หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 96

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 96
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ผู้บรรยาย
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 96
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 96
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 6 กันยายน 2562

ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติให้ต่อเนื่องกันสักนิดหนึ่งสักพักหนึ่งก็ยังดี ดีกว่าไม่ได้ทำ นั่งตามสบายวางกายให้สบายแล้วก็วางใจให้สบายไม่ต้องพนมมือ ทำใจให้โล่งให้โปร่งฟังไปด้วยน้อมสำเหนียกไปด้วย


ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ สัก 2-3 เที่ยว กายของเราก็รู้สึกว่าสบายขึ้นเยอะ ใจของเราก็จะสงบตั้งมั่นขึ้น ความรู้สึกสัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราก็จะชัดเจน

เพียงแค่การเจริญสติให้ต่อเนื่องตรงนี้พวกเราก็ยังลำบากอยู่ ส่วนบารมีส่วนอื่นนั้นทุกคนสร้างกันมาดี มีการฝักใฝ่มีการสนใจมีศรัทธาน้อมกายเข้ามาเชื่อมั่นในพระรัตนตรัย เชื่อบุญเชื่อบาปแต่เรายังเข้าไม่ถึงแก่นแท้ของใจคือความสะอาดความบริสุทธิ์ ความหลุดพ้นจากความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งต่าง ๆ

เพียงแค่การเจริญสติ กำลังของสติยังมีไม่เพียงพอ บางครั้งก็เผลอบางครั้งก็แทบจะไม่มี ลุ่มๆ ดอนๆ เราก็ต้องพยายามหมั่นสร้างหมั่นทำความเข้าใจจนเอาสติปัญญาของเราเอาไปใช้การใช้งาน ไปอบรบใจได้ตลอดเวลาจนใจอยู่ในโอวาทของสติของปัญญา สติปัญญาของเราชี้เหตุชี้ผลว่า อะไรควรละ อะไรควรเจริญ อะไรควรดำเนิน อะไรเป็นกุศลหรือว่าอกุศล จนใจคลายออกจากขันธ์ห้า หรือว่าแยกรูปแยกนาม ใจคลายออกจากขันธ์ห้าเมื่อไหร่นั่นแหละ ความเห็นถูกถึงจะปรากฏ ซึ่งท่านเรียกว่า ‘สัมมาทิฏฐิ’ เห็นการเกิดการดับของขันธ์ห้าซึ่งเรียกว่า ‘อนิจจัง-ทุกขัง-อนัตตา’ เป็นส่วนนามธรรมซึ่งมีอยู่ในกายของเรา

ส่วนร่างกายเขาเรียกว่า ‘รูปธรรม’ ส่วนใจเขาเรียกว่า ‘ตัววิญญาณ’ หรือว่า ‘ตัวใจ’ รวมกันลงไปเขาเรียกว่า ‘ขันธ์ห้า’ ‘กองวิญญาณ-กองรูป-กองสังขาร’ เราต้องให้รู้เห็นโดยสติด้วยปัญญาจริงๆ ถึงจะเรียกว่าสัมมาทิฏฐิ เพียงแค่แยกได้เห็นได้ ใจหงายขึ้นมาได้ อันนี้เพียงแค่เริ่มต้นของตัวเดินปัญญาหรือว่าวิปัสสนาความรู้แจ้ง การทำความเข้าใจต้องตามมาอีก ตามทำความเข้าใจต้นเหตุกลางเหตุปลายเหตุ เราก็ว่าอะไรควรละอะไรควรเจริญ อันนี้เป็นแค่เพียงอาการเป็นแค่เพียงมายา

กายของเรานี่เป็นตำราใบใหญ่ ตำราเล่มใหญ่ ท่านถึงให้เจริญสติลงที่กายของเราจนใจคลายออกจากขันธ์ห้า ตามดูได้ทำความเข้าใจได้เราก็จะเข้าใจในคำสอนของพระพุทธองค์คำว่า‘อัตตา-อนัตตา’ อัตตาตัวตน กับ อนัตตาความว่างเปล่า แต่เราก็มองเห็นด้วยตาเนื้อว่าเป็นตัวเป็นตนของเรา แต่ในหลักธรรมแล้วเราต้องมองรู้เห็นด้วยปัญญาถึงจะเข้าใจในคำสอนของพระพุทธองค์ อัตตาของเราก็มีอยู่ สมมติของเราก็มีอยู่ ท่านถึงบอกให้เคารพสมมติแต่ไม่ให้ยึดติดสมมติ โน่นแหละร่างกายแตกดับเมื่อไหร่นั่นแหละเราถึงจะได้วางถึงจะได้ทิ้งสมมติก้อนนี้

แต่ให้เราวางทางด้านจิตใจวางด้วยปัญญา แล้วก็ดูแลรักษาเขาไปจนกว่าเขาจะหมดวิบากกรรมหมดวาระเวลาเขาถึงจะแตกดับ มีโอกาสเราก็ได้สร้างประโยชน์สร้างบุญหากำไรชีวิตในร่างกายก้อนนี้ขณะที่ยังมีลมหายใจอยู่ เป็นเรื่องของเราไม่ใช่เรื่องของคนอื่น ไม่ใช่เรื่องของคนโน้นไม่ใช่เรื่องของคนนี้เป็นเรื่องของเราทุกอย่าง ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาเราขาดตกบกพร่องตรงไหนสมมติของเราอะไรยังไม่เพียบพร้อม ความเป็นอยู่ปัจจัยสี่ที่เราเข้าไปยุ่งเกี่ยวเป็นอย่างไร กายทำหน้าที่อย่างไร ทวารทั้งหกทำหน้าที่อย่างไร เราจะบริหารกายบริหารใจของเราอย่างไรอยู่กับสมมติถึงจะมีความสุข

ในเมื่อเราเข้าใจวิธีการแล้วแนวทางแล้ว กายวิเวกเป็นอย่างนี้นะ สติที่ต่อเนื่องกันเป็นอย่างนี้นะใจวิเวกจากขันธ์ห้าใจที่คลายจากขันธ์ห้าเป็นอย่างนี้ ใจเกิดกิเลส กิเลสหยาบกิเลสละเอียดเป็นอย่างนี้ กิเลสเกิดขึ้นที่กายเป็นอย่างนี้ ใจส่งเสริมหรือไม่หรือว่าเกิดขึ้นที่ใจ เราต้องหมั่นวิเคราะห์หมั่นพิจารณาทุกเรื่อง ไม่ใช่ว่าปฏิบัตินั่งหลับตาเดินจงกรมเป็นการปฏิบัติธรรมแต่ไม่รู้เรื่องธรรม เจริญสติไม่รู้เรื่องสติ ไม่รู้จักเอาสติปัญญาไปใช้เราก็จะไม่เข้าใจ อย่าไปโทษคนอื่นจงโทษตัวเราแก้ไขตัวเราปรับปรุงตัวเรา

อีกสักหน่อยทุกคนก็ต้องได้พลัดพรากจากกัน ไม่ได้พลัดพรากจากกันตอนเป็น ก็ได้พลัดพรากจากกันตอนตาย เพราะเป็นกฎของไตรลักษณ์กฎของความเป็นจริง อยู่กับทุกคนตั้งแต่เกิดไม่ว่าเด็กไม่ว่าผู้ใหญ่ ทุกคนเกิดมามีความตายแขวนคอมาด้วย ความตายไม่ได้เลือกกาลเลือกเวลาทุกวันก็มีโยมมารับเอาโลงศพทุกวัน วันละโลงบ้าง 2 โลงบ้าง 3 โลงบ้าง บางวันก็ 5 โลงก็มี แต่ละเดือนเนี่ยก็รวม 30 โลง 30 กว่าโลง นี่แหละความตายมีให้เราเห็นอยู่ทุกวัน พ่อแม่พี่น้องของเราก็พลัดพรากจากกันไปทีละเล็กทีละน้อย อีกสักหน่อยเราก็จะได้ไป

ก่อนที่จะถึงวาระเวลาไป เราพยายามรีบสร้างหากำไรในกายก้อนนี้ให้ได้เสียก่อน ด้วยการศึกษาด้วยการทำความเข้าใจด้วยการเจริญสติตามแนวทางของพระพุทธองค์ แล้วก็รู้จักแก้ไขตัวเรา อันนี้ส่วนรูปอันนี้ส่วนนาม อันนี้สังคมสมมติอันนี้วิมุตติ อยู่คนเดียวเราก็รีบแก้ไขไปอยู่ที่ไหนเราก็จะมีความสุข อยู่คนเดียวก็มีความสุขอยู่หลายคนก็มีความสุข รู้จักวิเคราะห์รู้จักพิจารณาในสิ่งที่เรามีเราเป็น มีความสุข มีความสุขในสิ่งที่เรามีเราเป็น แล้วก็พยายามขยันหมั่นเพียรด้วยสติด้วยปัญญา

แต่ละวันตื่นขึ้นมาความขยันหมั่นเพียรของเรามีเต็มเปี่ยมหรือไม่ ความรับผิดชอบของเรามีเต็มเปี่ยมหรือเปล่า ปัจจัยสี่เครื่องอำนวยความสะดวกในระดับสมมติเรามีความพร้อมแล้วหรือยังถ้ามีความพร้อมด้านสมมติก็จะส่งผลทางด้านวิมุตติทางด้านจิตใจ ไม่ได้กังวลอะไรมากมาย ก็จะประพฤติปฏิบัติใจของเรา ก็จะปล่อยก็จะวางได้เร็วไวขึ้น


อย่าไปปิดกั้นตัวเราว่าไม่มีโอกาส ว่าไม่มีวาสนา ทุกคนมีโอกาสทุกคนมีวาสนา ทุกคนมีบุญถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ที่นี้เรามาสร้างสานต่อทำความเข้าใจต่อให้ถูกทางถูกเวลาถูกที่ ถึงเวลาก็คงจะถึงจุดหมายปลายทางกัน ไม่ถึงช้าก็ต้องถึงเร็ว ไม่ถึงวันนี้ก็ต้องถึงพรุ่งนี้ ไม่ถึงพรุ่งนี้ก็ถึงเดือนหน้าปีหน้า ไม่ถึงจริงๆ จะไปต่อเอาภพหน้า แต่เราต้องทำความเข้าใจคำว่าปัจจุบัน ทุกขณะลมหายใจเขาออกทุกขณะจิตให้รู้แจ้งเห็นจริงเสียก่อน ปล่อยวางให้ได้ขณะที่เรายังมีลมหายใจอยู่ แล้วก็รับผิดชอบด้วยสติด้วยปัญญาด้วยเหตุด้วยผล รู้จักบริหารรู้จักใช้ให้เกิดประโยชน์

หลวงพ่อก็ได้เพียงแค่เล่าให้ฟัง ถ้าพวกท่านไม่ไปศึกษาไม่ไปทำความเข้าใจให้ปรากฏขึ้นที่ใจก็ยากที่จะเข้าใจ อย่างน้อยๆ ก็อย่าไปทิ้งบุญนะ ให้พยายามพากันสร้างบุญน้อมระลึกนึกถึงบุญกุศล อะไรที่เป็นอกุศลเราก็อย่าเอามานึกอย่าเอามาคิด สูงขึ้นไปก็นึกคิดด้วยสติด้วยปัญญา แม้สติปัญญาถ้าเป็นอกุศลเราก็ไม่ให้เกิด ให้เกิดเฉพาะสิ่งที่เป็นกุศล กายของเราก็ได้พักผ่อน ใจของเราก็ได้พักผ่อน สมองของเราก็ได้พักผ่อน ได้พักผ่อนขณะที่ทำการทำงานนั่นแหละ เอาการเอางานเป็นการปฏิบัติ ไม่ปล่อยวันเวลาทิ้งเสียดายเวลา ก็ขอให้ทุกคนพยายามศึกษาค้นคว้าให้ถึงจุดหมายปลายทางกันให้เร็วให้ไว อย่าปล่อยวันเวลาทิ้งเสียดายเวลา

สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกให้ชัดเจนกันนะ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปศึกษาทำความเข้าใจให้รู้ทุกอิริยาบถ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง