้แหละ ส่วนรูป ส่วนวิญญาณ ส่วนนาม ความคิด เราไม่ได้เจริญสติเข้าไปดู เข้าไปรู้ เรารู้อยู่ เรารู้อยู่แต่ใจยังหลงอยู่ ความเกิดนั่นแหละความหลงอันละเอียดที่สุด ถ้าไม่หลงก็ไม่เกิด เกิดมาเท่าไรก็ตายหมด ไม่ตายช้าก็ตายเร็ว
เมื่อวานนี้ก็หลวงตาภิญโญท่านก็ได้มรณภาพประมาณบ่ายสองโมง ไม่ว่าพระก็ตายเนอะ ก็มรณะ ไม่ว่าโยม ไม่ว่าพระราชา พระเจ้าอยู่หัวของเราท่านก็ถึงวาระเวลาก็ไปก็เพิ่งได้เผาเสร็จไม่นาน ฆราวาส ญาติโยม พระราชา ยาจก มีเท่าไรตายหมด เพราะว่าความเกิดมี ความตายก็มี ไม่อยากตายก็ต้องดับความเกิด
ก่อนจะดับความเกิดได้ ก็ต้องเป็นบุคคลที่มีความเพียรมีปัญญาที่ถูกต้อง ปัญญานั้นพระพุทธองค์ ท่านได้ค้นพบเอามาความเปิดเผย มาจำแนกแจกแจง การเจริญพรหมวิหาร การขัดเกลากิเลส การดำเนินชีวิต การละกิเลสในกายของเราในใจของเรามีกิเลสอะไรบ้าง ท่านจำแนกแจกแจงออกมาหมดละเอียดที่สุด แต่พวกเราไม่ค่อยจะสนใจกัน แต่การทำบุญการให้ทานนั้นมีอยู่ การฝักใฝ่การสนใจนั้นมีอยู่
สติปัญญาทางโลกนั้นก็เต็มเปี่ยม บางคนก็มากเอาเสียจนปิดกั้นตัวใจเอาไว้หมด สติปัญญาในทางธรรมต้องเป็นสติปัญญาที่เกิดจากการเจริญภาวนา เข้าไปสังเกต เข้าไปวิเคราะห์ เข้าไปชี้เหตุชี้ผล จนดำเนินชีวิตของเราให้อยู่ในความสงบในความสุขทั้งโลกทั้งธรรมถึงจะมีความสุข
กิเลสไม่ได้เลือกกาลและเวลา กิเลสหยาบ กิเลสละเอียด แม้แต่ตัววิญญาณหรือว่าตัวใจก็ยังหลอกตัวเอง ใจหลอกใจ ขันธ์ห้าหลอกใจ สติปัญญาหลอก ใจดวงเดิมนั้นสะอาดบริสุทธิ์ ไม่มีกิเลส เพราะความไม่รู้ ความหลง เขาหลงมานาน เขาหลงเกิดมานาน
พวกเรามีโอกาสที่ได้เกิดมาก็ได้มาสะสางมาทำความเข้าใจให้มันถึงจุดหมายปลายทางให้เร็วให้ไว ไม่ถึงช้าก็ต้องถึงเร็ว ตราบใดที่เรายังดำเนินอยู่ วันนี้มี พรุ่งนี้มี เดือนหน้ามี ปีต่อไปมี ภพนี้มี ภพหน้ามี มีหมดนั่นแหละ ถ้าเราค้นพบ ถ้าเราหมั่นรู้จักค้นให้เจอในกายของเรา เอาเรื่องของเราให้จบ ส่วนมากก็มีแต่เรื่องของคนอื่น เดี๋ยวคนโน้นเป็นอย่างนั้น คนนั้นเป็นอย่างนี้ เรื่องของตัวเรานี้ไม่จบสักที มีตั้งแต่สร้างเหตุ
ในหลักธรรมพระพุทธองค์ท่านให้ชี้ลงที่เหตุ ไม่ว่าทางรูปทางนาม ดับความเกิดตั้งแต่ต้นเหตุ แต่กายเนื้อก็เกิดมาแล้วท่านก็ให้ดับทางด้านจิตวิญญาณอีก คนเราก็ปฏิบัติฝักใฝ่ในการทำบุญ ในการให้ทาน อยู่ในระดับของสมมติ แต่ระดับของหลักธรรมดับความเกิดคลายความหลงได้จริงๆ ต้องเป็นบุคคลที่ขยันหมั่นเพียรเป็นเลิศ เป็นอัตโนมัติ
ในการดูในการรู้ในการทำความเข้าใจ ชี้เหตุชี้ผลว่าอะไรควรละ อะไรควรเจริญ อะไรควรดำเนิน ก็อย่าพากันปล่อยวันเวลาทิ้งเสียดายเวลา เวลาทุกลมหายใจเข้าออกมีค่ามากมายมหาศาล คนเราอยู่เนื่องด้วยลมหายใจ ลมหายใจก็ไม่ได้ซื้อแต่ไม่ค่อยสนใจดู ถ้าไม่หายใจลองดูสิภายใน 5 นาทีนี้ก็ยากแล้วที่จะมีชีวิตต่อ ตื่นขึ้นมาเราก็สำรวจดูลมหายใจเข้าออกเป็นอย่างไร ลมหายใจเป็นธรรมชาติเป็นอย่างไร ภาษาธรรมะท่านเรียกว่าอานาปานสติ
ทุกเรื่องในชีวิตไม่ใช่ว่าจะไปเอาตั้งแต่นั่งปฏิบัติ นั่งสมาธิ เดินจงกรม แต่ไม่รู้จักลักษณะของสติรู้ตัวอยู่ปัจจุบันเป็นอย่างไร มันก็เดินปัญญาขั้นสูงก็ไม่ได้ นั้นเขาเรียกว่าปฏิบัติด้วยความหลง แต่ก็หลงอยู่ในบุญนั่นแหละ
ในหลักธรรมทั้งบุญทั้งบาปท่านก็ให้ละหมดนั่นแหละ แต่สร้างบุญไม่ยึดติดในบุญ อยู่กับบุญ ละความอยาก ละความหวัง คนทั่วไปล่ะทั้งอยาก ทั้งหวัง ทั้งทะเยอทะยานอยากทุกเรื่อง อยากในรูป ในรส ในกลิ่น ในเสียง อยากมี อยากเป็น ไม่อยากมี ไม่อยากเป็น สารพัดอยาก เรามาละความอยาก มาละความคิด
ความคิดที่เกิดจากขันธ์ห้า เกิดจากใจ คนไม่ตายก็ต้องคิด แต่ในหลักธรรมท่านให้คิดด้วยปัญญา ส่วนปัญญาที่เราสร้างขึ้นมา ส่วนปัญญาส่วนสมองหรือว่ามาสร้างความรู้ตัวนั่นแหละ รู้ตัวให้ต่อเนื่อง ถ้ารู้ตัวกระท่อนกระแท่นก็ไปใช้การใช้งานไม่ได้ เพียงแค่การสร้าง การทำให้มีให้เกิดก็ยังยากอยู่ถ้าไม่มีความเพียรจริงๆ
บุคคลผู้รู้ บุคคลผู้มีบุญฟังนิดหน่อยจะรีบไปทำ การเจริญสติที่ต่อเนื่องกันเป็นอย่างนี้ การดับ การหยุด การวิเคราะห์ การสังเกต วิบากกรรมคลายเมื่อไหร่ใจของเราก็คงจะคลายออก
เราต้องรู้เรื่องกรรม กรรมก็คือการกระทำ แล้วก็ให้อยู่เหนือกรรม ก่อนที่จะอยู่เหนือกรรมได้ก็ต้องจำแนกแจกแจงแยกแยะให้ได้ ขันธ์ห้านั่นแหละคือตัวกรรมที่มาปรุงแต่งใจของคนเรา
ที่ท่านบอกว่าเป็นวงกลม จิตวิญญาณก็เกิดร่วมกันกับขันธ์ห้าหมุนกันไปอยู่อย่างนั้น ถ้าเรามาเจริญสติ หัดสังเกต หัดวิเคราะห์ ประจวบเหมาะใจคลายออกจากขันธ์ห้าได้เมื่อไหร่ ก็เหมือนกับตัดวงกลมเพียงแค่ตัด เพียงแค่สัมมาทิฏฐิความเห็นถูกเพิ่งเริ่ม
ถ้าเราขาดการตามทำเข้าใจ ชี้เหตุชี้ผล กำลังสติของเราก็มีไม่เพียงพอ ถ้ากำลังสติของเราตามดู ตามดู ตามดูจนทุกเรื่องจนเป็นมหาสติ จนยับยั้งไม่อยู่ มีอะไรค้นคว้าให้หมด แล้วอะไรควรละ อะไรควรเจริญ อะไรควรดำเนิน ต้องตามมาอีก
กิเลสมันก็แหลมคมเหมือนกัน ไม่ใช่ว่าไม่แหลมคม กิเลสเราชอบสิ่งไหน เขาก็เอาสิ่งนั้นมาหลอก เราชอบบุญก็เอาบุญมาหลอก แต่ก็ยังดี ดีอยู่ในฝ่ายบุญ ฝ่ายขัดเกลาเอาออก ถ้าเป็นฝ่ายอกุศลก็แย่หน่อย ไปที่ไหนก็อันนั้นก็ไม่ดี อันนี้ก็ไม่ดี ขึ้นบ้านทีไม่เตะบันได บันไดก็ไม่ดี ทั้งที่ใจของเราไม่ดี ถ้าใจของเราดีแล้ว มีใครมาด่ามาว่ามาอะไร ใจของเราก็ดีเหมือนเดิม
เราพยายามดูรู้เรื่องของเราให้จบ ทำหน้าที่ของเราให้ดีเพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างเกิดมาก็ล้วนจากการพลัดพรากจากกันหมด ไม่ได้พลัดพรากจากกันตอนตายก็ได้พลัดพรากจากกันตอนเป็น เพราะเป็นกฎของไตรลักษณ์ กฎของความเป็นจริงของชีวิต เรามาทำความเข้าใจเหตุถูกต้อง ไม่ถึงวาระไม่ถึงเวลาเราก็ไม่ได้ไป
บุญเพียงน้อยนิดเราก็อย่าไปมองข้าม คิดดี ทำดี อะไรที่จะนำประโยชน์มาให้ เราก็ทำประโยชน์ตน ประโยชน์ท่าน ประโยชน์ใกล้ ประโยชน์ไกล บุคคลมีบุญย่อมไม่ปล่อยวาระปล่อยเวลาทิ้งย่อมจะตักตวงไป เห็นคนอื่นทำก็พลอยอนุโมทนาสาธุด้วย แล้วก็หลวงพ่อก็พาทำหลายสิ่งหลายอย่าง มีโอกาสเราก็ได้ทำร่วมกันได้ทำช่วยกัน ไม่ว่าอยู่ที่ไหนเกิดมาแล้วก็อย่าให้ปล่อยวันเวลาทิ้ง เราต้องทำหน้าที่ของเราให้จบเสียก่อน ดูแลภายในของเราให้จบเสียก่อน
การเกิดการดับของจิตวิญญาณในกายของเราเป็นอย่างไร ทำไมใจของเราถึงหลง ทำไมใจถึงเกิด เรามาเจริญสติ แล้วก็รู้จักเอาสติปัญญาไปใช้ ชี้เหตุชี้ผล เห็นเหตุเห็นผลทุกเรื่อง ไม่ใช่ว่าเรื่องหนึ่งเรื่องใด ทุกเรื่องในชีวิตของเราตั้งแต่เกิด เราต้องดูตั้งแต่จุดเกิด ต้นเหตุ เราดับความเกิดได้ขณะที่ยังมีลมหายใจอยู่นี้แหละ ไม่ใช่ว่าจะไปดับเอาหมดลมหายใจ เราดับความเกิดของจิตวิญญาณ แต่เวลานี้จิตวิญญาณของเรามาสร้างกายเนื้อ มาสร้างขันธ์ห้าปิดกั้นตัวเอง เราก็เป็นทาสกิเลสต่อ
กิเลสก็มีทั้งความละเอียด ทั้งความไม่ละเอียด ท่านก็ได้ค้นพบเอามาบัญญัติการแยกรูปแยกนาม การเดินปัญญาตามทางอริยมรรคในองค์แปดของพระพุทธองค์ การขัดเกลากิเลสหยาบ ละเอียดจนเข้าถึงนิพพาน
นิพพานคือความบริสุทธิ์ ความหลุดพ้นของจิตใจไม่กลับมาเกิด เราดับความเกิดขณะที่เรายังมีลมหายใจอยู่นี้แหละ ในขณะที่เรายังยืน เดิน นั่ง นอน กินอยู่ ขับถ่ายอยู่นี้แหละ เราละกิเลสได้หมดจดก็อยู่ด้วยปัญญา สติปัญญา สมาธิ เขาก็จะรักษาเรา
ช่วงใหม่ๆ สติไม่มีเราก็สร้างขึ้นมาให้มี ใจของเรายังมีกิเลส เราก็ขัดเกลากิเลส ปรับสภาพใจของเราให้อยู่ในความอ่อนโยน ให้อยู่ในพรหมวิหาร ให้อยู่ในความเมตตา แก้ไข วันนี้เราทำได้เท่านี้ วันพรุ่งนี้ เดือนนี้ เดือนหน้า จนเป็นอัตโนมัติในการดู ในการรู้
อย่าพากันผัดวันประกันพรุ่ง ความผัดวันประกันพรุ่งนั่นแหละเหมือนกับบุคคลที่ประมาท เราจงอยู่ด้วยสติ ด้วยปัญญา